Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 434 ความปรารถนาในการร้องเพลง
‘อาจารย์หยวนหยวนมาแล้ว!’
‘นิทานชุดลูกหมูสามตัวเป็นวัยเด็กของผู้คนนับไม่ถ้วนจริงๆ และในแง่ของพลังของนิทานขนาดยาว อาจารย์หยวนหยวนเป็นสามอันดับแรกหรือไม่ก็อันดับหนึ่งในฉินโจวเดิม คลังหนังสือซิลเวอร์บลูโชคดีจริงๆ นิทานสั้นมีฉู่ขวงครองตำแหน่ง นิทานยาวมีหยวนหยวนประจำการ…’
‘หยวนหยวนอาจมีแผน’
‘หลังจากฉู่ขวงกลายเป็นราชานิทานสั้น นักเขียนนิทานยาวหลายคนก็คิดว่าตนจะเป็นราชานิทานยาวให้ได้ เพียงแต่คนทั่วไปได้แต่คิดเท่านั้น แต่นักเขียนนิทานยาวระดับท็อปอย่างอาจารย์หยวนหยวนกลับมีความสามารถพอที่จะช่วงชิงตำแหน่งราชานิทานยาวได้’
‘ใครจะเป็นฉู่ขวงคนต่อไป’
‘ในเมื่ออาจารย์หยวนหยวนมีแผน งั้นนักเขียนนิทานยาวคงต้องไม่นิ่งนอนใจอย่างแน่นอน คาดว่าสมาคมวรรณศิลป์จะกำหนดให้นิทานยาวเป็นหนังสือนอกเวลาสำหรับเด็กประถมเช่นกัน เมื่อถึงตอนนั้นจะเป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ของนักเขียนนิทานยาว’
‘…’
วงการนิทานกำลังถกเถียงกัน
เนื่องจากแดนนิทานของฉู่ขวงได้รับความนิยมสูงมาก กอปรกับหนังสือเล่มใหม่ของนักเขียนนิทานยาวอย่างอาจารย์หยวนหยวนกำลังจะเผยแพร่ แผนกนิทานของคลังหนังสือซิลเวอร์บลูจึงกลายเป็นแผนกสำคัญของบริษัท นั่นส่งผลให้ตำแหน่งหัวหน้าบรรณาธิการสำคัญยิ่งขึ้นไปอีก
ในห้องทำงานของรองหัวหน้าบรรณาธิการ
แววตาของสุ่ยจูโหรวเป็นประกาย “ตอนนี้ฉู่ขวงเป็นราชานิทานสั้น แข่งกับหลินเซวียนด้านนิทานสั้นแล้วฉันไม่มีโอกาสชนะ แต่ในเมื่อรองบ.ก.สามคนจะแข่งตามผลงานเพื่อชิงตำแหน่ง นั่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลงานด้านนิทานสั้นแค่อย่างเดียว นิทานยาวสำคัญกว่าด้วยซ้ำ และในวงการนิทานยาวมีอาจารย์หยวนหยวน ต่อให้เป็นฉู่ขวงก็ยังช่วยไม่ได้…”
“เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว”
ผู้ช่วยซึ่งอยู่ด้านข้างพยักหน้าเบาๆ ถ้าบอกว่าฉู่ขวงเป็นอันดับหนึ่งในวงการนิทานสั้น อาจารย์หยวนหยวนก็คือยักษ์ใหญ่ในวงการนิทานยาวเช่นกัน “แต่ทางจางหยางก็ไม่มีทางนั่งรอความตาย”
“อืม”
สุ่ยจูโหรวพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ถ้าแข่งกันเรื่องนิทานยาว หลินเซวียนไม่ได้น่ากลัวมากพอ ตอนนี้ฉันกังวลเกี่ยวกับทางจางหยางมากกว่า ไม่รู้ว่าเขาเชิญใครมา วงการนิทานยาว คนที่จะมาสู้กับอาจารย์หยวนหยวนได้มีไม่มาก แต่ก็ใช่ว่าไม่มีเลย”
สายตาของผู้ช่วยมองไปยังห้องด้านข้าง
ในห้องทำงานของรองหัวหน้าบรรณาธิการเช่นกัน จางหยางซึ่งอยู่ห้องข้างๆ กำลังสนทนากับผู้ช่วยเช่นกัน “เชิญอาจารย์หยวนหยวนลงมือจริงด้วย เห็นทีพวกเราจำเป็นต้องให้อาจารย์อาหู่มาจัดการแล้ว”
“วางใจเถอะครับ”
ผู้ช่วยเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ผู้ใหญ่ในครอบครัวของคุณสัญญากับอาจารย์อาหู่แล้วไม่ใช่หรือว่าจะมอบผลประโยชน์ให้อย่างงาม ผมไม่คิดว่าอาจารย์อาหู่จะปฏิเสธ เขาเคยแข่งขันกับอาจารย์หยวนหยวนในช่วงปีแรกๆ ถึงแม้เขาจะพ่ายแพ้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฝีมือของเขาสู้อาจารย์หยวนหยวนไม่ได้”
“อืม”
จางหยางผ่อนลมหายใจแผ่วเบา “ในที่สุดก็ถึงคิวพวกเราแล้ว นิทานสั้นหมดหวังแล้ว โดนราชานิทานสั้นอย่างฉู่ขวงข่มซะจนหายใจไม่ออก ทำเอาผมกับยัยเนื้อต้มทำได้แค่มองหลินเซวียนจัดการทุกคน ตอนนี้ควรเป็นหลินเซวียนที่ต้องมองดูพวกผมต่อสู้กันตาปริบๆ บ้างแล้ว”
การต่อสู้แบ่งเป็นสองส่วน
ส่วนแรกคือนิทานสั้น ส่วนที่สองคือนิทานยาว ทว่าตั้งแต่หนังสือแดนนิทานถือกำเนิดขึ้นมา จางหยางกับสุ่ยจูโหรวก็รู้แล้วว่าตนหมดโอกาส พวกเขาไม่ว่าจะเชิญใครมาก็ไม่มีทางเขียนผลงานนิทานสั้นที่เหนือกว่าฉู่ขวงได้
ทำได้เพียงหันมาทำศึกด้านนิทานขนาดยาวแทน!
และในห้องทำงานของหลินเซวียน เธอค่อนข้างพอใจกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ทั้งยังเอ่ยอย่างยิ้มแย้มกับจางเฉิงซึ่งอยู่ด้านข้าง “เรามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้านนิทานสั้น นิทานขนาดยาวให้สุ่ยจูโหรวกับจางหยางแข่งกันไปเถอะ ถึงยังไงความได้เปรียบเราก็ยังมีอยู่ ไม่แน่ฉันอาจจะขอต้นฉบับจากอาจารย์ฉู่ขวงต่อไป เพื่อเพิ่มความได้เปรียบของเราด้านนิทานสั้น”
หลินเซวียนยอมละทิ้งนิทานยาว
ทำให้ความได้เปรียบด้านนิทานสั้นมั่นคงเป็นอันใช้ได้
น้องชายบอกเองไม่ใช่หรือ ว่าหลังจากนี้ฉู่ขวงจะเขียนนิทานเรื่อง ‘ซูเค่อกับเป้ยถ่า’ หลินเซวียนเชื่อมั่นในตัวฉู่ขวงอย่างเต็มเปี่ยม เธอเชื่อว่านี่จะเป็นนิทานสั้นที่สนุก อาจไม่เป็นรองเรื่องราวในแดนนิทานด้วยซ้ำไป
ใช่แล้ว
จิตใต้สำนึกของหลินเซวียนบอกว่านิทานเรื่องต่อไปของฉู่ขวงจะเป็นเรื่องสั้น นี่เป็นการเชื่อมโยงความคิดตามปกติ ผลงานเรื่องใหม่ของราชานิทานสั้นย่อมต้องเป็นนิทานสั้น ดังนั้นเธอจึงไม่เคยคาดคิดว่าผลงานชิ้นใหม่ของฉู่ขวงที่จริงแล้วเป็นนิทานขนาดยาว
และอีกด้านหนึ่ง
หลินเยวียนยังคงเขียนนิทานเรื่องใหม่อย่างเอื่อยเฉื่อย การเตรียมถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องสไปเดอร์แมนดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติ นี่คือจังหวะของชีวิตที่หลินเยวียนคุ้นเคยที่สุด ภายใต้สถานการณ์ปกติ จังหวะชีวิตนี้จะไม่ถูกรบกวน
เขาไปยังบริษัทตามปกติ
หลี่ลี่จื้อลูกศิษย์คนที่สามปรากฏตัว
ในฐานะลูกศิษย์คนที่สามซึ่งร่ำเรียนการประพันธ์เพลงกับหลินเยวียน ตารางเรียนของหลี่ลี่จื้อไม่ได้อัดแน่น โดยพื้นฐานแล้วจะเรียนช่วงที่หลินเยวียนว่าง หากหลินเยวียนไม่ว่าง จะให้เธอฝึกฝนด้วยตนเอง ผลปรากฏว่ากระบวนการนี้ดำเนินไปอย่างตะกุกตะกักและกินเวลาไปไม่น้อย ประจวบเหมาะกับวันนี้หลินเยวียนไม่ยุ่ง สามารถสอนเธอได้สองชั่วโมง
“หืม?”
ยังไม่ทันได้เริ่มเรียน เสียงแจ้งเตือนจากระบบก็ดังขึ้นในโสตประสาทของหลินเยวียน “ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ ลูกศิษย์คนที่สามหลี่ลี่จื้อความสามารถผ่านเกณฑ์ สำเร็จหลักสูตรได้อย่างเป็นทางการ”
หลี่ลี่จื้อจบหลักสูตรแล้ว?
หลินเยวียนรู้สึกประหลาดใจ เผลอเปิดดูค่าความสามารถด้านการประพันธ์เพลงของหลี่ลี่จื้อ และพบว่าหลี่ลี่จื้อแตะถึงเกณฑ์พอดิบพอดี นั่นหมายความว่าหลินเยวียนมีลูกศิษย์ซึ่งมีมาตรฐานระดับนักประพันธ์เพลงมือทองคนที่สามแล้ว
“ติ๊งต่อง”
เสียงแจ้งเตือนจากระบบดังขึ้นต่อเนื่อง ครั้งนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับรางวัลที่กำหนดไว้ “หน้าที่ของอาจารย์คือสอนสั่งและแถลงไขวิชาความรู้ ยินดีด้วยโฮสต์ทำภารกิจรับลูกศิษย์สำเร็จอย่างเป็นทางการ ได้รับสิทธิ์ใช้งานถาวรของการ์ดตัวละครหยางจงหมิง!”
หลินเยวียนผุดยิ้ม
หลี่ลี่จื้อเคยชินกับความเข้มงวดของหลินเยวียน น้อยครั้งนักที่จะเห็นรอยยิ้มของอาจารย์ รอยยิ้มนี้ทำให้เธอเสียสมาธิเล็กน้อย ทันใดนั้นเธอก็พลันกังวลขึ้นมา “อาจารย์ ฉันทำอะไรผิดหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีอะไร”
หลินเยวียนเอ่ยอย่างจริงจัง “ผมคิดว่าคาบเรียนวันนี้ไม่จำเป็นต้องเรียนต่อแล้วล่ะครับ หลังจากนี้ถ้าผมไม่ได้ติดต่อไป คุณไม่จำเป็นต้องมา เพราะคุณมีคุณสมบัติถึงเกณฑ์สำเร็จหลักสูตรเหมือนกับศิษย์พี่ทั้งสองคนของคุณแล้ว”
“สำเร็จหลักสูตร”
หลี่ลี่จื้อชะงักไป
เดิมทีนี่เป็นเรื่องน่ายินดี ในที่สุดตนก็ได้รับการยอมรับจากอาจารย์แล้ว แต่หลี่ลี่จื้อกลับดีใจไม่ออก เพราะศิษย์พี่ทั้งสองเคยบอกไว้ ว่าเมื่อใดที่ตนสำเร็จหลักสูตรแล้ว อาจารย์จะไม่สอนตนอีกต่อไป
“ยินดีด้วยครับ”
หลินเยวียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ในเมื่อไม่ต้องสอนแล้ว ก็เบามือลงไปอีกหนึ่งเรื่อง เขาหันไปเคาะคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ต่อ เพื่อเขียนเรื่องซูเค่อกับเป้ยถ่า แต่เมื่อหันไปกินน้ำกลับพบว่าหลี่ลี่จื้อยังไม่ออกไป “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่…”
หลี่ลี่จื้อกัดริมฝีปาก “เดิมทีฉันอยากพูดตอนตอนคลาสเรียนจบ แต่ในเมื่อไม่ได้เรียนแล้ว ฉันขอพูดเลยนะคะ คุณพ่อของฉันอยากเชิญอาจารย์ไปเป็นแขกในรายการใหม่ช่วงนี้ เลยจะถามว่าอาจารย์สนใจไหมคะ แต่ถ้าไม่อยากเปิดเผยหน้าก็ไม่เป็นไรค่ะ”
หลินเยวียนตอบทันที “ไม่สนใจครับ”
เขาไม่ได้ถามว่ารายการอะไร เนื่องด้วยตัวตนของเซี่ยนอวี๋ เขาได้รับคำเชิญจากรายการมานับไม่ถ้วน รวมไปถึงงานพรีเซนเตอร์ของดาราอะไรทำนองนั้นด้วย ราคาที่เสนอมานั้นเย้ายวนใจเหลือเกิน นอกจากนั้น รายการสะพรั่งยังเคยเชิญเซี่ยนอวี๋ไปเป็นกรรมการ นี่เป็นถึงรายการเพลงซึ่งโด่งดังที่สุดในฉินโจวเดิม หลินเยวียนตอบปฏิเสธไปทันที นับประสาอะไรกับรายการใหม่
“โอเคค่ะ”
หลี่ลี่จื้อพยักหน้า
อันที่จริงเธอเพียงแค่หาเรื่องสนทนา เพราะไม่อยากจากไป “เป็นเพราะฉินฉีฉู่เยี่ยนผนวกรวมกัน รายการนี้จึงอาจเป็นรายการเพลงที่ใช้เงินลงทุนสูงที่สุด ถึงขั้นที่สเกลใหญ่กว่าสะพรั่งหลายเท่า เพราะฉะนั้นคุณพ่อเลยให้ฉันมาถาม มีพ่อเพลงท่านอื่นตอบรับเป็นกรรมการแล้ว อาจารย์พอจะบอกฉันได้ไหมคะว่าทำไมถึงไม่อยากเปิดเผยหน้า?”
ทำไมน่ะหรือ?
เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่ยอมเปิดเผยหน้าตา กล้องทำให้เขารู้สึกกลัวโดยสัญชาตญาณ ทั้งที่ตอนเด็กหลินเยวียนไม่เคยมีปัญหาดังกล่าว บางทีอาจเป็นปัญหาที่มีสาเหตุทางด้านจิตใจ?
“ไม่รู้ครับ”
“น่าเสียดายนะคะ”
หลี่ลี่จื้อไม่กล้าซักไซ้ไล่เลียง เพียงแต่เอ่ยอย่างสะท้อนใจ “ถ้ากรรมการสามารถสวมหน้ากากได้เหมือนกับนักร้องบนเวทีได้ก็ดีสิคะ แต่กรรมการสวมหน้ากากไม่ได้…”
“ครับ”
หลินเยวียนตอบไปอย่างไม่ใส่ใจนัก
จู่ๆ เขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ เงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ สีหน้าแลดูแปลกชอบกล “นักร้องสามารถสวมหน้ากากขึ้นร้องเพลง รายการใหม่ที่คุณพูดถึงมีกฎแบบนี้เหรอครับ”
“อ๋า?”
หลี่ลี่จื้อประหลาดใจ “อาจารย์ไม่รู้เหรอคะ นี่เป็นรายการที่จัดขึ้นโดยสมาคมวรรณศิลป์ร่วมกับบริษัทโพรดักชันชื่อดังของมณฑลฉิน ซึ่งก็คือบริษัทที่ผลิตรายการสะพรั่ง ช่วงนี้ในอินเทอร์เน็ตคุยกันเรื่องนี้อยู่ค่ะ นักร้องสามารถสวมหน้ากากขึ้นร้องเพลง…”
“รายการชื่ออะไรครับ”
“เหมือนจะชื่อว่า ‘ราชาหน้ากากนักร้อง’”
หลินเยวียนอึ้งไปชั่วครู่หนึ่ง รู้สึกว่าชื่อรายการนี้คุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก จนเขาต้องเอ่ยเรียกระบบออกมา “บนโลกนี้มีคนอื่นที่ทะลุมิติมาอีกไหม ฉันคลับคล้ายคลับคลาว่าบนโลกเดิมนี้มีรายการที่แนวคิดคล้ายๆ กัน”
“ติ๊งต่อง”
ระบบอธิบาย “โฮสต์เป็นเพียงคนเดียวที่ทะลุมิติมายังบลูสตาร์ แต่บนโลกมีรายการที่เหมือนกันจริง ในมิติที่ต่างกัน เป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการจุดประกายความคิดที่คล้ายคลึง นี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ”
หลินเยวียน “…”
มิน่าล่ะตนถึงรู้สึกคุ้นเหลือเกิน
หลี่ลี่จื้อเห็นว่าจู่ๆ หลินเยวียนไม่สนใจตน จึงทึกทักว่านี่คือการไล่ตนทางอ้อม เธอ เม้มฝีปากและเอ่ยด้วยเสียงน้อยใจอย่างอดไม่ได้ “งั้นฉันขอตัวกลับก่อน อาจารย์มีเรื่องอะไร อย่าลืมเรียกฉันนะคะ!”
“ครับ”
หลี่ลี่จื้อออกไปแล้ว
หลินเยวียนเกิดความสงสัย
เขาไม่ได้เขียนนิทานต่อ แต่กลับกดค้นหาบนอินเทอร์เน็ต ถึงได้รับรู้สถานการณ์ของรายการราชาหน้ากากนักร้อง เป็นรายการเพลงรูปแบบใหม่ซึ่งกำลังเตรียมการ ว่ากันว่าจะเชิญนักร้องฝีมือดีในวงการเพลงจากฉิน ฉี ฉู่ และเยี่ยนขึ้นมาร้องเพลงบนเวที รวมไปถึงราชาราชานีเพลงก็จะเข้าร่วม เพราะฉะนั้นบนโลกออนไลน์จึงถกเถียงเกี่ยวกับรายการนี้กันอย่างคึกคัก นับว่าเป็นประเด็นที่ร้อนแรงที่สุดในวงการบันเทิงของทั้งสี่มณฑลนี้
‘นักร้องสวมหน้ากากร้องเพลง’
‘ในแต่ละตอน จะมีนักร้องหกคนขึ้นร้องเพลงบนเวที นักร้องที่แพ้จะถอดหน้ากากของตน ส่วนนักร้องที่ชนะจะได้สวมหน้ากากร้องเพลงต่อ’
‘ราชาหน้ากากนักร้อง…’
ถ้าสวมหน้ากากได้ ตนก็สามารถลองพิจารณาเข้าร่วมได้ ถึงแม้ตนจะต่อต้านการเข้าหน้ากล้องอย่างอธิบายไม่ได้ แต่ถ้าสวมหน้ากากได้ละก็ คงไม่มีปัญหาล่ะมั้ง?
เมื่อคิดเช่นนี้
“หลังจากภารกิจสุขภาพสำเร็จแล้ว ร่างกายของฉันจะดีขึ้น ที่บอกว่าดีขึ้นรวมไปถึงเสียงของฉันจะได้รับการฟื้นฟูด้วยหรือเปล่า”
“ใช่”
ระบบให้คำตอบ
หลินเยวียนจมสู่ห้วงความคิดอยู่สักพัก
เป็นเพราะเจ้าของร่างเดิม ความปรารถนาในการร้องเพลงของหลินเยวียนจึงไม่อาจควบคุมได้ นั่นเป็นความรักจากก้นบึ้งของจิตใจ แต่ก่อนหน้านี้หลินเยวียนมีปัญหาเรื่องเสียงมาก่อน ดังนั้นจึงข่มกลั้นความต้องการนี้ รอให้เสียงของตนหายดีแล้วค่อยดูว่าควรทำอย่างไร…
ข่มกลั้นความต้องการนี้หรือ?
ด้านซ้ายคือความหวาดกลัวกล้องจากภายในจิตใจ และด้านขวาคือความปรารถนาที่จะร้องเพลงบนเวที นี่น่าจะเป็นความย้อนแย้งกัน ทว่าการร้องเพลงขณะสวมหน้ากากดูเหมือนจะสามารถคลายความย้อนแย้งนี้ได้!
“ลองคิดดูก่อนแล้วกัน”
หลินเยวียนรู้สึกสับสนอยู่บ้าง จังหวะชีวิตตามปกติของเขาคล้ายจะเปลี่ยนไป เนื่องจากการฟื้นตัวทางร่างกาย…
……………………………………………………..