Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 640 ชีวิตมหัศจรรย์ ทรูแมนโชว์
ซ่อมรถเสร็จ
หญิงสาวออกไปก่อน
กู้ตงเตรียมจะออกไป ทันใดนั้นหลินเยวียนก็ได้รับโทรศัพท์จากเหล่าโจว
“ไม่ต้องไปแล้ว ทางฝ่ายหญิงเห มือนว่าจะมีเรื่องด่วนต้องจัดการ วันนี้ไม่มีเวลาไปเจอนาย เรื่องนี้ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ ฉันว่าพวกเขาไปแล้ว ไปเสียเที่ยวเลย นายไม่ต้องโมโหไป ครั้งหน้าค่อยนัดใหม่ ให้เธอมาหานาย!”
“ครับ”
หลินเยวียนไม่ได้รู้สึกอะไร
เขาคิดเสียว่ามานั่งรถเล่น
ทั้งสองกลับไปยังบริษัท
ระหว่างทาง จู่ๆ กู้ตงก็เอ่ยขึ้นมาอย่างสะท้อนใจ
“ผู้หญิงคนเมื่อกี้ดูก็รู้แล้วว่ารวย นึกไม่ถึงว่ายังซ่อมรถได้ด้วย ถ้าเธอไม่เข้ามาช่วย พวกเราคงได้ติดอยู่บนถนน แถมยังสวย สวยกว่าดาราซะอีกค่ะ น่าเสียดายที่ลืมถามว่าบำรุงผิวยังไง…”
หลินเยวียนหลับตาสงบจิตใจ
ต้องพักผ่อนหลังศึกใหญ่
เขารู้สึกว่าทักษะการเจรจาต่อรองของเขาขึ้นสนิม
ต้องรู้ว่าเขาเป็นสุดยอดราชาแห่งการต่อรองในสายตาของเจี่ยนอี้และซย่าฝาน เมื่อก่อนทั้งสามไปซื้อของด้วยกัน ปกติแล้วเขาจะต่อรองราคา ในครั้งนี้เขากลับไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ
หลังจากกลับมายังบริษัท เหล่าโจวไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนัดบอดอีก
ระหว่างอาหารเย็น ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีกเช่นเดียวกัน
หลินเยวียนคิดเพียงว่านี่เป็นเพียงเหตุการณ์เล็กๆ ในชีวิต
วันรุ่งขึ้น
หลินเยวียนมาถึงบริษัทอีกครั้ง และเห็นเหล่าโจวพร้อมด้วยคนจากแผนกภาพยนตร์กลุ่มหนึ่งเตรียมตัวออกไปข้างนอก
“ไปด้วยกันไหม”
เหล่าโจวเห็นหลินเยวียน จึงเอ่ยถามอย่างยิ้มแย้ม “ฉันจัดงานประชุมภาพยนตร์เรื่องชีวิตมหัศจรรย์ ทรูแมนโชว์”
หลินเยวียนประหลาดใจ “การประชุมภาพยนตร์ยังไม่เริ่ม? แต่วันเข้าฉายกำหนดแล้วไม่ใช่เหรอครับ?”
เหล่าโจวอธิบาย “หนังของนายมีเครือโรงหนังหลายแห่งยินดีซื้อ เพราะงั้นพวกเขาเลยกำหนดวันเข้าฉาย แต่รายละเอียดยังต้องรอดูคุณภาพของหนังก่อน”
“อ้อ งั้นผมไม่ไป”
การติดต่อตัวแทนจากเครือโรงภาพยนตร์จำเป็นต้องใช้ทักษะในการสื่อสารในระดับหนึ่ง หลินเยวียนไม่เชี่ยวชาญการจัดการสถานการณ์ลักษณะนี้
วิธีรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ของเขานั้นง่ายมาก
เขาทำได้เพียงคลี่ยิ้มตามความคาดหวังของสังคม
“งั้นพวกเราไปก่อนละ”
เหล่าโจวโบกมือ ก่อนจะนำทีมงานแผนกภาพยนตร์ไปยังสถานที่ฉายภาพยนตร์ซึ่งจองไว้ล่วงหน้า
การประชุมภาพยนตร์จัดขึ้นที่โรงภาพยนตร์สือไต้ในเมืองซู
เมื่อเหล่าโจวและทีมงานเดินทางถึง พวกเขาจึงรอต้อนรับตัวแทนจากเครือโรงภาพยนตร์รายใหญ่แต่ละแห่ง
“ตัวแทนจางมาแล้ว!”
“ตัวแทนหวังเชิญครับ!”
“ตัวแทนหลี่ไม่พบกันนานเลยนะคะ!”
“…”
ภาพยนตร์คือศิลปะแห่งการแบ่งงาน นักเขียน ผู้กำกับ และนักแสดงไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ของตัวเองเท่านั้น แต่หลังจากถ่ายทำเสร็จ เหล่าโจวและคนอื่นๆ ก็มีภารกิจจัดการประชุมชมภาพยนตร์เช่นกัน
หลังจากการประชุมภาพยนตร์จบลง
สำหรับตารางเข้าฉาย และส่วนแบ่งจากเครือโรงภาพยนตร์ เหล่าโจวจำเป็นต้องเจรจาต่อรองกับตัวแทนเครือโรงภาพยนตร์อีกรอบ
ท่ามกลางฝูงชน
เยี่ยหงอวี๋จากเครือโรงภาพยนตร์ต้าตี้ก็มาเช่นกัน
นี่เป็นครั้งที่สองที่เยี่ยหงอวี๋เข้าร่วมการประชุมภาพยนตร์ของเซี่ยนอวี๋
ครั้งก่อนเธอก็เข้าร่วมการประชุมภาพยนตร์เรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญู
ปรากฏว่าในครั้งนั้น เยี่ยหงอวี๋ซึ่งได้ชื่อว่าสตรีเหล็กเป็นต้องเสียน้ำตา
ในครั้งนี้เยี่ยหงอวี๋มาอย่างเงียบเชียบ เอ่ยทักทายเหล่าโจวอย่างเรียบง่าย และตรงเข้าไปยังห้องฉายภายยนตร์
ผู้ที่มาพร้อมกับเยี่ยหงอวี๋คือนักวิเคราะห์การตลาดจากเครือโรงภาพยนตร์ต้าตี้ ชื่อว่าพานเหล่ย
สิ่งที่เรียกว่าวิเคราะห์การตลาดก็คือการประเมินยอดบ็อกออฟฟิศของภาพยนตร์
อันที่จริงนี่คืองานของเครือโรงภาพยนตร์ ทว่าในบางครั้งตัวแทนเครือโรงภาพยนตร์จะนำนักวิเคราะห์มืออาชีพมาด้วย
เนื่องจากนักวิเคราะห์มืออาชีพในลักษณะนี้มักตัดสินมูลค่าของภาพยนตร์ได้แม่นยำกว่า
……
หลังจากนั่งในโรงฉายภาพยนตร์แล้ว
พานเหล่ยเอ่ยแซว “หงอวี๋วันนี้ไม่พกทิชชูมาด้วยหรือ?”
ในฐานะสตรีเหล็กเครือโรงภาพยนตร์ เยี่ยหงอวี๋ขึ้นชื่อว่าไม่มีวันสะเทือนอารมณ์ไม่ว่าจะดูภาพยนตร์ประเภทใด
ปากง แต่ครั้งก่อนเมื่อดูสุนัขยอดกตัญญู เยี่ยหงอวี๋กลับต่อมน้ำตาแตกซะได้
หลังจากเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป หลายคนในบริษัทจึงชอบหยอกล้อเยี่ยหงอวี๋เกี่ยวกับเรื่องนี้
วันนี้เป็นงานประชุมภาพยนตร์ของเซี่ยนอวี๋อีกครั้ง พานเหล่ยจึงเอ่ยเรื่องเก่าขึ้นมาอีก
“วันนี้ฉันจะไม่ร้องแล้ว คุณเป็นห่วงตัวเองเถอะ
เยี่ยหงอวี๋กลอกตา
พานเหล่ยกล่าว “วันนี้พวกเราจะได้หัวเราะ ไม่ต้องร้องไห้ ถึงอย่างไรก็เป็นภาพยนตร์ตลก”
ภาพยนตร์เรื่องชีวิตมหัศจรรย์ ทรูแมนโชว์ในวันนี้ นักแสดงนำชายคือเฮ่อเซิ่ง
เฮ่อเซิ่งโด่งดังจากเรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศ เดบิวต์ในฐานะนักแสดงภาพยนตร์ตลก หลังจากนั้นภาพยนตร์ที่เขาได้แสลงล้วนเป็นภาพยนตร์ตลก
เฮ่อเซิ่งในวันนี้นับว่าเป็นนักแสดงซึ่งมีชื่อเสียงในวงการภาพยนตร์ตลกแล้ว
เมื่อเห็นชีวิตมหัศจรรย์ ทรูแมนโชว์ซึ่งนำแสดงโดยเฮ่อเซิ่ง และผู้เขียนบทคือเซี่ยนอวี๋ พานเหล่ยจึงเผลอคิดไปว่านี่คือภาพยนตร์ชวนหัวไร้แก่นสาร
นี่เป็นความคิดของตัวแทนเครือโรงภาพยนตร์อื่นๆ เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม
ในขณะนั้นเอง จู่ๆ เหล่าโจวกลับเดินขึ้นไปบนเวที ใช้ไมโครโฟนพูดประโยคหนึ่ง “ก่อนที่ภาพยนตร์จะเริ่มฉาย ผมจำเป็นต้องเตือนทุกคนสักหน่อย ชีวิตมหัศจรรย์ ทรูแมนโชว์คือภาพยนตร์เชิงศิลปะ”
ทันใดนั้นทั้งโรงฉายก็เกิดเสียงฮือฮา
เยี่ยหงอวี๋ประหลาดใจเช่นกัน
พานเหล่ยถึงกับโพล่งออกมา “สตาร์ไลท์ทำอะไรกัน”
งานประชุมภาพยนตร์นี้สเกลไม่ใช่เล็กๆ ทุกคนต่างคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้คือภาพยนตร์เชิงพาณิชย์ แต่เหล่าโจวกลับบอกว่านี่คือภาพยนตร์เชิงศิลปะเนี่ยนะ?
ภาพยนตร์เชิงศิลปะควรค่าแก่การเล่นใหญ่ขนาดนี้เชียวหรือ?
ของพรรค์นี้จะทำรายได้สักกี่แดงกัน?
สิ่งที่เครือโรงภาพยนตร์อย่างพวกเราต้องการคือยอดบ็อกซ์ออฟฟิศ!
ได้
ต่อให้เป็นภาพยนตร์เชิงศิลปะก็ไม่เป็นไร
ภาพยนตร์เชิงศิลปะของเซี่ยนอวี๋ ด้านบทภาพยนตร์คงไม่ตามใจตัวเองมากเกินไป น่าจะทำรายได้ได้บ้าง
แต่พวกคุณใชเฮ่อเซิ่งเป็นพระเอกหมายความว่ายังไง
เฮ่อเซิงเป็นนักแสดงภาพยนตร์ตลกมาโดยตลอด!
ใช้นักแสดงตลกชวนหัวไร้แก่นสารในภาพยนตร์เชิงศิลปะแบบนี้มีที่ไหนกัน?
ผู้กำกับที่คัดเลือกนักแสดงเพี้ยนหรือเปล่า?
คุณไม่คิดว่ามันขัดๆ เขินๆ หน่อยหรือ?
ชั่วขณะนั้น ตัวแทนเครือโรงภาพยนตร์รู้สึกงุนงง
อย่างไรก็ตาม หลังจากฮือฮากันสักพัก ทั้งโรงฉายก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว
คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ใช่ผู้ชมธรรมดา พวกเขารู้ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ในภาพยนตร์
ตอนนี้รอดูว่าสตาร์ไลท์จะให้เหตุผลกับคำวิจารณ์เหล่านี้อย่างไร
ถ้าหากทำไม่ได้ ตารางเข้าฉายภาพยนตร์เรื่องนี้จะต้องเอน็จอนาถอย่างแน่นอน
ถึงอย่างไรก็ไม่มีแม่ทัพที่จะได้รับชัยชนะตลอดกาลในโรงภาพยนตร์
ต่อให้ภาพยนตร์แต่ละเรื่องของเซี่ยนอวี๋ทำผลงานได้ดี ก็ไม่มีใครกล้าบอกว่าภาพยนตร์เรื่องต่อไปของเซี่ยนอวี๋จะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
ตัวแทนเครือโรงภาพยนตร์เคยเห็นผู้ที่ประสบความสำเร็จมาหลายครั้ง ทว่าสุดท้ายกลับล้มลงและลุกขึ้นไม่ได้อีกเลย
“ปัญหาไม่ใช่ภาพยนตร์เชิงศิลปะ แต่อยู่ที่เฮ่อเซิ่ง”
เมื่อเหล่าโจวเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของตัวแทนเครือโรงภาพยนตร์ จึงกระซิบบอกกับสมาชิกแผนกภาพยนตร์ซึ่งอยู่ด้านข้าง
คนจากแผนกภาพยนตร์ตอบ “เซี่ยนอวี๋ยืนกรานแบบนี้ พวกเราทำอะไรไม่ได้”
เหล่าโจวหัวเราะ “แต่คุณดูเรื่องเต็มแล้ว น่าจะรู้ว่าเฮ่อเซิ่งแสดงได้ดีมาก”
“นั่นก็จริงครับ”
ระหว่างที่เหล่าโจวสนทนากับเพื่อนร่วมงาน หน้าจอในโรงฉายก็มืดลง
ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงสัญลักษณ์ของสตาร์ไลท์ ซึ่งเป็นดวงดาวทอแสงแจ่มจรัสบนท้องฟ้า
และหลังจากนั้น
ชายวัยกลางคนสวมแว่นตาทับดวงตาอันลึกล้ำคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น และพูดกับกล้องอย่างแช่มช้าและจริงจัง
“เราเบื่อหน่ายกับการแสดงอันเสแสร้งของนักแสดง เบื่อกับฉากระเบิดและเอฟเฟ็กต์พิเศษของคอมพิวเตอร์ในบางฉาก แม้ว่าทรูแมนจะอาศัยอยู่ในโลกสมมติ แต่ตัวเขาเองกลับไม่ได้เสแสร้ง ไม่มีบทภาพยนตร์ ไม่มีสคริปต์ แม้ว่านี่อาจไม่ใช่ผลงานชิ้นเอกของศิลปินชื่อดัง แต่ก็การันตีได้อย่างแน่นอน ว่านี่คือบันทึกของชีวิต...”
พรึบ!
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเพียงฉากแรกของภาพยนตร์ และเป็นบทพูดบทแรกด้วยซ้ำ ทว่าหลังคอของเยี่ยหงอวี๋กลับขนลุกซู่!
ตัวแทนเครือโรงภาพยนตร์มืออาชีพนั้นอ่อนไหวกับเจตนารมณ์ของภาพยนตร์เสมอ
ถึงแม้จะมองหน้าของเธอไม่ออก เพียงแต่ในน้ำเสียงระคนความแปลกพิกล
“นี่คืออะไร”
พานเหล่ยนิ่งเงียบ ทว่าในแววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจและไม่แน่ใจ สมองเริ่มรู้สึกชาอย่างไม่อาจบรรยายได้!
ชีวิตมหัศจรรย์ ทรูแมนโชว์
คงไม่ใช่…
ถ้าเขาเดาไม่ผิดละก็ ความคิดสร้างสรรค์ในบทภาพยนตร์นี้ของเซี่ยนอวี๋น่ากลัวเกินไป นี่คือมันสมองระดับเทพแล้ว!!!