Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 436 รุ่นน้องเรืองแสงได้
ปิดหน้าไม่มีปัญหา!
เรื่องนี้ทำให้หลินเยวียนเกิดความมั่นใจบางอย่าง แต่ตามกฎแล้ว ผู้แพ้ยังคงต้องเปิดหน้ากาก ต่อให้เป็นผู้ชนะท้ายที่สุดยังต้องถูกเปิดเผยใบหน้า ด่านนี้เขาจะต้องผ่านไปให้ได้!
“ไปหาจิตแพทย์”
หลินเยวียนตัดสินใจทำตามคำแนะนำของพี่สาว
คนที่เขาขอความช่วยเหลือคือซุนเย่าหั่ว รุ่นพี่ซุนเย่าหั่วเป็นคนที่จัดการเรื่องต่างๆ แล้วหลินเยวียนวางใจมากที่สุด แต่เมื่อซุนเย่าหั่วได้ยินว่าหลินเยวียนจะไปหาจิตแพทย์กลับตกใจ “นายมีเรื่องอะไรในใจหรือเปล่า”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ”
ซุนเย่าหั่วลังเลสักพัก เดิมทีอยากให้หลินเยวียนเล่าให้ตนฟัง แต่ก็คิดว่าในเมื่อหลินเยวียนจะไปหาจิตแพทย์ จะต้องไม่ใช่เรื่องที่ตนสามารถแก้ปัญหาได้แน่ ชั่วขณะนั้นเขาจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
“ไม่มีปัญหา!”
คงมีเพียงพระเจ้าที่รู้ว่าซุนเย่าหั่วจริงจังแค่ไหน แม้แต่ขณะอัดเพลงเขายังเคยไม่จริงจังเช่นนี้ ในที่สุดเขาก็หาจิตแพทย์ที่เหมาะสมให้กับหลินเยวียนได้ “หมอท่านนี้ชื่อเสียงดีมาก เป็นจิตแพทย์ที่ดีที่สุดในเยี่ยนโจว นอกจากนั้นเธอยังสามารถเก็บเรื่องของนายเป็นความลับ รับประกันว่าแม้แต่ฉัน เธอก็จะไม่บอก”
“ขอบคุณครับ”
“ขอบคุณอะไรกัน”
ซุนเย่าหั่วเอ่ยอย่างจริงจัง “ได้ช่วยรุ่นน้องถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ที่จริงเมื่อก่อนฉันก็เคยไปหาจิตแพทย์ เพราะความเครียดเรื่องดนตรี ฉันเชื่อว่าความกังวลของรุ่นน้องคงมาจากเรื่องดนตรีเหมือนกัน ฉันเชิญเธอมาที่มณฑลฉินแล้ว เรื่องค่าใช้จ่ายฉันจัดการเอง รุ่นน้องแค่ไปหาก็พอแล้ว จะให้เธอไปหา หรือว่านาย…”
“เดี๋ยวผมไปเอง”
“ไม่มีปัญหา”
วันรุ่งขึ้นซุนเย่าหั่วก็ขับรถมารับหลินเยวียน ระหว่างทางเขายังเอ่ยถึงเสียงของหลินเยวียนที่เปลี่ยนไป จนกระทั่งส่งหลินเยวียนถึงชั้นบนของคอนโดมิเนียมสูง “ตอนนี้เธออยู่ข้างบน แต่เธอไม่รู้จักสถานะของนาย นายคุยกับเธอเองนะ ฉันจะรออยู่ข้างล่าง”
“ครับ”
หลินเยวียนลงจากรถ
เมื่อมาถึงหมายเลขห้องที่นัดหมายกันไว้ หลินเยวียนก็รู้สึกกดดันขึ้นมาอย่างประหลาด เขามีความลับที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถปริปากบอกได้ นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่จิตแพทย์ก็บอกไม่ได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ปัญหาของเขาจะได้รับการแก้ไขจริงหรือไม่
“ก๊อกๆๆ”
หลินเยวียนเคาะประตูด้วยความกังวลใจ
คนเปิดประตูคือผู้หญิงอายุประมาณสามสิบปีคนหนึ่ง แลดูสวยพริ้งเพรา สายตาที่เธอมองมายังหลินเยวียนไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่ยิ้มอย่างอบอุ่น “คุณคือแขกที่นัดหมายไว้สินะคะ เชิญเข้ามาค่ะ”
ไม่ได้ใช้คำว่าคนไข้ด้วยซ้ำ
หลินเยวียนพลันคิดติดตลก
หลังจากเข้าไป อีกฝ่ายก็เชิญให้หลินเยวียนนั่งลงบนโซฟา ส่วนเธอก็นั่งลงฝั่งตรงข้าม “บนโต๊ะมีเครื่องดื่มหลายประเภท ชอบดื่มอะไรฉันจะชงให้ ม่านปิดแล้ว เพราะฉะนั้นห้องจะมืดเล็กน้อย ถ้าคุณไม่ชอบ ฉันจะเปิดไฟให้”
“ไม่ต้องหรอกครับ”
หลินเยวียนไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายลำบาก ลงมือชงชาด้วยตนเอง ส่วนอีกฝ่ายก็แนะนำตาเอง “ฉันชื่อหลินลี่ คุณเรียกฉันว่าหมอหลินก็ได้ หรือจะเรียกว่าพี่ลี่ลี่ก็ไม่มีปัญหา”
“ครับ”
หลินเยวียนพยักหน้า ดื่มชาหนึ่งอึก ที่จริงแล้วหลินเยวียนกำลังทำใจ จากนั้นจึงบอกไปว่า “ผมชื่อหลินเยวียน เป็นนักประพันธ์เพลง เคยปล่อยเพลงมาบ้าง”
“บังเอิญจังเลย”
หลินลี่กล่าวกลั้วหัวเราะ “พวกเราเป็นคนตระกูลหลินเหมือนกัน อันที่จริงฉันได้พูดคุยกับนักประพันธ์เพลงหลายคน คุณไม่ใช่นักประพันธ์เพลงคนแรกที่ฉันได้พบในอาชีพของฉัน สะดวกให้ฉันฟังเพลงของคุณได้ไหมคะ เพลงที่คุณคิดว่าเป็นผลงานชิ้นโบแดง”
หลินเยวียนบอก “นามปากกาผมคือเซี่ยนอวี๋”
หลินลี่นิ่งไปชั่วขณะ จากนั้นจึงเอ่ยช้าๆ “งั้นฉันว่าฉันคงไม่ต้องฟังแล้วละ ฉันเคยฟังผลงานของคุณมาหมดทุกเพลง คุณสามารถเล่าความทุกข์ใจของคุณมาได้เลย และแน่นอนว่าสามารถเขียนลงในสมุดบันทึกได้เช่นกัน”
หลินเยวียนรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย
เขาจำได้ว่าจินมู่ตกใจมากเมื่อได้ยินว่าเขาคือเซี่ยนอวี๋ แต่เมื่อเทียบกันแล้ว หลินลี่กลับเยือกเย็นเหลือเกิน แน่นอนหลินเยวียนเองก็ไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การตกใจ “ไม่ต้องเขียนหรอกครับ ผมแค่มีปัญหาเรื่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงมีความรู้สึกหวาดกลัวกล้อง”
“ความรู้สึกหวาดกลัว?”
“กลัวกล้อง”
“รวมไปถึงเซลฟีด้วยไหม?”
หลินเยวียนพยักหน้า เขาไม่เคยถ่ายเซลฟีมาก่อน อย่างน้อยก็หลังจากที่มาถึงโลกนี้ เขาไม่เคยถ่ายเซลฟีแม้แต่ครั้งเดียว “คนที่สนิทจะช่วยลดอาการนี้ได้ หรือถ้าใส่หน้ากากจะไม่มีปัญหาครับ”
“อย่างนั้นหรือ…”
หลินลี่ยิ้มเอ่ย “มีภาวะทางจิตอย่างหนึ่งเรียกว่าโรคกลัวกล้อง ฉันไม่รู้ว่าคุณเคยได้ยินมาก่อนไหม แต่คนที่มีปัญหานี้ ส่วนมากจะไม่มั่นใจในรูปร่างหน้าตาอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าคุณไม่ใช่หนึ่งในนั้น ฉันไม่เคยเจอแขกที่หล่อกว่าคุณเลย ต่อให้เทียบกับในวงการบันเทิง คุณก็คือคนที่หล่อที่สุดคนหนึ่ง”
หลินเยวียนเงียบ
หลินลี่ยังคงยิ้มแย้ม “เห็นทีคุณคงจะเบื่อกับคำชมประเภทนี้แล้ว แต่ฉันอยากบอกว่าไม่มีคนรู้สึกสงสัยในตัวเองเพราะหล่อเกินไปหรอก นอกเสียจากคุณเคยศัลยกรรมมาก่อน”
“ผมไม่เคยศัลยกรรม”
“ฉันก็คิดว่าอย่างนั้น”
นิ้วมือของหลินลี่ประสานกันทีละนิ้ว “ตัดออกไปอีกหนึ่งกรณี คุณลำบากใจกับความสนใจของคนอื่นต่อรูปร่างหน้าตาของคุณหรือเปล่า ตัวอย่างเช่น สายตาที่จ้องมองจากต่างเพศหรือแม้แต่เพศเดียวกัน”
“ไม่ครับ”
“โอเค”
หัวคิ้วของหลินลี่ขมวดเล็กน้อย “ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลข้างต้น เป็นเรื่องยากที่ฉันจะตัดสินจากสามัญสำนึกได้ทันที เรามาตั้งสมมติฐานอย่างมีเหตุผลกันดีกว่า มีช่วงเวลาที่รู้สึกว่าคุณไม่ใช่ตัวคุณไหม?”
หลินเยวียนอึ้งไป
ฉันไม่ใช่ตัวฉันเหรอ?
ถึงแม้หลินเยวียนจะไม่ได้ตอบ แต่ปฏิกิริยากลับผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด แววตาของหลินลี่เป็นประกาย จากนั้นจึงรีบเอ่ยว่า “คุณอย่าเพิ่งรีบตอบคำถามแรกของฉัน ลองฟังคำถามที่สองก่อน คุณเคยจินตนาการถึงชีวิตที่แตกต่างจากนี้ไหม”
“เคยครับ”
หลินเยวียนตอบ
หลินลี่เติมน้ำร้อนในแก้วชาให้หลินเยวียน “เราทุกคนล้วนมีจินตนาการเช่นนี้ ถ้าฉันไม่ได้เป็นจิตแพทย์ ตอนนี้ฉันคงกำลังสอนนักเรียนอยู่ในชั้นเรียน…”
“วันนี้วันอาทิตย์ครับ”
หลินเยวียนเอ่ยเตือนอย่างจริงจัง
หลินลี่อึ้งไปชั่วขณะ ทันใดนั้นก็หลุดหัวเราะ “ปัญหาของคุณค่อนข้างยาก แต่ไม่นับว่าร้ายแรง มาฟังข้อสรุปของฉันกันดีกว่า บางทีคุณอาจมีบุคลิกภาพอื่น บุคลิกภาพนี้อาจถูกกระตุ้น หรืออาจเพราะเหตุผลอื่น มันจึงจมหายจนมองไม่เห็น แต่ผลสืบเนื่องที่ทิ้งไว้เบื้องหลังยังคงอยู่ลึกลงไปในหัวใจของคุณ”
หลินเยวียน “…”
โลกเดิมนับว่าเป็นบุคลิกอย่างหนึ่งไหมนะ?
เขาตัดสินใจให้ชัดกว่าเดิมอีกหน่อย เพราะจิตแพทย์คนนี้ให้ความรู้สึกว่าเชื่อถือได้ “เหมือนว่าผมจะประสบกับเหตุการณ์หนึ่งที่แตกต่าง แต่ผมก็ลืมเหตุการณ์ช่วงนั้นไป คล้ายกับสูญเสียความทรงจำ…”
“งั้นคุณเคยสัมผัสประสบการณ์นั้นจริงหรือ?”
“ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วไม่เคยครับ”
“ฉันเป็นคนหนึ่งที่เชื่อในหลักวิทยาศาสตร์ แม้ว่าสำหรับคนอื่นแล้ว จิตวิทยาจะเป็นสิ่งที่ลึกลับ แต่ก็ไม่ได้อยู่เหนือขอบเขตของหลักวิทยาศาสตร์ คำอธิบายที่สมเหตุสมผลที่ฉันนึกออกก็คือ ในความทรงจำที่คุณหลงลืมไป บางทีตัวคุณอาจไม่ได้มีรูปลักษณ์ที่ดีมากนัก แต่ฉันค่อนข้างเชื่อว่าคุณมีแนวโน้มที่จะจินตนาการว่าตัวเองเสียโฉม”
สมองของหลินเยวียนสั่นสะท้านทันใด
คล้ายกับว่าเศษเสี้ยวความทรงจำในโลกเดิมของเขาหายไป ร่องรอยของความเจ็บปวดฉายผ่านใบหน้าของเขา “เหมือนว่าผมมีห้วงความฝันหนึ่งที่หายไป ผมฝันว่าตัวเองมีชื่อเสียง หลังจากนั้นทุกคนล้วนเห็นใบหน้าที่เสียโฉมของผม พวกเขาบอกว่าจะไม่มีวันทิ้งผมไป แต่พวกเขาก็จากไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งวันหนึ่งทุกคนก็จากไปหมด”
“แฟนคลับ?”
“ผมไม่รู้”
“ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมคุณฝันแบบนี้ บางทีอาจเพราะคุณหล่อเกินไปจนเกิดความรู้สึกต่อต้าน แต่ฉันก็ดีใจที่คุณเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟัง นี่เป็นเงาในจิตใจที่นำพาความฝันมาให้คุณ นี่ไม่ใช่สิ่งที่รักษาได้ด้วยการกินยา คุณคงไม่ได้มีอาการที่จู่ๆ จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้…”
“ไม่มีครับ”
“งั้นลองดูแล้วกัน”
ทันใดนั้นหลินลี่ก็หันไปเปิดม่านด้านหลังของเธอ แสงสว่างพร่าตาส่องไปทั่วทั้งห้อง “ลองเดินออกมาจากเงามืดของคุณ ลองเปิดรับชีวิตใหม่ของคุณ เพราะความฝันในอดีตนั้นไกลเกินกว่าจะหันไปเอื้อมถึง แต่คุณจำเป็นต้องเย็บรอยแผลด้วยตัวเอง”
“เข้าใจแล้วครับ”
หลินเยวียนลุกขึ้นเอ่ยขอบคุณ
ทันทีที่เดินออกมาจากห้อง หลินเยวียนก็เอ่ยเรียกระบบ “ฉันคิดมาตลอดว่านายปิดกั้นความทรงจำของฉัน ที่แท้ก็เป็นฉันเองที่หลีกหนีอดีต ฉันยังคงไม่ยอมหวนนึกเรื่องอดีต แต่ฉันควรเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับกล้องได้แล้ว…”
หลินเยวียนลงมาชั้นล่าง
ซุนเย่าหั่วกำลังรออยู่ จู่ๆ เขาก็เห็นร่างสูงโปร่งของหลินเยวียน ชายหนุ่มเจิดจรัสพร่างตาภายใต้แสงตะวัน จนซุนเย่าหั่วเกิดความรู้สึกเหนือจริงขึ้นมาฉับพลัน
รุ่นน้องเรืองแสงได้ด้วยเหรอ?
หลินลี่ซึ่งอยู่ชั้นบนกำลังลอบมองหลินเยวียนลงมาจากหน้าต่าง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย สมองของศิลปินมักจะเข้าใจยากกว่าคนทั่วไปเสมอ แต่เพราะมีห้วงความคิดอันยิ่งใหญ่ซึ่งคนทั่วไปไม่อาจเข้าใจ พวกเขาถึงได้เจิดจรัสอยู่บนโลกนี้อย่างไรล่ะ
…………………………………………..