Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 82 แผนขึ้นราคา
ตอนที่ 82 แผนขึ้นราคา
ข่งอันไม่ได้เป็นเพียงแค่ศาสตราจารย์คณะวิจิตรศิลป์ ขณะเดียวกันก็ยังเป็นแคนดิเดตคณบดีคณะวิจิตรศิลป์คนต่อไปด้วย
เรื่องนี้ไม่น่าจะพลิกโผไปได้
ด้วยชื่อเสียงและคุณวุฒิของเขา ไปหาอธิการบดีตอนดึกดื่นเพื่อพูดคุยย่อมไม่ใช่ปัญหา
ทว่า ทันทีที่อธิการบดีซือหวายหนานได้ฟังข่งอันพูดเรื่องนี้ สิ่งแรกที่คิดก็คือ
เข้าใจผิดกันหรือเปล่า?
เขาจ้องมองข่งอันด้วยท่าทางจริงจัง กล่าวด้วยความยากลำบาก “คุณบอกว่านักศึกษาปีสามของสาขาจิตรกรรมที่ผลคะแนนดีกลุ่มนั้น เป็นคนที่นักศึกษาปีสองสักคนในสาขาการประพันธ์เพลงสอน?”
“ไม่ผิดแน่ครับ”
แววตาของข่งอันพราวประกาย “อธิการฯ ผมแค่อยากขอร้องคุณเรื่องเดียว ย้ายเจ้าหมอนั่นมาที่คณะวิจิตรศิลป์เถอะ ให้เขาเป็นอาจารย์ก็ได้!”
“คุณบ้าไปแล้วเหรอ”
ซือหวายหนานคลึงขมับ “คุณจะให้นักศึกษาปีสองมาเป็นอาจารยสอนนักศึกษาปีสามคณะวิจิตรศิลป์ของพวกคุณเนี่ยนะ?”
“ไม่ใช่แค่ปีสาม”
ข่งอันกล่าว “เป็นอาจารย์สอนปีสี่ได้สบายๆ เลยด้วยซ้ำ”
อธิการบดีซือหวายหนานชะงักงันไป “เก่งขนาดนั้นเลย?”
ข่งอันพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ผมตรวจสอบดูแล้ว ผลการเรียนของนักศึกษากลุ่มนี้ก่อนหน้านี้ค่อนข้างธรรมดา พอไปเรียนกับหลินเยวียน ฝีมือของแต่ละคนก็ก้าวกระโดดขึ้นมา พูดจากใจจริง ฝีมือการสอนแบบนี้ทำเอาผมละอายใจเลยล่ะ”
“เข้าใจแล้ว”
ซือหวายหนานลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะพูด “เรื่องนี้จะให้ผมตกลงคนเดียวไม่ได้ พวกคุณยังต้องเคารพความเห็นขอ งทางนักศึกษา สาขาการประพันธ์เพลง แล้วก็ผู้ปกครองเขาด้วย”
“ได้”
ข่งอันพยักหน้า “พรุ่งนี้ผมจะไปหาเขา ถ้าจับมัดได้จะจับมัดมาเลย!”
ซือหวายหนานยิ้มขื่น แต่ก็รู้ว่าข่งอันเพียงพูดไปเท่านั้น ไม่มีทางจับคนเขามัดมือไพล่หลัง แล้วพาตัวมาคณะวิจิตรศิลป์จริงๆ หรอก
“ไปละครับ”
ข่งอันโบกมือเดินออกไป
ซือหวายหนานมองตามหลัง เขาจดจำชื่อ ‘หลินเยวียน’ ได้เป็นครั้งแรก
…
วันต่อมา
การสอบใหญ่ประกาศผล เรื่องที่ห้าสิบอันดับแรกในการสอบสเก็ตช์ถูกลูกศิษย์ของหลินเยวียนเข้ายึดครองพื้นที่ ก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งคณะวิจิตรศิลป์!
“แม่เจ้าโว้ย”
“น่ากลัวเกินไปแล้ว!”
“นักเรียนที่หลินเยวียนสอนโหดอะไรขนาดนี้เนี่ย”
“ถ้าไม่ลองเสี่ยงก็คงไม่รู้ผลสินะ ตอนแรกฉันรู้สึกว่าแพง ตอนนี้จะราคาเท่าไหร่ฉันก็จะให้หลินเยวียนสอนสเก็ตช์ให้ได้!”
“หลินเยวียนไม่ใช่คนที่เธออยากเรียนก็เรียนได้ แค่นักเรียนที่จองเรียนสเก็ตช์ล่วงหน้า ก็คิวยาวไปอีกสองอาทิตย์แล้ว”
“ก่อนหน้านี้ฉันไม่ค่อยเชื่อใจเขา ตอนนี้โคตรจะเสียดายเลย”
“เอาเงินฟาดซื้อโอกาสเรียนกับหลินเยวียนไปเลยสิค้าบ ใครให้ผมแทรกคิว ผมจ่ายชดเชยให้สองเท่าเลย!”
“ฉันให้สามเท่า!”
“…”
หลังจากกระแสแพร่สะพัดไป เมื่อหลินเยวียนกลับมาที่ชมรมจิตรกรรมอีกครั้ง ก็พบฝูงชนจำนวนมากดังที่คาดไว้
ในขณะเดียวกัน
นักเรียนซึ่งจองคิวเรียนสเก็ตช์กับหลินเยวียนก็แทบจะเต็มจนระเบิด!
หลินเยวียนรู้สึกแปลกใจชอบกล คนที่มานัดเรียนในวันนี้มากเป็นพิเศษ
จงอวี๋แอบยิ้มกรุ้มกริ่ม ขยับเข้ามากระซิบข้างหูหลินเยวียนด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ “ท่านเทพ วันนี้คนมาจองคิวแน่นเอี้ยด เพราะเมื่อวานพวกเราสร้างข่าวใหญ่ ฉันเป็นตัวตั้งตัวตีเลยนะ!”
หลินเยวียนถาม “ใหญ่ขนาดไหนครับ”
จงอวี๋อึ้งไป ขณะที่กำลังจะตอบ จู่ๆ ก็มีเสียงดังโหวกเหวกดังมาจากหน้าประตูชมรมจิตรกรรม ก่อนจะเห็นชายชราท่าทางผึ่งผายเดินทอดน่องเข้ามา
ศาสตราจารย์ข่งอันแห่งคณะวิจิตรศิลป์!
จงอวี๋พึมพำว่า “ใหญ่ขนาดนี้แหละ…”
ในตอนนั้นข่งอันก็เดินไปถึงพื้นที่จัดแสดงผลงานของชมรมจิตรกรรมแล้ว
ในมุมของนิทรรศการนั้นเต็มไปด้วยภาพวาดของเหล่าเทพในชมรมจิตรกรรม เขาหยุดชะงักไปเล็กน้อย มองไปยังภาพวาดระดับสูงตรงนั้น สุดท้ายสายตาก็ ไปหยุดที่ภาพสเก็ตช์สองแผ่นทางริมซ้ายซึ่งมีชื่อของหลินเยวียนเขียนไว้
เมื่อเห็นภาพวาดสองภาพนี้
ข่งอันสั่นสะท้านไปทั้งตัว
จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นเสียงเบา “หลินเยวียนอยู่ไหม”
ทันใดนั้นก็มีนักศึกษาชี้ทาง พาข่งอันไปหาหลินเยวียน
ข่งอันเผยรอยยิ้มเป็นมิตร สายตาซึ่งมองหลินเยวียนนั้นประดุจกำลังมองเพชรน้ำหนึ่งหายาก
“สวัสดีครับ”
เมื่อพบผู้อาวุโส หลินเยวียนจึงลุกขึ้นยืนตามมารยาท
ข่งอันมองประเมินเขา มองไปพลางพยักหน้าไปพลาง “คุณคือหลินเยวียนใช่มั้ย ไม่ต้องตกใจ ผมมาหาคุณก็เพราะอยากถามสักประโยคหนึ่ง สนใจย้ายมาอยู่คณะวิจิตรศิลป์ของเรามั้ย”
“ไม่ครับ”
หลินเยวียนส่ายหน้า
รอยยิ้มของข่งอันชะงักค้าง มองไปยังจงอวี๋ ก่อนจะกระแอมเบาๆ
จงอวี๋เดิมทีก็กระวนกระวายอยู่แล้ว คิดว่าเรื่องที่ตนจัดแจงจะนำพาความซวยมาให้หลินเยวียนซะแล้ว
ทว่าเมื่อเห็นปฏิกิริยาเช่นนี้ของข่งอัน ในตอนนั้นจึงค่อยเบาใจลง
จากนัยยะของอีกฝ่าย สติสัมปชัญญะของเขาพลันสว่างวาบ กระเถิบเข้าไปกระซิบข้างหูหลินเยวียน “ท่านเทพ นี่คือศาสตราจารย์ข่ง อาจารย์ประจำคณะวิจิตรศิลป์ของเรา ทั้งคณะวิจิตรศิลป์ก็มีเขาเนี่ยแหละเป็นคนดูแล…”
หลินเยวียนพยักหน้า “ศาสตราจารย์ข่ง สวัสดีครับ”
ใบหน้าของข่งอันประดับรอยยิ้มอีกครั้ง “มาคณะวิจิตรศิลป์สิ ผมสอนคุณเอง”
ภาพวาดเมื่อกี้นี้ ข่งอันมองปราดเดียวก็รู้ว่าหลินเยวียนมีความสามารถระดับมืออาชีพ!
หลินเยวียนอายุยังน้อย แต่กลับมีฝีมือถึงระดับนี้ เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะด้านการสเก็ตช์ภาพก็ยังได้ ฉะนั้นในใจของข่งอันในตอนนี้ไม่เพียงอยากดึงตัวหลินเยวียนมาคณะวิจิตรศิลป์เพียงอย่างเดียว
เขายังขาดศิษย์เอกที่เป็นหน้าเป็นตาได้อีกหนึ่งคน
ในตอนนั้นทั้งชมรมจิตรกรรมล้วนเข้ามารายล้อมมุงดู ทันทีที่ได้ยินคำพูดของข่งอัน ดวงตาก็พลันเบิกกว้าง อิจฉาตาร้อนไปตามๆ กัน!
นี่คือกระบวนการรับหลินเยวียนเป็นศิษย์คนสุดท้ายสินะ!
ข่งอันเป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลอย่างมากในโลกจิตรกรรม การได้เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขานั้นเป็นเรื่องที่จิตรกรนับไม่ถ้วนใฝ่ฝันหา
กล่าวได้ว่า ขอเพียงหลินเยวียนตอบตกลง ในอนาคตก็จะมีหน้ามีตาและฐานะในวงการจิตรกรรมอย่างแน่นอน
แต่ว่า
สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงก็คือ หลินเยวียนคล้ายกับจะไม่รู้เรื่องนี้ “ผมไม่อยากย้ายไปสาขาจิตรกรรมครับ”
รอยยิ้มของข่งอันแข็งค้างไปอีกครั้ง
เขามองหลินเยวียนด้วยความแปลกใจ “คุณไม่ชอบจิตรกรรมเหรอ”
หลินเยวียนตอบ “ชอบครับ”
ข่งอันพูด “งั้นทำไมไม่มาล่ะ”
หลินเยวียนหยุดคิด ก่อนจะตอบ “สาขาการประพันธ์เพลงเหมาะกับผม”
ศิลปะนั้นมีหลากหลายแขนง ระบบจะมอบเส้นทางให้หลินเยวียนนับไม่ถ้วน แต่เป็นเพราะเจ้าของร่างเดิม หลินเยวียนก็ยังชอบดนตรีมากที่สุดอยู่ดี
“ผมให้เวลาคุณพิจารณาดู”
ข่งอันไม่กล้ากดดันมาก กลัวว่าหลินเยวียนจะเกิดความรู้สึกต่อต้าน
เขาตั้งเป้าว่าจะต้องดึงตัวหลินเยวียนมาให้ได้ ต้นกล้าอ่อนชั้นดีขนาดนี้ ชั่วชีวิตนี้เขาอาจเฟ้นหาไม่พบอีกแล้วก็ได้ จะปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ ได้ยังไงกันล่ะ
เด็กหนอเด็ก ยังใช้ลูกล่อลูกชนดึงตัวมาง่ายอยู่
ข่งอันนั่งลงบนม้านั่งของลูกศิษย์ พลางถาม “คุณมาสอนสเก็ตช์ที่ชมรมจิตรกรรมไปเรื่อยๆ เลยได้มั้ย”
“ไม่แน่ใจครับ”
“ทำไมล่ะ”
“ผมอาจขึ้นราคา”
หลินเยวียนตอบไปตามตรง
ข่งอันมุมปากกระตุก
นักศึกษาโดยรอบกุมขมับอย่างห้ามไม่อยู่ ชั่วโมงละห้าร้อยหยวนสำหรับนักศึกษาก็นับว่าแพงมากแล้ว หลินเยวียนยังจะขึ้นราคาอีก?
ข่งอันถาม “เท่าไหร่”
หลินเยวียนตอบ “ชั่วโมงละหนึ่งพันครับ”
มุมปากของข่งอันกระตุกอีกรอบ ราคานี้เทียบกับตนได้แล้ว ทว่าลำพังฝีมือการสอนสเก็ตช์ภาพ หลินเยวียนเหนือกว่าเขาจริงๆ ฉะนั้นความจริงแล้วราคานี้ก็ไม่ได้สูงเกินไปหรอก
“จะขึ้นราคาเมื่อไหร่ล่ะ”
หลินเยวียนตอบ “ยังไม่รู้เลยครับ”
ตอนนี้เขาขึ้นราคาไม่ได้ รอประสิทธิภาพของ ‘อาจารย์’ เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อไหร่ เขาค่อยคิดเรื่องขึ้นราคา ทำธุรกิจก็ต้องมีมโนธรรมกันบ้าง เขาไม่อยากกลายเป็นคนหน้าเงิน
“ได้”
ข่งอันหยัดกายลุกขึ้นทันที “พอคุณขึ้นราคาแล้ว อย่าลืมมาหาผมที่คณะวิจิตรศิลป์ ทุกคนจะได้พูดคุยกันว่าทางมหา’ลัยสามารถร่วมมือกับคุณ จ่ายค่าตอบแทนจำนวนหนึ่ง เราจะไม่เอาเปรียบคุณ เพียงเพราะคุณเป็นนักศึกษา”
หลินเยวียนพยักหน้า “ครับ”
สมาชิกรอบข้างมองดูภาพเหตุการณ์ด้วยใบหน้าเปี่ยมความตะลึงงัน
พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่า ตนเองจะมีวันที่ได้เห็นบุคลากรระดับสูงของคณะวิจิตรศิลป์มาเจรจาธุรกิจกับนักศึกษาปีสองคนหนึ่ง
ภาพนี้ทำไมมองดูแล้วแปลกชอบกล
แต่ถึงอย่างไร เมื่อคิดว่าในการสอบใหญ่ของคณะวิจิตรศิลป์ ห้าสิบอันดับแรกแทบจะถูกลูกศิษย์ของหลินเยวียนเข้าไปยึดครองไว้ ทุกคนก็เริ่มรู้สึกว่า เรื่องการขึ้นราคานั้นช่างสมเหตุสมผลเหลือเกิน…
………………………………………………………