Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 17 ถ้าไม่ไฟแรง จะเรียกว่าวัยรุ่นเหรอ
- Home
- Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน
- ตอนที่ 17 ถ้าไม่ไฟแรง จะเรียกว่าวัยรุ่นเหรอ
ตอนที่ 17 ถ้าไม่ไฟแรง จะเรียกว่าวัยรุ่นเหรอ
หลังจากนั้นอีกหลายวัน วิชาเรียนของหลินเยวียนก็แน่นเอี้ยด เขาไม่มีเวลาไปห้องซ้อมเปียโนอีก
ต่อให้มีเวลาว่างบ้างเป็นครั้งคราว เขาก็จะใช้เวลาไปกับเจี่ยนอี้และซย่าฝาน
ปลายเดือนเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
หลินเยวียนกลับไปบริษัทอีกครั้ง
เขาไม่ได้นั่งอยู่ที่แผนกประพันธ์เพลง แต่กลับอัดเพลงอยู่ในสตูดิโอครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็อัดเพลง ‘ปลายักษ์’ ออกมาเป็นที่เรียบร้อย
ครั้งนี้
เขายังคงควบรวมทั้งแต่งเนื้อเพลง แต่งทำนอง และเรียบเรียงเพลง
มิหนำซ้ำในส่วนของเปียโนในการเรียบเรียงเพลง ก็เป็นเขาที่ลงมือจัดการเอง
แม้เขาจะถูกผู้หญิงคนหนึ่งในวิทยาลัยวิจารณ์ว่า ‘สกิลเปียโนอ่อนหัด’ แต่เป็นเพราะระดับของนักเปียโนท่านนั้นที่บริษัทจัดหามานั้นใกล้เคียงกับระดับของหลินเยวียน หลินเยวียนจึงลงมือเองซะเลย จะได้เทียบเคียงอารมณ์เพลงได้ด้วย
เมื่ออัดเพลงเสร็จ
เขาก็ส่งผลงานไปยังอีเมลภายในบริษัทของหัวหน้าเหล่าโจว แถมยังจงใจเขียนหมายเหตุไปว่า
‘OST. [1]’
สิ่งที่เรียกว่า OST. ก็คือเพลงที่สะท้อนมุมมองหรืออารมณ์ของงานต้นฉบับ ผลงานอย่าง ‘ปลายักษ์’ ที่ทั้งเนื้อเพลงและสไตล์ค่อนข้างเข้าได้กับบรรยากาศของอนิเมชั่น จัดได้ว่าเป็น OST. ที่ค่อนข้างคลาสสิกเพลงหนึ่ง
ส่งเพลงเสร็จ
หลินเยวียนเห็นว่างานช่วงเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงไปกินข้าวในโรงอาหารของบริษัท เมื่อเทียบกับในวิทยาลัยแล้ว โรงอาหารของบริษัทนั้นราคาถูกและอร่อยกว่าซะอีก
ขณะเดียวกัน
ในห้องทำงานของหัวหน้าแผนก
เหล่าโจวเองก็กำลังจะไปกินข้าวที่โรงอาหารเหมือนกัน แต่ก็ได้รับอีเมลจากหลินเยวียนกะทันหัน ทำให้เขาชะงักกลางคัน
“หลินเยวียนส่ง OST.มา?”
หลินเยวียนเป็นคนแรกในชั้นสิบที่ส่งงานมา!
ทว่าเหล่าโจวในฐานะหัวหน้าแผนก เขาไม่เพียงไม่ได้รู้สึกดีใจกับเรื่องนี้ แต่หัวคิ้วกลับขมวดมุ่นขึ้นมา
แรกเริ่มเดิมทีเขารู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านขึ้นมา เพราะออเดอร์ ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ นี้ถึงคราวล้มเหลวไม่เป็นท่า ถึงขั้นว่าอยากจะต่อว่าหลินเยวียนเดี๋ยวนั้น
แต่เมื่อคิดว่าถึงอย่างไรหลินเยวียนก็เป็นเด็กใหม่ที่ตนพาเข้ามาในแผนกประพันธ์เพลงด้วยตนเอง ความสามารถในการรับคำตำหนิสู้คนอายุมากไม่ได้ สุดท้ายเขาจึงอดกลั้นเอาไว้ดีกว่า
เพียงแต่ในใจของเหล่าโจวก็ยังอดรู้สึกหมดหวังไม่ได้
เพราะวันนี้ห่างจากวันที่เขามอบหมายภารกิจแต่งเพลงประกอบเรื่อง ‘มังกรมัจฉาเริงระบำ’ ให้กับคนทั้งชั้นสิบเพียงแค่สองสัปดาห์ คิดคำนวณเบ็ดเสร็จก็เป็นเวลาแค่สิบกว่าวันเท่านั้นเอง!
สำหรับนักประพันธ์เพลงคนหนึ่งแล้ว…
เวลาน้อยขนาดนี้ จะเขียนเพลงดีๆ ที่ไหนออกมาได้
นี่คือข้อเสียของการเป็นคนดังตั้งแต่เด็ก
วันรุ่นไฟแรงไงล่ะ!
หลินเยวียนก็ไม่อาจรอดพ้นปัญหานี้
ความสำเร็จในชาร์ตดาวรุ่งทำให้เด็กวัยรุ่นคนนี้เกิดความหยิ่งผยอง
เพียงแต่เหล่าโจวนึกไม่ถึงว่าหลินเยวียนจะถึงกับทะนงตนจนกล้าส่งเพลงที่ใช้เวลาแค่สองสัปดาห์มา
“เดี๋ยวต้องเรียกเขามาคุยสักหน่อย”
เหล่าโจวถอนหายใจ ความเศร้าหมองสุมอยู่ในอก
ความโดดเด่นของ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ทำให้เหล่าโจวมองหลินเยวียนในแง่ดี เขาไม่สามารถทนดูต้นอ่อนชั้นดีซึ่งในอนาคตอาจเติบโตไปเป็นนักประพันธ์เพลงมือทองของบริษัทต้องเติบโตอย่างเบี้ยวๆ บูดๆ
วันนี้ละ!
ตอนเข้างานช่วงบ่าย จะต้องหาวิธีที่ไม่รุนแรงไปอบรมหลินเยวียนสักรอบ!
ในตอนนี้
เหล่าโจวถึงกับไม่อยากกดเปิดเพลงชื่อ ‘ปลายักษ์’ ที่หลินเยวียนส่งมาเลย ถึงมันจะอยู่ในความรับผิดชอบของเขาในฐานะหัวหน้าก็เถอะ
ทว่ามีเพียงการฟังเพลงให้จบ ถึงจะชี้ข้อบกพร่องของหลินเยวียนได้
ฉะนั้นแล้ว เพื่อที่จะสรรหาเรื่องมาพูดในช่วงบ่าย เหล่าโจวจึงใส่รหัสชั่วคราวสำหรับเข้าระบบภายในบริษัท กดเปิดเพลงของหลินเยวียน
แม้ว่าเขาจะขี้เกียจใส่หูฟังก็ตามแต่
……
เสียงจากลำโพง เป็นเสียงสามพยางค์ซึ่งเป็นเสียงเฉพาะของเปียโนดังขึ้น บรรเลงท่วงทำนองในท่อนแรก
จากนั้นท่อนเวิร์สก็เข้ามา
ฟังเนื้อเพลงไปได้เพียงสองประโยค เหล่าโจวก็ส่งเสียงแผ่วเบาด้วยความประหลาดใจ หัวคิ้วที่ขมวดแน่นก็พลันคลายลงไปมาก
ดูเหมือนว่า…
จะใช้ได้อยู่นะ?
ท่อนเวิร์สค่อยๆ จบลง ตั้งแต่คอรัสเริ่มต้น หัวใจของเหล่าโจวก็พลันเต้นระรัวขึ้น แววตาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
ร่างกายของเขาขยับขึ้นหน้าเล็กน้อย ราวกับเพื่อให้เข้าใกล้เสียงดนตรีมากยิ่งขึ้น
และเมื่อถึงท่อนประสานเสียงของเนื้อเพลงช่วงสุดท้าย ปากของเหล่าโจวก็เผยอค้างอย่างห้ามไม่อยู่แล้ว
มิหนำซ้ำยังหุบไม่ลงไปจนจบเพลง
“เพลงนี้…”
เหล่าโจวสูดลมหายใจเข้าลึก
เขาหยิบหูฟังสั่งทำสุดรักสุดหวงออกมาจากลิ้นชัก ใส่ลงให้กระชับ จากนั้นก็กดเล่นเพลง ‘ปลายักษ์’ อีกครั้ง
ทำนองเพลงเดียวกัน
แต่ในครั้งนี้ ระบบเสียงเซอร์ราวด์ของหูฟังก็ยกระดับคุณภาพเสียงของเพลง ทำให้เหล่าโจวแยกแยะทุกรายละเอียดของเพลงนี้ออก เข้าถึงอารมณ์ของดนตรีได้มากขึ้นอีกหลายส่วน!
ฉะนั้น เมื่อถึงช่วงท่อนประสานเสียงของเพลง
ทั้งร่างของเขาก็ขนลุกเกรียวขึ้นมา!
เหล่าโจวกลืนน้ำลาย
ฝืนออกแรงกดเล่นเพลงเป็นครั้งที่สาม
อันที่จริงไม่ว่าจะฟังเพลงกี่รอบ ทำนองก็ล้วนเป็นทำนองเดิม มันไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปตามจำนวนครั้งที่เพิ่มขึ้น
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงจริงๆ ก็คือคนที่ฟังเพลงต่างหาก
“เหอะๆๆๆๆๆๆๆ…”
เหล่าโจวหลุดหัวเราะลั่น ร่างกายโยกเบาๆ ไปตามทำนองจบของเพลงรอบที่สาม
เก้าอี้ซึ่งเขานั่งอยู่ก็ขยับไปตามการเคลื่อนไหวร่างกายของเขา ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดคลอไปกับเสียงหัวเราะของเขาไม่หยุุด
หัวเราะยังไม่ทันไร จู่ๆ เขาก็ตบหน้าผากตนเอง
หลังจากดาวน์โหลดเพลงอย่างระมัดระวัง ทั้งยังใส่รหัสและปิดผนึกต้นฉบับแล้ว เหล่าโจวก็ผุดกายลุกพรวดขึ้น
ใบหน้าถึงกับแดงระเรื่อขึ้นมา
……
หลินเยวียนชอบกินขาหมูน้ำแดงในโรงอาหารบริษัทเป็นที่สุด
ขาหมูน้ำแดงของโรงอาหารของบริษัทไม่หวานเลี่ยนเท่าไรนัก ไม่เหมือนกับขาหมูน้ำแดงที่เมื่อก่อนกินบ่อยๆ เนื้อก็ตุ๋นจนเปื่อย ต่อให้เป็นหนังด้านนอกก็ทำได้ถึงขั้นละลายทันทีที่เข้าปาก ทำให้เขากินได้อย่างเพลิดเพลิน
ด้านหลัง
ห่างออกไปหนึ่งโต๊ะ มีคนจากแผนกประพันธ์เพลงนั่งอยู่สามสี่คน กำลังกระซิบกระซาบกันอยู่
“นั่นเซี่ยนอวี๋ไง”
“ดูหล่อแล้วก็ยังอายุน้อยอยู่เลย”
“เซี่ยนอวี๋เนี่ยนะ เหอะๆ หล่อแล้วก็อายุน้อยก็จริง แต่ดูนิสัยไม่ดีเท่าไหร่ ถึงกับเสียมารยาทกับพี่จิงเชียวนะ”
“ใช่ เด็กคนนี้ดูไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเลย”
“เชอะ ดังตอนอายุน้อยถึงได้อวดเก่งไงล่ะ อยู่ในสายอาชีพนี้มาตั้งกี่ปี เด็กใหม่ประเภทนี้พวกเราเห็นมาน้อยซะที่ไหนล่ะ”
“เขียนเพลงดีๆ มาได้เพลงเดียวก็คิดว่าตัวเองเป็นพ่อเพลงแล้วหรือไง”
“ก็แค่เพลงดีที่เขียนได้เพราะมีแรงบันดาลใจ อาชีพนี้จะสอนเขาเองแหละว่าต่อไปให้รู้สถานะของตัวเองบ้าง”
ระหว่างที่ซุบซิบนินทาผู้อื่นอยู่นั้น
บทสนทนาของพวกเขาก็ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ
อยู่ๆ ผู้ชายหนึ่งในนั้นก็รู้สึกเย็นวาบจากด้านหลัง ทันทีที่หันไปก็เห็นใบหน้าดำทะมึนราวกับก้นหม้อ พานพากันตะลึงลาน
“หะ…หัวหน้า…”
“หัวหน้ามาโรงอาหารเองเลยเหรอคะ”
“หัวหน้าอยากกินอะไรครับ เดี๋ยวผมไปสั่งให้!”
เมื่อเผชิญหน้ากับเหล่าโจว นักแต่งเพลงเหล่านี้ก็สั่นสะท้าน
รอบกายเหล่าโจวแผ่กลิ่นอายเย็นเยียบ น้ำเสียงไม่สบอารมณ์สุดๆ “พวกเธอกินข้าวอิ่มเกินไปหรือไง”
“หัวหน้า…พวกเรา…”
เหล่าโจวพูดอย่างเย็นชา “อ้อ ดูท่าจะกินอิ่มกันเกินไปจริงๆ ด้วย งั้นก็ไปออกกำลังกายหน่อยก็แล้วกัน วันนี้คุณป้าแม่บ้านที่ชั้นสิบสองลาหยุดพอดี พวกเธอไปทำความสะอาดชั้นสิบสองก็แล้วกัน โดยเฉพาะห้องน้ำ”
“ค่ะ/ครับ…”
พวกเขาคอตกออกไปอย่างสลดหดหู่ ก่อนเดินออกไปยังกล่าวคำขอโทษ “ขอโทษนะคะ/ครับหัวหน้า ต่อไปพวกเราจะไม่นินทาเพื่อนร่วมงานลับหลังอีกแล้ว”
“ไม่ใช่”
เหล่าโจวเอ่ยท้วง “พวกเธอนินทาคนอื่นก็เรื่องของพวกเธอ ฉันเองก็นินทาคนอื่นลับหลังออกจะบ่อย แต่ห้ามนินทาเขา!”
“หา?”
สีหน้าของพวกเขามึนงง เดินออกไปด้วยความสับสน
ขณะที่กำลังจะเดินออกจากโรงอาหาร จู่ๆ หนึ่งในนั้นก็หันหลังไป ก็เห็นว่าสีหน้าของเหล่าโจวเปลี่ยนไป ยิ้มร่าเดินไปหาหลินเยวียน
“อะไรวะเนี่ย”
นักประพันธ์เพลงกลุ่มนี้มองหน้ากัน ต่างคนต่างมีสีหน้าราวกับเห็นผี
……
หลินเยวียนกำลังกินขาหมูน้ำแดง จู่ๆ เห็นว่ามีคนคีบผักให้ตนเอง “เป็นวัยรุ่นอย่าเลือกกิน ต้องกินผักเยอะๆ”
“ครับ”
หลินเยวียนตอบรับ แต่ปากยังกินขาหมูอยู่
เหล่าโจวไม่ได้โกรธเคือง ยังคงมีท่าทางเป็นมิตร “อยู่แผนกประพันธ์เพลงมาเป็นยังไง ปรับตัวได้หรือยัง มีอะไรที่ไม่คุ้นเคยก็บอกฉันได้”
“ดีมากครับ”
หลินเยวียนพูดความจริง เขาไม่ได้คลุกคลีกับคนในชั้นอื่นๆ เท่าไร แต่เพื่อนร่วมงานแผนกประพันธ์เพลงชั้นสิบดีกับหลินเยวียนมาก
“งั้นก็ดีแล้ว”
เหล่าโจวกินข้าวอย่างไม่รีบร้อน ยิ้มกรุ้มกริ่มเอ่ย “สิ่งที่เสี่ยวจ้าวให้นายได้ก่อนหน้านี้ ฉันโจวรุ่ยหมิงก็ให้นายได้ ให้ได้มากกว่าด้วยซ้ำ! เพราะงั้นนายต้องการอะไรบอกฉันได้เลยนะ!”
“งั้นผมไม่กินผักกวางตุ้งได้มั้ย”
หลินเยวียนมองผักกวางตุ้งในจานด้วยสีหน้าลำบากใจอยู่บ้าง
เหล่าโจวแทบสำลัก แต่ก็หลุดหัวเราะออกมาทันใด “แน่นอนอยู่แล้ว วัยรุ่นกำลังโต ต้องกินเนื้อเยอะๆ สิ!”
“อื้ม”
“นายอยู่ที่วิทยาลัยเป็นยังไงบ้าง”
“ที่วิทยาลัยก็ดีครับ”
“อย่างนั้นเหรอ ที่จริงฉันรู้ว่านักศึกษาที่วิทยาลัยนายขยันกันมาก ถ้าเรื่องเรียนไม่เข้าใจตรงไหนก็มาบอกฉันได้”
“ขอบคุณครับ”
หลินเยวียนกินข้าวต่อ
เหล่าโจวมองหลินเยวียนพลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขาชื่นชมเด็กคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
ใช่แล้ว!
เด็กปีสองไม่ใช่เหรอ! เป็นวัยรุ่นไฟแรง! ไม่เกรงกลัวต่ออำนาจ! ถึงได้มีท่าทีไม่เห็นหัวหน้าอยู่ในสายตาแบบนี้!
ถ้าไม่ไฟแรง จะเรียกว่าวัยรุ่นเหรอ!
……………………………….
[1] OST ย่อมาจาก original soundtrack