Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 122 บันทึกของรุ่นพี่เย่าหั่ว
ตอนที่ 122 บันทึกของรุ่นพี่เย่าหั่ว
เช้าตรู่วันต่อมา
หลินเยวียนพาพี่สาวลงมากินอาหารเช้า
เมื่อกินอาหารเช้าเสร็จ พี่สาวกำลังจะไปจ่ายเงิน คุณป้าที่เก็บเงินรีบโบกไม้โบกมือ “ไม่ต้องๆ”
“หา?”
ช่วงนี้ฉันเจอแต่เรื่องอะไรเนี่ย
มาที่ร้านอาหารเช้าก็สแกนใบหน้าได้เลย?
ฉันคงเป็นตัวเอกของโลกใบนี้จริงๆ ล่ะมั้ง
และเมืองซูก็เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นประจักษ์ในความรุ่งโรจน์ของฉัน?
คุณป้ามองหลินเยวียน ทำลายความเพ้อฝันของหลินเซวียนด้วยประโยคเดียว “คุณมีความสัมพันธ์กับท่านนี้ยังไง คะ”
หลินเซวียนชะงัก ตอบว่า “เขาเป็นน้องชายฉันค่ะ”
คุณป้ายิ้มกล่าว “พี่น้องแท้ๆ หรือคะ ใช่แหละ ถึงยังไงพวกเธอก็หน้าเหมือนกันขนาดนี้ ยีนบ้านพวกเธอดีจังเลย ไม่เป็นไร พวกเธอมากินข้าวเช้าที่นี่ไม่ต้องจ่ายเงิน”
หลินเซวียน “???”
หลินเยวียนพูด ‘ขอบคุณครับ’ ก่อนพาพี่สาวเดินออกมา
หลินเซวียนสับสน “นายจ่ายเงินค่าอาหารเช้าครั้งเดียวแล้วกินได้ทั้งปีหรือไง”
หลินเยวียนส่ายหน้า “เจ้าของร้านอาหารเช้าเป็นเพื่อนผม”
หลินเซวียนตกใจ “บังเอิญจังเลย ร้านอาหารเช้าของเพื่อนนายมาเปิดอยู่ด้านล่างไม่ไกลจากที่พักนายพอดี”
หลินเยวียนพูด “ใช่ ช่วงเที่ยงพี่พักแล้วส่งข้อความมานะ พวกเราไปกินซี่โครงกัน เพื่อนผมคนนี้จะเลี้ยง”
“กินซี่โครงจริงเหรอ ได้สิ พี่เองก็จะได้รู้จักเพื่อนใหม่นายไปด้วย เรียกพวกเจี่ยนอี้มาด้วยเลยสิ ไม่ได้เจอนานแล้ว”
“ครับ”
หลินเยวียนพยักหน้า
พี่สาวกำลังจะเรียกรถไปบริษัท
หลินเยวียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น “พี่มีใบขับขี่ไม่ใช่เหรอ ซื้อรถสักคันสิ”
หลินเซวียนถอนหายใจ “นายคงไม่ได้จะออกเงินให้หรอกใช่มั้ย ซื้อรถดีกว่าเรียกรถตรงไหนล่ะ”
“สะดวกกว่า” หลินเยวียนตอบ
หลินเซวียนมาคิดๆ ดูก็จริง ต่อไปน้องชายน้องสาวอยู่ที่เมืองซูกันหมด มีรถสักคันก็สะดวกดี
“งั้นเอาไว้พี่จะไปซื้อ นายชอบรถแบบไหนล่ะ”
หลินเยวียนหยุดคิด “พี่ขาดเงินหรือเปล่า”
ถึงแม้จะไม่รู้เรื่องรถ แต่ซื้อรถน่าจะใช้เงินไม่น้อยเลยทีเดียว
หลินเซวียน “…”
ประโยคนี้เหมือนจะเคยได้ยินมาก่อนนะ?
นี่คือวิธีที่น้องชายใช้แสดงความรัก?
หลินเยวียนไม่ทันรอให้พี่สาวตอบ ก็โอนเงินห้าแสนหยวนไปทันที มีแค่ในช่วงเวลาแบบนี้ที่เขาใจกว้างจนน่าตกใจ
ห้าแสน?
หลินเซวียนมองการแจ้งเตือนในโทรศัพท์ แทบถูกเงินของหลินเยวียนหล่นลงมากระแทกจนมึนงง ถ้าไม่ใช่น้องชาย เธอต้องตอบแทนด้วยร่างกายเลยไหม
และไม่รู้ว่าต่อไปจะไปถูกสาวที่ไหนหลอกให้เปย์หรือเปล่า
ถ้าคิดไม่ซื่อละก็ คอยดูถ้ามาหนึ่งคนฉันจะทุบหนึ่งคน มาสองคนฉันก็ทุบสองคน
ไม่มีใครรอดตาทิพย์ของฉันไปได้หรอก!
……
ผ่านไปไม่นาน
หลินเยวียนก็เดินมาถึงวิทยาลัย
ในใจของเขานึกลังเล
เขากำลังขบคิดเรื่องที่ปีหน้าจะไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ฉีโจว
ในตอนนี้พี่สาวมาอยู่ที่เมืองซูแล้ว น้องสาวก็น่าจะใกล้มาแล้วเหมือนกัน ตนมั่นใจหรือว่าปีหน้าจะไป
ไว้ค่อยคิดก็แล้วกัน
เขามุ่งหน้าไปยังห้องเรียน
ระหว่างทางก็ส่งข้อความหาซย่าฝานกับเจี่ยนอี้ บอกพวกเขาว่าพี่สาวของตนมาทำงานที่เมืองซูแล้ว และนัดกินมื้อเที่ยงของวันนี้ด้วย
ทั้งสองคนตอบรับด้วยความยินดี
เจี่ยนอี้กับซย่าฝานชอบพี่สาวของหลินเยวียนมาก ตอนเด็กๆ หลินเซวียนเคยพาพวกเขาไปเล่นที่ร้านเกมด้วย
ตอนนั้นทุกคนล้วนเป็นมือฉมังในการเล่นเกม น่าเสียดายที่ตอนหลังถูกผู้ปกครองพากลับบ้าน
มาถึงห้องเรียนแล้ว
วิชาแรกเป็นวิชาสาขาของหวาลี่อาจารย์ที่ปรึกษา หลินเยวียนยังคงตั้งใจเรียนเฉกเช่นที่ผ่านมา แต่ในเมื่อวิชา เรียนจบลง หวาลี่ก็ประกาศเรื่องหนึ่ง “การประเมินประจำปีการศึกษาของพวกเธอ พรุ่งนี้วิทยาลัยจะเริ่มตรวจอย่างเป็นทางการ ทุกคนเตรียมตัวเตรียมใจให้ดี”
ในชั้นเรียน
ชั่วขณะนั้นทุกคนพลันตกประหม่าขึ้นมา การประเมินประจำปีการศึกษาในครั้งนี้มีความสำคัญมากแค่ไหนคงไม่ต้องอธิบาย ด้วยเหตุนี้ทุกคนถึงพยายายามกันมาก และย่อมคาดหวังถึงผลลัพธ์ที่ดี
“ไม่ต้องกังวลกันเกินไป”
หวาลี่บอกด้วยรอยยิ้ม “อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกพวกเธอ พรุ่งนี้จะมีผู้ใหญ่จากวิทยาลัยศิลปะฉินตงมาเยี่ยมชม ความสะอาดเรียบร้อยของห้องเรียนต้องจัดการให้ดี อย่าให้มีผิดพลาดเรื่องระเบียบวินัย เช่นการโดดเรียนอะไรทำนองนั้น ถ้าถูกจับได้จะแย่ ห้ามทำเรื่องขายหน้าต่อหน้าวิทยาลัยศิลปะฉินตงเป็นอันขาด”
“ครับ/ค่ะ!”
นักศึกษารีบเอ่ยตอบ
วิทยาลัยศิลปะฉินตงและวิทยาลัยศิลปะฉินโจวเป็นคู่แข่งกัน ผู้ใหญ่จากวิทยาลัยศิลปะฉินตงมาเยี่ยมเยียน นักศึกษาย่อมไม่มีทางเหลวไหล เพราะเรื่องนี้มีผลไปถึงปัญหาเรื่องหน้าตาของสถาบัน ทุกครั้งที่มีสถานการณ์แบบนี้ ทุกคนจะรู้หน้าที่กันเป็นพิเศษ
……
ช่วงเที่ยงวัน
ในตอนนี้รถของซุนเย่าหั่วจอดอยู่หน้าประตูวิทยาลัยศิลปะฉินโจว
หลินเยวียนแนะนำกับเจี่ยนอี้ “นี่คือรุ่นพี่ซุนเย่าหั่ว”
เจี่ยนอี้เอ่ยทักทาย “สวัสดีครับรุ่นพี่ ผมชื่อเจี่ยนอี้ เป็นเพื่อนสนิทหลินเยวียน”
ซุนเย่าหั่วยิ้มเอ่ย “สวัสดี ขึ้นรถเถอะ”
ทันทีที่ขึ้นรถมาซย่าฝานก็แดกดัน “รุ่นพี่เย่าหั่ว เรื่องที่หลินเยวียนคือเซี่ยนอวี๋ นึกไม่ถึงเลยว่าพี่จะปิดบังพวกเรามาตลอด!”
ซย่าฝานไม่ต้องให้หลินเยวียนแนะนำ เพราะเธอรู้จักกับซุนเย่าหั่ว
ซุนเย่าหั่วมองหลินเยวียน เมื่อเห็นว่าหลินเยวียนยังนิ่งเฉย ก็แค่นหัวเราะพลางเปลี่ยนบทสนทนา “ฉันก็ทำอะไรแบบเงียบๆ ไง วันนี้จะกินซี่โครงใช่มั้ย ฉันหาร้านที่ทำซี่โครงได้สุดยอดมากๆ เจอร้านหนึ่ง!”
“ซู้ด”
ซย่าฝานถูกเบนความสนใจได้สำเร็จ
ผ่านไปยี่สิบกว่านาที ทุกคนก็ถึงที่ร้านอาหาร หลินเยวียนพบว่าพี่สาวมาถึงแล้ว กำลังเอ่ยทักทายจากระยะไกล
“ไม่เจอกันนานเลย”
หลินเซวียนกับเจี่ยนอี้และซย่าฝานทักทายกัน
ซย่าฝานเดินเข้าไปกอดหลินเซวียน เจี่ยนอี้ที่มองอยู่เกือบทนไม่ไหว แต่สุดท้ายก็ข่มกลั้นไว้
ตอนเด็กๆ เขาเคยถูกหลินเซวียนรังแก
แต่เขาก็ยังพูดอย่างยิ้มร่า “พี่สวยขึ้นทุกวันเลยนะเนี่ย”
หลินเซวียนตอบ “กะล่อนมาก นายอย่าพาหลินเยวียนเสียคนเชียวนะ”
เจี่ยนอี้ไม่กล้าต่อปากต่อคำอีก
จากนั้นหลินเยวียนก็แนะนำให้ซุนเย่าหั่วรู้จักกับหลินเซวียน
หลังจากต่างคนต่างทักทายกันแล้ว ทุกคนก็นั่งประจำที่
ซย่าฝานสนิทกับหลินเซวียนมาก พูดคุยกับเธอไม่หยุด “ต่อไปพี่จะมาทำงานที่เมืองซูใช่มั้ย”
หลินเซวียนยิ้มเอ่ย “ใช่แล้วละ ต่อไปพี่จะคอยดูแลพวกเราให้มากๆ”
“ไว้วันหลังไปกินหม้อไฟกัน ไม่ได้กินหม้อไฟกับพี่มานานแล้ว จำได้ว่าตอนเด็กๆ ความฝันของพี่คือกิน หม้อไฟทุกวัน!”
หลินเซวียนกระแอม “เรื่องพวกนี้ไม่ต้องพูดออกมาหรอก ฉันยังไม่พูดเลยว่าตอนที่เธอกังวลก็จะ…”
ซย่าฝานรีบยกมือยอมแพ้
หลินเยวียนกับเจี่ยนอี้แสร้งไม่รู้ไม่ชี้
ซุนเย่าหั่วลอบพิมพ์ในสมุดบันทึกบนโทรศัพท์ นี่คือบันทึกอันล้ำค่าของเขา
‘32. หลังจากนี้พี่สาวของเซี่ยนอวี๋จะมาทำงานที่เมืองซู เจ้าแม่ชอบกินหม้อไฟ (ต่อไปลองเปิดร้านหม้อไฟ)’
ในสมุดบันทึกเขียนข้อมูลไว้หลายบรรทัด
1. เซี่ยนอวี๋ชอบกินขาหมู (ไม่หวานเกินไป)
2. เซี่ยนอวี๋ไม่มีเรียนช่วงบ่ายวันพุธ (นัดกินข้าวได้)
3. เซี่ยนอวี๋ชอบน้ำสตรอว์เบอร์รีกับน้ำส้ม ชานมไม่ใส่ไข่มุก (ร้านชานมต้องทำเซ็ตพิเศษ)
4. เซี่ยนอวี๋กินอาหารเช้าไม่เยอะ ทุกวันต้องกินขนมปังหนึ่งชิ้นกับน้ำเต้าหู้ (บางครั้งน้ำเต้าหู้ก็เปลี่ยนเป็นเต้าฮวยต้มเค็ม ฉันเลยตัดสินใจว่าจะแปรพักตร์จากเต้าฮวยหวานไปอยู่พรรคเต้าฮวยเค็ม)
5. วันที่ฝนตกต้องไปรับเซี่ยนอวี๋ไปเรียน
6. ฤดูร้อนเซียนอวี๋ชอบอุณหภูมิรถที่ 25 องศา
7. …
จนถึงตอนนี้ ในบันทึกมีทั้งหมด 32 ข้อแล้ว
มาคิดดู ซุนเย่าหั่วจึงเพิ่มไปอีกหนึ่งข้อ
33. ซย่าฝานกับเจี่ยนอี้เป็นเพื่อนสนิทของเซี่ยนอวี๋ ตอนที่เธอกังวลก็จะ (?)
มาคิดๆ ดูอีกที ซุนเย่าหั่วจึงลบคำว่า ‘กับเจี่ยนอี้ออก’
……
ในตอนนั้น พนักงานก็ยกอาหารมา
ทุกคนเห็นซี่โครงถูกยกมาแต่ละจานๆ สีหน้าก็ตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ
ซุนเย่าหั่วกลับเอ่ยแนะนำอย่างเป็นธรรมชาติ “นี่คือน้ำแกงเห็ดหอมซี่โครง นี่คือมันฝรั่งตุ๋นซี่โครง เนื้อสับข้าวคั่วนี่ก็ใช้ซี่โครงทำ นี่คือซี่โครงเปรี้ยวหวาน ไม่รู้ว่าพวกนายจะชอบหรือเปล่า แล้วก็ยังมีซี่โครงน้ำแดง ทางนี้คือซี่โครงพริกเกลือ อันนี้คือซี่โครงชีสที่ดูมีลูกเล่นหน่อย ได้ยินว่าผู้หญิงชอบกิน…”
กิน…ซี่โครงจริงๆ?
ซุนเย่าหั่วมองไปยังหลินเยวียน “รุ่นน้องหลิน นายพอใจมั้ย ถ้าอยากได้อะไรอีกพวกเราสั่งเพิ่มได้เลย”
หลินเยวียนพูด “กินไม่หมดแล้วครับ”
เจี่ยนอี้บอก “ฉันห่อกลับบ้านได้นะ พวกเพื่อนที่หอฉันชอบกินซี่โครงสุดๆ เลย ได้มั้ยครับรุ่นพี่ซุน”
ซุนเย่าหั่วโบกมือ “ห่อกลับทำไม ให้พวกเขาทำเพิ่มอีกชุดไปเลย”
เจี่ยนอี้ “…”
นี่คือความบ้าบิ่นของรุ่นพี่ใช่มั้ยเนี่ย
ส่วนซย่าฝานกำหมัด “รุ่นพี่ ช่วยให้กำลังใจกับความฝันเป็นนักร้องของฉันด้วยนะ!”
“สู้ๆ!”
ซุนเย่าหั่วพูดจบ ก็หันไปมองหลินเซวียนด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม “เจ้า…พี่สาวทางนี้ชอบกินอะไรครับ ที่จริงร้านนี้มีอาหารอย่างอื่นเยอะแยะเลย แต่ซี่โครงขึ้นชื่อที่สุด สั่งได้เลย!”
หลินเซวียน “…”
ร้านอาหารเช้า งานเลี้ยงซี่โครง รู้สึกว่ามีอะไรแปลกชอบกล
ทำไมภาพเหตุการณ์นี้ถึงเป็นเดจาวู
มองข้ามอะไรไปกันแน่นะ
หลังจากที่ล้างมือแล้วหลินเซวียนก็ขี้เกียจสวมถุงมือ หยิบซี่โครงชิ้นใหญ่ขึ้นมา กัดไปพลาง ขบคิดไปพลาง
………………………………………………………………