Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 112 ความจริงใจประเมินราคาไม่ได้
ตอนที่ 112 ความจริงใจประเมินราคาไม่ได้
คลังหนังสือซิลเวอร์บลู
ณ ห้องทำงานแห่งหนึ่ง
หลี่ว์เป่ยบรรณาธิการบริหารกำลังจะไปประชุมที่ห้องประชุม จู่ๆ ก็เห็นเหล่าสยงวิ่งกระหืดกระหอบมาราวกับเป็น
รถถังคันใหญ่
“มีอะไร”
หลี่ว์เป่ยรีบเบี่ยงหลบ
เหล่าสยงพยุงกายกับประตูหอบเฮือกใหญ่ ผ่านไปสักพักกว่าจะพูดขึ้นมาได้ “เมื่อกี้ผมส่งหนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวงให้คุณ คุณต้องอ่านนะครับ!”
“หนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวง?”
หลี่ว์เป่ยใจกระตุกวาบ พยักหน้า เมื่อเห็นว่าเหล่าสยงเริ่มหอบอีก ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เดินตรงไปยังห้องประชุมทันที
นี่เป็นการประชุมภายใน
หัวหน้าบางคนกำลังชี้มือชี้ไม้ไปยังต้นฉบับชิ้นหนึ่งพลางสนทนากัน ทันใดนั้นหลี่ว์เป่ยกลับนึกถึงเรื่องที่คุยกับเหล่าสยงขึ้นได้ จึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แอบเปิดนิยายเรื่องใหม่ของฉู่ขวง
หลี่ว์เป่ยชื่นชอบฉู่ขวงมาก
นิยายสั้นเรื่องของขวัญแห่งเมไจที่ฉู่ขวงเขียนในครั้งก่อนทำให้หลี่ว์เป่ยประทับใจ จนถึงขั้นเขาไม่ลังเลวางมือจากงานช่วงตรุษจีน เพื่อกลับไปอยู่กับคนในครอบครัว หลังจากนั้นหลี่ว์เป่ยก็ติดตามการเคลื่อนไหวของผลงานมาโดยตลอด
“กระบี่เทพสังหาร”
นิยายในครั้งนี้แค่ชื่อก็อหังการแล้ว หลี่ว์เป่ยคิดเช่นนั้น เริ่มอ่านอย่างเงียบเชียบ ถึงอย่างไรในการประชุมระดับสูง
แบบนี้ก็ทั้งยาวทั้งน่าเบื่อ ไม่มีทางจบได้ภายในชั่วโมงเดียว
ระวังไม่ให้ถูกจับได้ก็พอแล้ว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลี่ว์เป่ยแอบอู้ในห้องประชุม แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยถูกจับได้ เพราะเขาไม่มีทางก้มหน้าอ่านนิยายตลอดเวลา จะต้องแสร้งทำท่าคล้ายกับเงยหน้าขึ้นมาฟังรายงานการประชุมอย่างตั้งอกตั้งใจ พยักหน้าบ้างเป็นครั้งคราว ถึงขั้นที่พิมพ์บันทึกลงบนคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กด้วยท่าทางจริงจัง ราวกับว่ากำลังจดบันทึกเนื้อหาการประชุมอยู่
ในความจริงแล้วก็แค่พิมพ์โค้ดไปมั่วๆ
มั่วถึงขนาดที่โปรแกรมเมอร์ไม่กล้าอ่าน
ทว่าในครั้งนี้หลี่ว์เป่ยประมาทเกินไป นึกไม่ถึงว่าเรื่องกระบี่เทพสังหารจะมีมนตร์สะกดขนาดนี้ เขาถึงจดจ่ออยู่นับสิบนาที แม้แต่การแสดงพิมพ์บันทึกการประชุมมั่วๆ ก็ลืมทำไปแล้ว และแม้แต่คนด้านข้างเรียกก็ยังไม่ได้ยิน
“บ.ก.บริหาร?”
“บ.ก.บริหาร?”
จนท้ายที่สุดแล้วหัวหน้าคนหนึ่งซึ่งกำลังคุยโวโอ้อวดก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมา ตบลงบนโต๊ะอย่างแรง กล่าวด้วยน้ำเสียงเดือดดาลสุดขีด “หลี่ว์เป่ย!”
“หา?”
หลี่ว์เป่ยถึงได้สติกลับมา ทำได้เพียงฝืนยิ้ม วางโทรศัพท์ลงอย่างอาลัยอาวรณ์ ผู้บริหารระดับสูงที่นั่งอยู่ส่วนใหญ่ก็อยู่ระดับเดียวกับเขาทั้งนั้น ถ้าไม่ได้โมโหจริงๆ อีกฝ่ายไม่มีทางถึงขั้นเรียกชื่อตนออกมาตรงๆ หรอก
การประชุมดำเนินต่อไป
หลี่ว์เป่ยกลับทรมานเหลือเกิน
เขาอยากอ่านต่อจะแย่อยู่แล้ว เพราะในสมองของเขาเต็มไปด้วยเนื้อเรื่องกระบี่เทพสังหาร และพานให้ตั้งหน้าตั้งตารอการดำเนินเรื่องต่อไปอย่างอดไม่ได้ สรุปแล้วการประชุมในครั้งนี้พูดเรื่องอะไรเขาไม่ได้ฟังเลยสักประโยค คิดแค่อยากรีบปิดการประชุม ตนจะได้กลับไปอ่านหนังสือต่อ
“เลิกประชุมได้!”
ในที่สุด การประชุมก็จบลง
หลี่ว์เป่ยรีบเดินออกมาจากห้องประชุม หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายหาเหล่าสยง แต่ดันพบว่าเหล่าสยงยืนรอตนอยู่หน้าประตูแล้ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “พวกเราจะเสนอสัญญาให้ฉู่ขวงมั้ยครับ”
“ก่อนหน้านี้เท่าไหร่”
“ร้อยละเจ็ดครับ”
“เสนอไปร้อยละสิบเลย”
หลี่ว์เป่ยกล่าวโดยไม่ลังเล นี่คือราคาของนักเขียนผลงานขายดีตัวท็อปจำนวนมาก ว่ากันตามหลักแล้วชื่อเสียงของฉู่ขวงในตอนนี้ยังด้อยกว่าอยู่สักหน่อย แต่หลี่ว์เป่ยมั่นใจว่ากระแสของหนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวงจะไม่เป็นรองเจ้าชายลูกสักหลาดเลย แม้ว่าในตอนนี้เขาจะอ่านเนื้อหาไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ตาม
“เข้าใจแล้วครับ”
เหล่าสยงไม่แปลกใจเลยสักนิด
ความคิดแรกหลังจากที่เขาอ่านเรื่องกระบี่เทพสังหารจบก็คือ นิยายเรื่องนี้ต้องดัง
เหล่าสยงไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่านิยายแนวเทพเซียนกำลังภายในจะเขียนแบบนี้ได้ด้วย
เขาตะลึงสุดๆ ไปเลย!
นี่คือเหตุผลที่ก่อนหน้านี้เขาห้อตะบึงออกมาจากห้องทำงานเหมือนคนเสียสติ!
เขาต้องออกหน้าเอง ไปแจ้งกับแผนกอื่นๆ อย่างแผนกโฆษณาและแผนกตีพิมพ์ และยิ่งต้องทำให้บ.ก.บริหารเห็นความสำคัญ ทำให้บ.ก.บริหารประจักษ์ว่านิยายเรื่องนี้ยอดเยี่ยมขนาดไหนกันแน่
“จริงสิ”
ขณะที่เหล่าสยงกำลังจะเดินออกไป จู่ๆ หลี่ว์เป่ยก็เอ่ยขึ้นด้วยความขุ่นเคือง “ผมให้คุณไปขอลายเซ็นฉู่ขวง ทำไมคุณไม่ไปขอให้ผม”
เหล่าสยงนิ่งค้างไป
เขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท เขาเชื่อว่าบรรณาธิการบริหารเองก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้วเหมือนกัน ทว่าเมื่อกระบี่เทพสังหารปรากฏขึ้น อีกฝ่ายถึงได้นึกขึ้นมาได้
……
หลินเยวียนย่อมไม่รู้ว่าเรื่องกระบี่เทพสังหารเรียกเสียงตอบรับอย่างไรจากกองบรรณาธิการ แต่ช่วงเย็นหลังเลิกเรียน เขาก็โทรศัพท์หาหยางเฟิง
“อาจารย์ฉู่ขวงครับ!”
หยางเฟิงสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่าน้ำเสียงที่ตนใช้สนทนากับฉู่ขวงนั้นนับวันยิ่งอ่อนน้อมขึ้นเรื่อยๆ “นิยายที่คุณเขียนยอดเยี่ยมมากเลยครับ ทางบริษัทพิจารณาว่าจะตีพิมพ์กระบี่เทพสังหารเล่มหนึ่งในเดือนหน้า ไม่ทราบว่าคุณมีความเห็นว่ายังไงครับ”
ก่อนหน้าไม่ใช่แบบนี้
ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้ หยางเฟิงคงจะพูดว่า ‘ฉู่ขวง ยินดีด้วย นิยายของคุณผ่านการตรวจสอบโดยกองบ.ก.ของเราแล้ว บริษัทเราจะดำเนินการตีพิมพ์ในเดือนหน้า’
ความหมายเหมือนกัน
แต่ท่าทีไม่เหมือนกัน
หลินเยวียนย่อมฟังไม่ออกว่าท่าทีของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขายังคงพูดจากระชับและตรงประเด็นดังเคย “ตีพิมพ์ได้ครับ เซ็นสัญญาเมื่อไหร่ครับ”
“คืองี้นะครับ!”
หยางเฟิงยิ้มเอ่ย “ทางบริษัทตัดสินใจว่าจะเพิ่มภาษีลิขสิทธิ์ของนิยายคุณเป็นร้อยละสิบ นี่เป็นราคาที่สูงมากในวงการนี้ ไม่ทราบว่าทางคุณมีอะไรต้องการให้พวกเราทำ…”
“ดีมากเลยครับ!”
หลินเยวียนพูดเสียงสูงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
หยางเฟิงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ฉู่ขวงไม่ได้หน้าเงินไม่ใช่เหรอ ทำไมได้ยินว่าภาษีลิขสิทธิ์เพิ่มแล้วถึงท่าทางดีอกดีใจแบบนี้กันนะ
ก็จริง
เงินมีนัยยะหลายอย่าง
สิ่งที่อาจารย์ฉู่ขวงสนใจคงไม่ได้ค่าลิขสิทธิ์ที่เพิ่มขึ้นเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้หรอก แต่เป็นการยอมรับจากบริษัทในความสามารถด้านการเขียนของเขา รวมไปถึงความจริงใจของบริษัทที่แสดงออกผ่านเงิน!
ภาษีลิขสิทธิ์มีราคาก็จริง
แต่ความจริงใจประเมินราคาไม่ได้
มิหนำซ้ำ ผลงานที่เขียนออกมาในครั้งนี้เป็นประเภทเทพเซียนกำลังภายใน ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ผลงานก็จะต้องแบกรับความกดดันทางจิตใจ ย่อมต้องการการยอมรับอย่างเป็นรูปธรรม
เมื่อคิดเช่นนี้
หยางเฟิงก็กล่าวอย่างยิ้มแย้ม “คุณพอใจก็ดีแล้วครับ อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องแจ้งคุณก็คือ บริษัทจะเริ่มโปรโมตการพรีออร์เดอร์เรื่องกระบี่เทพสังหารโดยเร็ว!”
“ครับ”
“งั้นก็ตามนี้นะครับ”
“ตามนี้ก็แล้วกันครับ”
หลินเยวียนวางโทรศัพท์ อารมณ์ดีใช่ย่อย
คลังหนังสือซิลเวอร์บลูมักจะออกตัวเสนอราคาเสมอ เรื่องนี้ทำให้หลินเยวียนพึงพอใจมาก
ดูท่าแล้วการเลือกร่วมงานกับคลังหนังสือซิลเวอร์บลูต่อไปนั้นเป็นการตัดสินใจที่ไม่เลวเลย
หลังจากนี้ราคาจะยังเพิ่มขึ้นอีกใช่ไหมนะ
เอาไว้จะต้องไปถามพี่สาวสักหน่อย
หลินเซวียนพี่สาวของหลินเยวียนทำงานอยู่ในวงการสำนักพิมพ์ น่าจะเข้าใจเรื่องพวกนี้
จะว่าไปหลินเยวียนก็เคยคิดว่าจะส่งเรื่องกระบี่เทพสังหารไปให้สำนักพิมพ์ของพี่สาว
แต่หลังจากที่หลินเยวียนหาข้อมูลดูแล้ว ก็พบว่าสำนักพิมพ์ที่พี่สาวทำงานนั้นมีขนาดใหญ่ไม่พอ เรื่องเงินไม่มีทางสู้คลังหนังสือซิลเวอร์บลูได้ หลินเยวียนจึงล้มเลิกความตั้งใจไป
เมื่อเทียบกับการให้พี่สาวได้ทำผลงานแล้ว แน่นอนว่าการหาเงินสำคัญกว่า
ส่วนทางพี่สาว ประเดี๋ยวตนแบ่งเงินทางนี้ไปให้ก็ได้แล้ว
เธอบากบั่นพยายามทำผลงาน อันที่จริงก็เพื่อให้ได้เงินเดือนที่สูงขึ้น เหตุผลข้อนี้หลินเยวียนเข้าใจดี
พี่ชอบเงินยิ่งกว่าเขาอย่างแน่นอน
บนโลกนี้มีคนที่ไม่ชอบเงินด้วยเหรอ?
และในเย็นวันนั้นหลังจากที่หลินเยวียนและหยางเฟิงคุยโทรศัพท์กันเสร็จ
บนเว็บไซต์ทางการของคลังหนังสือซิลเวอร์บลู ในที่สุดก็มีข้อความว่าฉู่ขวงจะปล่อยหนังสือเรื่องใหม่ ซึ่งนับได้ว่าเป็นวิธีการอุ่นเครื่องในการโปรโมตหนังสือเรื่องใหม่
ทันทีที่ข่าวนี้โพสต์ออกไป
บรรดาแฟนหนังสือของฉู่ขวงก็ตื่นเต้นกันยกใหญ่!
………………………………………………………..