Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 396 แปลงโฉมน้องชายครั้งใหญ่
ตอนที่ 396 แปลงโฉมน้องชายครั้งใหญ่
นับตั้งแต่เรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญูเข้าฉายอย่างเป็นทางการ หลินเยวียนก็ให้ความสนใจกับเสียงตอบรับของภาพยนตร์มาโดยตลอด รวมไปถึงเรื่องที่ชาวเน็ตจำนวนมากจงใจแกล้งคนอื่น เขาเองก็ได้ยินมาเช่นกัน เพียงแต่หลินเยวียนไม่คิดว่ารอบตัวเขาจะมีตัวอย่างของคนที่ถูกตุ๋นจนเปื่อยให้เห็น
เขาทำได้เพียงแสดงความเห็นอกเห็นใจ
วันรุ่งขึ้น หลินหยวนตื่นแต่เช้า อาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน และทานอาหารตามปกติ จากนั้นก็เตรียมตัวไปที่บริษัท
เดือนธันวาคมใกล้เข้ามาแล้ว
อากาศเริ่มเย็นลง
คนที่ร่างกายอ่อนแออย่างหลินเยวียนเริ่มพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะใส่ลองจอนส์ แต่เมื่อคิดว่าฤดูหนาวยังไม่มาถึงอย่างเป็นทางการ เขาจึงล้มเลิกความคิดนี้ไป ถ้าสวมลองจอนส์ตั้งแต่ตอนนี้ พอถึงฤดูหนาวจะปรับตัวไหวหรือ?
จะให้ใส่ลองจอนส์ทับสองชั้นก็คงไม่ได้ล่ะมั้ง?
หลินเยวียนทำได้เพียงสวมเสื้อคลุมทับให้หนาขึ้น และเปลี่ยนไปสวมกางเกงยีนส์บุขน เขาไม่ได้พิถีพิถันเรื่องการแต่งตัว ถึงแม้จะไม่ได้ถึงขั้นสวมเสื้อผ้าสีเขียวสีแดงออกจากบ้านอย่างไม่สนใจ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องศิลปะการจับคู่สีเสื้อผ้า
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมในครอบครัวของเขาเมื่อยังเป็นเด็ก
อันที่จริงการแต่งตัวของหลินเยวียนนั้นเรียบง่ายตั้งแต่ยังเด็ก
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับรสนิยมส่วนตัว แต่เกี่ยวข้องกับสถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว
ต่อให้เป็นคนที่มีรสนิยมหรือมีหน้ามีตาดีแค่ไหน แต่สวมเสื้อผ้าที่ปะชุนหลายครั้งมานานหลายปี สะพายกระเป๋าเป้สีเขียวทหารแต่ใช้มานานหลายปีจนเริ่มกลายเป็นสีขาว ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงความมอซอ
หลินเยวียนไม่มีทางเลือก และแน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน
เพียงแต่ใบหน้าระดับลูกรักพระเจ้าและรูปร่างสูงโปร่งแลดูสง่า จึงข่มความมอซอได้ในระดับหนึ่ง มิหนำซ้ำกลับขับให้โดดเด่นกว่าเดิมด้วย
วันนี้ต่างออกไป
ปัจจุบันนี้หลินเยวียนมีรายได้สูงมาก คุณภาพของเสื้อผ้าจึงสูงขึ้นตามไปด้วย แต่ความเคยชินในวัยเด็กของเขาไม่ได้เปลี่ยนไป เขายังคงมีทัศนคติว่ามีอะไรก็ใส่อย่างนั้น ไม่เคยจงใจแต่งองค์ทรงเครื่องให้ยุ่งยาก
เดิมทีเป็นเช่นนั้น
แต่เมื่อเขาสวมชุดนี้และเตรียมตัวไปบริษัท หลินเซวียนที่กำลังกินอาหารเช้าอยู่เพราะตื่นสาย จู่ๆ ก็ร้องเรียกหลินเยวียน
“หยุดอยู่ตรงนั้น”
“มีอะไร”
หลินเยวียนหันไปหาพี่สาวด้วยความสับสน หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเตรียมกดโอนเงิน
ทุกครั้งที่พี่สาวคนนี้เรียกให้เขาหยุดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย โดยทั่วไปแล้วเธอมักจะแบมือขอเงินค่าขนม
แต่ครั้งนี้หลินเซวียนไม่ได้มีเจตนาขอเงิน เพียงแต่มองประเมินหลินเยวียนขึ้นๆ ลงๆ พลางส่งเสียงจุ๊ๆ เบาๆ
“ได้เวลาเปลี่ยนชุดแล้ว”
“ผมว่าแบบนี้ดีอยู่แล้ว”
หลินเยวียนไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้
ในครอบครัวนี้มีเพียงหลินเซวียนที่สนใจเรื่องการแต่งตัว เธออ่านนิตยสารแฟชั่นใหม่ล่าสุด เวลาว่างชื่นชอบศึกษาเสื้อผ้าของนางแบบ บางครั้งก็ใช้เงินไปกับการจับจ่ายเสื้อผ้าที่เธอถูกใจ
เงินเดือนไม่พอใช้?
ไปปอกลอกน้องชายก็ได้
หลินเซวียนไม่ได้เป็นเด็กหญิงตัวน้อยน่าสงสารที่ต้องขบคิดอย่างหนักว่าจะใส่ไส้กรอกแฮมลงในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหรือไม่อีกต่อไป ทุกสิ่งที่ใฝ่ฝันในวัยเยาว์ได้รับการเติมเต็มอย่างง่ายดายหลังจากน้องชายประสบความสำเร็จ อีกทั้งเงินเดือนของเธอเองก็ไม่ใช่น้อย ถึงขั้นที่สูงกว่าพนักงานร่วมสายอาชีพด้วยซ้ำไป
คลังหนังสือซิลเวอร์บลูใจกว้างกับเธอเสมอ
อย่างไรก็ตาม วันนี้หลินเซวียนคล้ายจะไม่ได้ต้องการเติมเต็มความใฝ่ฝันของตนอีกต่อไป กรงเล็บของเธอยื่นไปทางน้องชาย “เป็นถึงเซี่ยนอวี๋ ทำไมถึงไม่ใส่ใจการแต่งตัวแบบนี้ บริษัทนายไม่มีเกณฑ์การแต่งตัวหรือไง”
“เหมือนจะมีนะ”
“แล้วนายแต่งตัวแบบนี้?”
“ไม่มีใครว่าอะไรผมนะ”
หลินเซวียนชะงักเพราะคำพูดของหลินเยวียน ดวงตาของเธอหม่นลง คล้ายกับถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจ ผ่านไปชั่วครู่ก่อนจะส่งเสียงหึออกมา “ถึงยังไงน้องชายสุดที่รักของฉันก็ต้องโดดเด่นเตะตา วันนี้พี่หยุดงาน จะพานายไปซื้อเสื้อผ้า!”
“ผมมีเสื้อผ้า”
“นายไม่มีเซนส์ด้านแฟชั่น”
หลินเซวียนไม่รอให้หลินเยวียนตอบปฏิเสธ พาหลินเยวียนขับรถออกไป “หลังจากที่พี่เริ่มทำงาน เสื้อผ้าทั้งหมดของนายเป็นที่พี่ซื้อออนไลน์มา หลังจากนี้เสื้อผ้าของนาย เดี๋ยวพี่ช่วยเลือกเอง”
“อื้อ”
หลินเยวียนยอมจำนน
ถึงแม้ว่าเสื้อผ้าในตอนนี้ของหลินเซวียนมีราคาสูงกว่าเสื้อผ้าของหลินเยวียนหลายเท่า แต่ตอนที่หลินเซวียนเริ่มทำงานใหม่ๆ เสื้อผ้าที่เธอซื้อให้หลินเยวียน โดยทั่วไปแล้วมีราคาตัวละหลายร้อยหยวน
ในจำนวนเงินที่เท่ากัน หลินเซวียนในตอนนั้นสามารถซื้อเสื้อผ้าให้ตนเองได้หลายตัว!
อย่าถามว่าเสื้อผ้าอะไร ไฉนราคาถูกปานนั้น
หลินเซวียนเคยซื้อกระโปรงสั้นราคาตัวละสิบกว่าหยวนหลายตัวจากอินเทอร์เน็ต อีกทั้งกระโปรงสั้นตัวเดียวก็ใส่ได้ครึ่งฤดูร้อน
ยิ่งเมื่อใดที่ไม่ระวัง เผลอทำขาดไป ก็เสียใจอยู่หลายวัน
ในแง่ของความโทรม หลินเซวียนในตอนนั้นโทรมจริงๆ ไม่เหมือนที่เธอบอกกับน้องๆ ก่อนเริ่มทำงานเลย
“ถ้าพี่ทำงานได้เงินแล้ว จะซื้อกระโปรงสวยๆ รองเท้าสวยๆ เสื้อสีดำสุดเซ็กซี่…”
หลังจากมีงานทำ เธอซื้อเสื้อผ้าคุณภาพดีก็จริง แต่ซื้อให้น้องชายและน้องสาว
คนที่รู้จักหลินเซวียน ต่างก็มั่นใจว่า
ต่อให้หลินเซวียนแต่งงานไป เธอก็จะยังอุทิศชีวิตเพื่อน้องๆ อยู่ดี
อันที่จริง หลินเซวียนเองก็ไม่ได้ปิดบังความฝันของเธอที่อยากแต่งงานกับคนมีฐานะ
เพียงแต่ความฝันนี้ก็อันตรธานหายไปหลังจากที่หลินเยวียนสร้างชื่อเสียงในฐานะเซี่ยนอวี๋
เธอในตอนนี้ จึงกลายเป็น ‘คนมีฐานะ’ เสียเอง
เมื่อพาหลินเยวียนมายังห้างสรรพสินค้า หลินเซวียนก็สำแดงวิธีการซื้อเสื้อผ้าของคนมีฐานะ นั่นคือการรูดๆๆ
รูดบัตรรัวๆ
หลินเยวียนกลายเป็นไม้แขวนเสื้อมีชีวิตไปโดยปริยาย
เสื้อผ้าชิ้นใดที่มาสวมอยู่บนร่างกายของหลินเยวียน จะสามารถสะท้อนเจตนารมณ์ดั้งเดิมของดีไซเนอร์ได้เสมอ
ยามที่เสื้อผ้าชุดที่ห้าถูกบรรจุลงถุงแล้ว ในที่สุดหลินเยวียนก็ทนไม่ไหว “มากเกินไปแล้ว”
“งั้นเปลี่ยนที่”
หลินเซวียนมองไปยังห้างสรรพสินค้าอย่างอาลัยอาวรณ์ ยังมีเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซื้ออีกตั้งหลายตัว
เสื้อผ้าเหล่านี้ส่วนมากเป็นเสื้อผ้าที่นายแบบในนิตยสารที่หลินเซวียนอ่านสวมใส่ ตั้งแต่นั้นมา เธอก็เฝ้าฝันว่าหลินเยวียนสวมเสื้อผ้าเหล่านี้แล้วจะเป็นอย่างไร วันนี้เป็นเพียงการวางแผนในการ ‘แปลงโฉมน้องชายครั้งใหญ่’ เท่านั้น
ผลลัพธ์พิสูจน์แล้วว่า คุณสมบัติพื้นฐานของนายแบบเหล่านี้จำกัดอยู่ที่จินตนาการของหลินเซวียนเอง
ถ้าหากก่อนหน้านี้หลินเยวียนไม่ได้มาด้านดนตรี แต่ไปเป็นนายแบบ ครอบครัวก็คงมีรายได้มหาศาลเช่นกัน
“เปลี่ยนที่? ไปไหน” หลินเยวียนคิดว่าพี่สาวยังมีแผนการต่อไป
“ร้านตัดผม พี่นัดอาจารย์โทนี่ไว้แล้ว”
หลินเซวียนยิ้มอย่างได้ใจ และไม่เปิดโอกาสให้หลินเยวียนมีโอกาสปฏิเสธ เธอเหยียบคันเร่งตรงไปยังร้านตัดผมประเภทที่คนทั่วไปเห็นและไม่อยากเข้า
“ร้านนี้เชื่อถือได้ใช่ไหม” หลินเยวียนนึกสงสัย
“พี่เป็นสมาชิกระดับสูงสุดเชียวนะ”
หลินเซวียนย่างสามขุมเข้าไปอย่างวางมาด หลินเยวียนเดินตามไปอย่างจนใจ และพนักงานก็เข้ามาต้อนรับเป็นอย่างดี
ไม่รู้ว่าทำไม หลินเยวียนถึงมองเห็นเงาของรุ่นพี่ซุนเย่าหั่วจากท่าทีของพนักงาน
แน่นอน หลินเยวียนเองก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน
ขณะที่สระผม พนักงานหญิงในร้านแทบทะเลาะกันว่าใครควรเป็นคนสระผมให้หลินเยวียน
หลินเซวียนซึ่งอยู่ด้านข้างเอ่ยแซวว่า “ผมนายยาวเกินไปแล้ว แต่ก็ไม่ชอบตัดผม แบบนี้ไม่ได้นะ”
หลินเยวียนกระซิบ “ทำไมพี่ไม่ไปบอกเหยาเหยาบ้างล่ะ”
หลินเซวียนตอบทันควัน “น้องยังเป็นนักเรียน มากเกินไปก็ไม่ดี เรียนจบแล้วค่อยทำ”
หลินเยวียน “…”
นี่ก็เป็นความเคยชิน ถ้าผมไม่ยาวถึงระดับหนึ่งจริงๆ เขาจะไม่ตัด
ประหยัดเงิน
ภายหลัง แม่ซื้อกรรไกรตัดผมให้พี่ นับตั้งแต่นั้นมา พี่ก็เป็นคนตัดผมให้หลินเยวียนมาโดยตลอด
เขาต้องสวมหมวกตั้งแต่ตัดผมเสร็จ เพราะทรงผมออกจะพิลึกกึกกืออยู่มาก ช่วงหลังถึงจะพอออกไปพบปะผู้คนได้บ้าง
ความจริงพิสูจน์แล้วว่าฝีมือในการตัดผมของพี่มีการพัฒนา
เมื่อหลินเยวียนเดินออกมาจากร้านตัดผม เขาก็รู้สึกมึนงงไปหมด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้คนบนท้องถนนหันมา พี่ผู้หญิงที่อยู่ใกล้ๆ เลียริมฝีปากด้วยซ้ำไป
ปกติแล้วก็มักมีคนมองหลินเยวียน เขาชินกับเรื่องนี้นานแล้ว
เพียงแต่ในวันนี้มีคนหันมามองมากเป็นพิเศษ มากจนถึงขั้นที่ผู้ที่ถูกมองอยู่เป็นนิจมาตั้งแต่เด็กอย่างหลินเยวียนยังรู้สึกอึดอัด
แน่นอน
ลูกค้าผู้ชายหลายคนซึ่งกำลังจะตัดผมชี้ไปทางหลินเยวียนอย่างตื่นเต้น “ผมขอทรงนั้น”
หลังจากนั้น ช่างตัดผมก็มุมปากกระตุก เอ่ยเตือนอย่างละมุนละม่อม “คุณผู้ชาย อันที่จริงรูปหน้าของคุณเหมาะกับผมทรงปัจจุบันมากกว่านะครับ”
ลูกค้าไม่พอใจ “คุณกำลังสอนผมอย่างนั้นหรือ?”
ช่างตัดผมแทบร่ำไห้ “ขอโทษด้วยครับ ความสามารถของผมมีจำกัด”
ก็เบ้าหน้าของคุณให้ตัดยังไงก็ออกมาไม่ได้แบบนั้นอะพี่ชาย!
……………………………………………….