Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 439 พรสวรรค์ด้านการร้องเพลง
หลังจากเสียงได้รับการฟื้นฟู สิ่งแรกที่ควรทำคืออะไร
สิ่งที่หลินเยวียนเลือกทำคือ
ร้องเพลง!
ร้องเพลง!
แล้วก็ร้องเพลง!
หลินเยวียนหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดทำนอง แทบร้องเพลงที่รู้จักออกมาทั้งหมด!
แถมเขายังเปลี่ยนวิธีการร้อง
ท่อนแรกร้องเป็นเสียงบาริโทนผู้ชายอยู่ดีๆ ท่อนถัดมากลายเป็นเสียงผู้หญิง ประหนึ่งเปลี่ยนเป็นคนละคน!
ร้องเพลงอยู่นานหลายชั่วโมง กว่าหลินเยวียนจะหยุด
ไม่ใช่เพราะเขาร้องเพลงจนเหนื่อย แต่เพราะห่างหายมาหลายปี ร้องเพลงแค่ไม่กี่ชั่วโมงมีหรือจะปลดปล่อยความอัดอั้นได้?
แต่ประเด็นคือหากยังร้องเพลงต่อไป เสียงอาจแหบแห้งได้
ถึงแม้ตอนนี้จะมีร่างกายแข็งแรง แต่เขาก็เป็นปุถุชนธรรมดา และปุถุชนธรรมดาต้องทำสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ภายใต้ความสามารถที่มี
ยกตัวอย่างเช่น ไม่ใช้เสียงมากเกินจำเป็น
นี่คือสัญชาตญาณพื้นฐานของนักร้อง
ถึงอย่างไรในอนาคตเขาจะเข้าร่วมราชาหน้ากากนักร้อง ตราบใดที่ตนไม่ตกรอบตั้งแต่รอบแรกๆ ก็จะได้ร้องเพลงจนหนำใจอย่างแน่นอน
“จริงสิ”
ทันใดนั้นหลินเยวียนก็เรียกระบบออกมา “งั้นต่อจากนี้ฉันจะไม่เจ็บป่วยเลยใช่ไหม?”
ระบบตอบ “โฮสต์โปรดอย่าลืมว่าตนเองเป็นมนุษย์ สิ่งที่เรียกว่าปราศจากโรคภัยและหายนะ ที่จริงแล้วหมายถึงไม่มีโรคร้ายแรงหรือประสบหายนะ แต่ไข้หวัดทั่วไปปวดหัวตัวร้อนไม่ได้อยู่ในขอบเขตความคุ้มครองของระบบ ถ้าโฮสต์ไม่ทะนุถนอมร่างกาย ระบบก็จนปัญญาเช่นเดียวกัน”
หลินเยวียนเบ้ปาก
ระบบนี้ปล่อยโฆษณาชวนเชื่อ เขายังคิดเสียอีกว่าปราศจากโรคภัยและหายนะหมายถึงจะทำอะไรก็ไม่มีปัญหา
แน่นอน
การร้องเพลงไม่ได้มีเพียงเพื่อระบายความปรารถนาในการร้องเพลงของตนตลอดหลายปี หลินเยวียนมีเป้าหมายเพื่อทดลองเสียงของตนด้วยเช่นกัน
ข้อสรุปที่เขาได้คือ
พรสวรรค์ด้านเสียงของตนนั้นดีจริงๆ
ช่วงเสียงค่อนข้างกว้าง สามารถร้องเพลงได้หลากหลายประเภท เชี่ยวชาญการร้องเสียงระดับกลาง ส่วนเสียงสูงก็ทำได้ดีมากเช่นกัน
ส่วนเสียงต่ำ หลินเยวียนร้องได้ธรรมดา หลังจากนี้หากจะเข้าแข่งขันจริงๆ ทางที่ดีไม่ควรเลือกเพลงซึ่งใช้เสียงต่ำ
‘ธรรมดา’ ในที่นี้เปรียบเทียบกับนักร้องชายซึ่งสันทัดการร้องเสียงต่ำ ไม่ได้เปรียบกับคนทั่วไป
ส่วนของเสียงผู้หญิงก็เช่นกัน
เสียงที่ไพเราะที่สุดอยู่ในช่วงเมซโซโซปราโน เสียงโซปราโนของผู้หญิงอยู่ในระดับธรรมดา เสียงอัลโตกลับร่อแร่ทีเดียว
ตัวอย่างเช่นเพลงปลายักษ์ หลินเยวียนร้องได้ไม่ดีเท่าเจียงขุย ถึงแม้เขาจะมีเสียงผู้หญิง แต่เสียงของเขายังไม่สูงเท่าเจียงขุย ต่อให้พยายามทำเสียงให้สูงขึ้นก็ไม่รื่นหูเท่าเสียงของเธอ
แต่ถ้าเป็นเพลงขอเราคงอยู่ชั่วนิรันดร์ หลินเยวียนร้องได้อย่างสบายไร้ปัญหา
เนื่องจากเพลงเพลงนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เสียงสูงเกินไป และเสียงผู้หญิงของหลินเยวียนก็มีความกังวานใส จุดนี้มีเอกลักษณ์คล้ายคลึงกับเจียงขุย
หากมองจากมุมนี้ เสียงผู้หญิงที่ระบบให้มานั้นมีพื้นฐานที่ดี
เพราะพื้นฐานก็ส่วนพื้นฐาน หลังจากนี้หลินเยวียนยังสามารถฝึกฝนเพื่อพัฒนาได้อีก
รวมไปถึงเสียงผู้ชายด้วยเช่นกัน
น่าเสียดายที่เสียงของหลินเยวียนเสียหายมานานหลายปี ระดับในการขับร้องไม่ได้รับการพัฒนา ทั้งยังหยุดนิ่งอยู่ในช่วงมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง
จุดนี้สำคัญอย่างยิ่งยวด
แน่นอนว่าอาศัยพรสวรรค์ได้ หากไม่ใช่เพราะพรสวรรค์นี้ ตอนนั้นจ้าวเจวี๋ยคงไม่ให้หลินเยวียนเซ็นสัญญา แต่เห็นได้ชัดว่าพรสวรรค์นั้นไม่เพียงพอให้หลินเยวียนไปประชันกับนักร้องระดับสูงเหล่านั้น
จะอธิบายอย่างไรดีล่ะ
ระดับของหลินเยวียนในตอนนี้ คงจะเป็นมาตรฐานทั่วไปของนักร้องแถวสอง
ไม่ต้องรู้สึกว่าเป็นระดับที่ต่ำหรอก
ต้องเข้าใจว่าหลินเยวียนหยุดฝึกฝนการขับร้องในช่วงมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง เสียงของเขาในปัจจุบันนี้จึงหยุดที่ระดับปีหนึ่งพอดี!
นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งมีความสามารถในการร้องเพลงเท่ากับนักร้องแถวสอง ก็เรียกได้ว่าพิเศษมากแล้ว!
นักร้องฝีมือดีหลายคน ก็ใช่ว่าจะไร้เทียมทานมาตั้งแต่เริ่มเดบิวต์ หลายคนผ่านการฝึกฝนจึงพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง
“ฉันเองก็ต้องฝึกฝนให้มากเหมือนกัน”
หลินเยวียนกำลังคิด เสียงต่ำของเขาคือจุดอ่อน เรื่องนี้ไม่ต้องฝึก
ทำไมถึงฝึกไม่ได้
เพราะเสียงต่ำในการร้องเพลง หมายถึงคุณภาพของเสียงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ต่อให้ฝึกฝนก็เปลี่ยนแปลงได้ไม่มาก เสียงของหลินเยวียนถูกกำหนดมาแล้ว ไม่สามารถร้องเสียงต่ำซึ่งเกินขีดจำกัดของเส้นเสียงได้
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ
สิ่งที่เรียกว่าเสียงต่ำทรงเสน่ห์นั้นเป็นสิ่งที่มีมาแต่กำเนิด
ยกตัวอย่างง่ายๆ
เฉินอี้ซวิ่นและซุนหนานสามารถร้องคีย์ B4 ได้อย่างมั่นคง แต่เสียงต่ำของซุนหนานไม่มีทางเหนือกว่าเฉินอี้ซวิ่น!
นี่คือสิ่งที่เป็นต้นทุน จะให้ฝึกฝนอย่างไรก็เปล่าประโยชน์ เช่นเดียวกับบางคนสามารถห่อลิ้นได้อย่างง่ายดาย ส่วนบางคนไม่ว่าอย่างไรก็ทำไม่ได้
เมื่อเทียบกันแล้ว เสียงผู้ชายและเสียงผู้หญิงของหลินเยวียน ส่วนของเสียงสูงยังมีพื้นที่ในการพัฒนาอีกมาก
เสียงสูงของหลินเยวียนสามารถอาศัยเทคนิคทางเสียงมาช่วยให้ดีขึ้น มีบางเสียงที่ตอนนี้ยังร้องไม่ได้ แต่เมื่อผ่านการฝึกฝนระดับมืออาชีพแล้วสามารถพัฒนาเสียงสูงได้
เพราะฉะนั้นนักร้องที่ช่วงเสียงกว้าง จะสบายมาก
เสียงสูง คนทั่วไปเสียงไม่สูงไปกว่าเขา บางครั้งแม้แต่เสียงต่ำ หลายคนก็ไม่ได้มีเสียงต่ำไปกว่าเขา
หรือไม่ก็ไปถามระบบ
เนื่องจากเส้นเสียงมีขีดจำกัด เสียงต่ำนั้นยากที่จะขยายให้กว้างขึ้น แต่บางทีระบบอาจมีวิธี?
ระบบทำได้แม้แต่มอบเสียงผู้หญิงให้ตน จะต้องมีวิธีเปลี่ยนเส้นเสียงแน่ๆ!
เขาคิดเช่นนี้
ทันใดนั้นด้านล่างก็มีเสียงแม่เรียกให้กินข้าว
หลินเยวียนขานตอบ ไม่ได้รีบร้อนเอ่ยถามระบบ เขาเพียงแค่สงบอารมณ์ที่ตื่นเต้นเล็กน้อยลงเนื่องจากสุขภาพของเขาดีขึ้น และเสียงของเขากลับมาแล้ว จากนั้นจึงเดินลงไปชั้นล่าง
ในวิลลามีลิฟต์ แต่วันนี้หลินเยวียนอยากเดินลงบันได
ยังเหลือบันไดอีกหกขั้น จู่ๆ หลินเยวียนก็นึกคึกขึ้นมา กระโดดลงบนพื้นอย่างอดไม่ได้
“นายบ้าไปแล้วเหรอ”
พี่สาวอยู่ใกล้กับบันไดมากที่สุด จ้องมองหลินเยวียนอย่างเหลือเชื่อ ก่อนจะเดินเข้ามาหาด้วยความกังวล “ไม่ได้เจ็บตรงไหนใช่ไหม”
“ไม่เป็นไร”
หลังจากร่างกายแข็งแรงขึ้นมา สมดุลของร่างกายและแรงในการกระโดดของเขาก็เพิ่มขึ้นมาก หลินเยวียนเพียงแค่รู้สึกว่าตนสามารถกระโดดลงไปได้ จึงทนไม่ไหวเป็นต้องกระโดดลงมาจริงๆ
คงเป็นความรู้สึกเดียวกับหลังจากสไปเดอร์แมนแปลงร่างแล้วอยากทดสอบพลังของตนเอง
“ครั้งหน้าอย่าเล่นพิเรนทร์แบบนี้อีกนะ ไม่ใช่ว่านายไม่รู้ว่าสุขภาพของตัวเองเป็นยังไง”
พี่สาวบ่น “เมื่อกี้พี่ได้ยินเสียงจากห้องนาย ร้องเพลงเหรอ?”
“ใช่แล้ว เสียงของนาย…” พี่สาวขมวดคิ้ว จากนั้นดวงตาก็เบิกกว้าง “เดี๋ยวนะ เสียงของนายเหมือนจะ…”
เสียงของหลินเยวียน ดูเหมือนจะกลับมาให้ความรู้สึกเดียวกับเมื่อก่อน ถึงแม้จะต่างจากเดิม แต่คนสนิทย่อมฟังออกในทันที!
หลินเยวียนบอก “อาการป่วยอาจหายแล้ว ช่วงนี้รู้สึกว่าเสียงกลับมา”
ไม่สามารถใช้การมีอยู่ของระบบมาอธิบายได้ ทำได้เพียงปล่อยให้คนใกล้ตัวค่อยๆ ยอมรับ
“จริงเหรอ” พี่สาวตกใจ “ดูท่าร่างกายของนายจะฟื้นตัวแล้ว เสียงก็รู้สึกว่ากลับมาแล้วจริงๆ แถมเมื่อกี้ยังกล้ากระโดดจากที่สูงถึงขนาดนั้น งั้นหลังจากนี้ไม่รู้จะทำอะไรก็ร้องเพลงได้แล้ว ถึงยังไงนี่ก็เป็นสิ่งที่นายชอบที่สุด แต่ก็ต้องทำเท่าที่ไหว อย่างที่กระโดดลงมาเมื่อกี้มากเกินไป เข้าใจไหม”
“เข้าใจครับ”
“อ้อ แล้วจิตแพทย์นายไปหามาหรือยัง” พี่สาวกำลังถามถึงเรื่องอาการกลัวกล้อง
“ไม่เป็นไรแล้ว”
“จริงเหรอ?”
“ประมาณนั้น”
ถึงแม้ปัญหาจะไม่ได้รับการแก้ไขเสียทั้งหมด แต่หลินเยวียนก็ค้นพบต้นเหตุ ขั้นต่อไปคือการเอาชนะปัญหาทางจิตใจ แก้ปัญหาให้ตรงจุดก็เท่านั้น
“งั้นกินข้าวเถอะ”
พี่สาววางใจลงเล็กน้อย ตบไหล่หลินเยวียนเบาๆ
กินข้าวเสร็จ
หลินเยวียนกำลังจะขึ้นไปข้างบน จู่ๆ ก็เอ่ยกับพี่สาวว่า “อีกสักระยะ ผมค่อยส่งซูเค่อกับเป้ยถ่าให้พี่นะ”
พี่สาวประหลาดใจ “ฉู่ขวงใกล้เขียนเสร็จแล้ว?”
หลินเยวียนพยักหน้า เขาตัดสินใจว่าหลังจากนี้จะหาเวลาว่างเขียนนิทานให้เสร็จ หลังจากนั้นจึงเตรียมเข้าแข่งขันราชาหน้ากากนักร้อง
“ดีจังเลย!”
หลินเซวียนยิ้มกว้าง
ให้พวกสุ่ยจูโหรวจัดการนิทานยาวไป ส่วนตนตีพิมพ์นิทานสั้นของฉู่ขวง ก็นับว่าเป็นผลงานที่ไม่เลวเช่นกัน!
ช่วงนี้วงการนิทานยาวคึกคักมากทีเดียว
…………………………………………………..