Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 84 จรดพู่กันสะท้านปฐพี
ตอนที่ 84 จรดพู่กันสะท้านปฐพี
เมื่อต่อสายติด หลินเยวียนพูด “ตอนนี้พี่มีเวลามั้ยครับ”
จงอวี๋หนีบโทรศัพท์ไว้ระหว่างหูกับไหล่ “ฉันกินข้าวอยู่ที่โรงอาหาร ท่านเทพมีเรื่องอะไรบัญชามาได้”
หลินเยวียนพูด “กินข้าวเสร็จ รบกวนพี่ช่วยหยิบอุปกรณ์สีกวอชมาที่ห้องห้าสิบสอง อาคารตะวันออกหน่อยนะครับ”
“ไปทำอะไร”
“ทำหนังสือพิมพ์กระดานดำ”
จงอวี๋ชะงักไป ก่อนจะตอบทันควัน “ไปเดี๋ยวนี้แหละ”
พูดจบ จงอวี๋ก็วางมือจากข้าว ลุกพรวดขึ้นมา “พวกนายไปกับฉันเร็ว”
“ฮะ?”
ข้างๆ จงอวี๋มีเพื่อนอยู่อีกไม่น้อย ต่างก็เอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”
จงอวี๋บอก “ทางท่านเทพเหมือนจะอยากทำหนังสือพิมพ์กระดานดำน่ะ”
ทุกคนล้วนแต่อึ้งงันไปชั่วขณะ “ท่านเทพอยู่กลุ่มปีสองสินะ หนังสือพิมพ์กระดานดำของกลุ่มปีสองตัดสินช่วงบ่ายแล้วนะ เวลากระชั้นเกินไปหรือเปล่า”
จงอวี๋พูดอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ “แล้วยังจะกินอยู่ทำไมล่ะค้าบ”
ทุกคนพลันได้สติ หลุดหัวเราะออกมา “นั่นสิ พวกเราเด็กอาร์ตมารวมกลุ่มกันแบบนี้ หนังสือพิมพ์กระดานดำจะไปคณามือได้ไง ท่านเทพเตรียมจะทำหนังสือพิมพ์กระดานดำด้วยสีกวอชเหรอ”
“อื้ม เก็บของเร็ว”
จงอวี๋ขยับตัว พลางส่งข้อความเข้ากลุ่ม ‘คลาสของท่านเทพจะทำหนังสือพิมพ์กระดานดำ คนที่เก่งสีกวอชไปที่สาขาประพันธ์เพลงกันหน่อย ห้องห้าสิบสอง อาคารตะวันออก’
พรึ่บๆๆ
ปฏิกิริยาตอบรับในกลุ่มแสนคึกคัก
‘รอแป๊บ ไปเดี๋ยวนี้แหละ!’
‘ท่านเทพขอมา จะไม่ไปได้ยังไงล่ะ’
‘ท่านเทพจะออกหนังสือพิมพ์กระดานดำ ยังต้องใช้ไก่อ่อนอย่างพวกเราด้วยเหรอ’
‘แกจะงงอะไร ท่านเทพเชี่ยวชาญการสเก็ตช์ ไม่ใช่สีกวอช สองอย่างนี้มันคนละทางกันเลย’
สีกวอชคือสีกวอช
สเก็ตช์คือสเก็ตช์
วาดสีกวอชเป็นอย่างไร วาดสเก็ตช์ได้ดีหรือไม่ นั้นเป็นคนละเรื่องกัน จิตรกรรมสองประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด
‘จริง นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีวันที่ท่านเทพต้องการพวกเรา’
‘ถึงเวลาแสดงให้ท่านเทพเห็นฝีมือการวาดสีกวอชของฉันแล้วว้อย ฉันจะใช้สกิลสีกวอชมากอบกู้ภาพลักษณ์และศักดิ์ศรีที่หายไปต่อหน้าท่านเทพตอนเรียนสเก็ตช์’
‘พวกแกใจเย็นก่อนนนน หนังสือพิมพ์กระดานดำไม่ได้ใช้คนเยอะขนาดนั้น’
‘ก็ได้ งั้นก็ไปน้อยหน่อย ให้พวกที่คะแนนสีกวอชดีที่สุดในคลาสไปแล้วกัน’
‘ยังเหลือเวลาอีกสองสามชั่วโมงก่อนตัดสินหนังสือพิมพ์กระดานดำ เจ็ดแปดคนก็พอแล้ว’
‘…’
ในกลุ่มนั้นแสนคึกคักอย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะชื่อของกลุ่มนี้ ก็คือตัวอักษร ‘L’
คนที่เหลือในโรงอาหารไม่กินข้าวกันแล้ว ต่างคนต่างตามจงอวี๋ไป พวกเขาก็เป็นนักเรียนการสเก็ตช์ภาพของหลินเยวียนเหมือนกัน
“นายเรียกใครมาเหรอ”
ในห้องเรียนของสาขาการประพันธ์เพลง เฉาปินมองหลินเยวียนโทรศัพท์อย่างอึ้งงัน
หลินเยวียนตอบ “เพื่อนสาขาจิตรกรรม”
“อยู่ปีไหน”
“ปีสาม”
เฉาปินอ้าปากค้าง ชั่วขณะนั้นก็พลันดีอกดีใจขึ้นมา “ใช่แล้วละ ถ้าถามว่าใครที่จะทำข่าวหนังสือพิมพ์ได้ในเวลาที่สั้นขนาดนี้ ก็มีแค่คนสาขาจิตรกรรมแล้วสินะ แถมยังเป็นรุ่นพี่ปีสามที่มีประสบการณ์อีก! นายเรียกคนมาเยอะๆ เลยนะ พวกเรายังมีความหวังอยู่!”
หลินเยวียนบอก “ฉันเรียกมาคนแค่คนเดียว”
เฉาปินกระวนกระวายขึ้นมาทันที “คนเดียวจะไปพอที่ไหนล่ะ ต้องเรียกมาอีกหน่อยสิ ไม่งั้นเดี๋ยวไม่ทันเวลา
นายโทรไปใหม่ได้มั้ย ให้เพื่อนนายขอร้องพวกรุ่นพี่สาขาจิตรกรรม ถึงยังไงกระดานดำก็ใหญ่ซะขนาดนี้ แถมนายอาจไม่รู้เรื่องความหนักหนาสาหัสของเรื่องนี้ เมื่อเทอมที่แล้วเหยียนเมิ่งเจียดร็อปเรียนไปเพราะปัญหาสุขภาพ หน่วยกิตเลยไม่ค่อยพอ ตอนนี้เธอเป็นกำลังหลักของหนังสือพิมพ์กระดานดำครั้งนี้ ถ้าหนังสือพิมพ์กระดานดำครั้งนี้ทำผลงานได้ดี เธอก็จะได้หน่วยกิตเป็นรางวัล นายก็รู้กฎของวิทยาลัยเรา หน่วยกิตไม่พอไม่ยอมให้จบแน่ หนังสือพิมพ์กระดานดำเกิดปัญหาในครั้งนี้ที่จริงแล้วทำให้เหยียนเมิ่งเจียเสียใจมาก แต่เธอก็ไม่ได้โทษเพื่อนคนที่เป็นเวรเมื่อวานหรอก…”
เฉาปินยิ่งพูดยิ่งกระวนกระวานใจ
เขาเป็นหัวหน้าห้องที่ดีจริงๆ
ทว่าขณะกำลังพูดอยู่นั้น เสียงของเฉาปินก็หยุดลงฉับพลัน มองไปทางหน้าต่างอย่างอึ้งงัน
ทันใดนั้นที่ระเบียงทางเดินก็ปรากฏกลุ่มคนมืดฟ้ามัวดิน พวกเขากรูกันเข้ามาทางประตูใหญ่ของห้องเรียน เป็นเพราะจำนวนคนเกินกว่าที่คาดไว้สักหน่อย ท้ายที่สุดแล้วประตูหน้าห้องจึงดูเบียดเสียดขึ้นมาถนัดตา
“แบบนี้นายเรียกว่าคนเดียวเหรอ”
เฉาปินเหลือบมองหลินเยวียนด้วยความสับสน
หลินเยวียนเองก็ประหลาดใจ หัวโจกคือจงอวี๋ ทว่ากลุ่มคนด้านหลังของจงอวี๋คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นนักศึกษาชมรมจิตรกรรมที่หลินเยวียนเคยสอน
จงอวี๋ยิ้มแย้ม “ท่านเทพ”
หลินเยวียนพยักหน้า ไม่พูดให้มากความ “เวลากระชั้นมาก รบกวนพี่ช่วยจัดสีให้ผมหน่อยครับ”
ในตอนนั้นจงอวี๋กำลังคิดโครงภาพของหนังสือพิมพ์กระดานดำ จนไม่ทันได้ฟังคำพูดของหลินเยวียนให้ชัดเจน
รีบพูดขึ้นมาว่า “เวลากระชั้นมาก ใครก็ได้มาเตรียมสีที อีกอย่างอย่าลืมรองน้ำมาหน่อยด้วย แต่ละฝ่ายเร่งมือหน่อย…”
ระหว่างที่พูด
จงอวี๋ก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ค้นหาภาพจากอินเทอร์เน็ต อันที่จริงหนังสือพิมพ์กระดานดำจัดอยู่ในศิลปะประเภทคัดลอกภาพ ตราบใดที่หารูปต้นฉบับออกมาได้ดีก็ใช้ได้แล้ว
ผ่านไปไม่กี่นาที
จงอวี๋ก็หาภาพที่ค่อนข้างถูกใจได้ภาพหนึ่งแล้ว แต่เมื่อเขาหันหลังไป กลับพบว่าทุกคนยืนอึ้งจ้องมองไปยังกระดานดำ ประหนึ่งนิ่งค้างไปแล้ว
“เป็นอะไรกัน”
จงอวี๋จึงมองไปยังกระดานดำบ้าง จากนั้นเขาก็เห็นภาพอันน่าตกตะลึงอย่างสุดแสน
เพียงแค่เห็นหลินเยวียนกำลังยืนอยู่บนเก้าอี้ซึ่งจัดวางอย่างมั่นคง หยิบแปรงขนาดใหญ่ออกมา ทาสีพื้นลงไปหนึ่งชั้นด้วยความเร็วสูง แม้แต่ขั้นตอนการสเก็ตช์โครงภาพด้วยชอล์กก็ถูกข้ามไปเลย จากนั้นก็ใช้พู่กันขนาดใหญ่ตวัดวาดโครง ร่างของทิวเขาทอดยาวสีเทาแกมเขียวเส้นคมชวนมองอย่างรวดเร็ว!
นักศึกษาทั้งสองคนรับผิดชอบถือจานสี
หลินเยวียนเปลี่ยนเป็นพู่กันที่หนาขึ้น ราวกับไม่จำเป็นต้องขบคิด ตวัดพู่กันจากนั้นก็จุ่มสีอีกหลายสี ผสมสีออกมาอย่างแม่นยำ สีชั้นแล้วชั้นเล่าถูกระบายลงไป ก็ถ่ายทอดรายละเอียดของทิวเขาออกมาได้อย่างแจ่มชัด!
สามนาที…
เจ็ดนาที…
สิบห้านาที…
สามสิบสองนาที…
เวลาผ่านไปอย่างเงียบเชียบ ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยวาจา ทุกคนล้วนมองดูหลินเยวียนแต่งแต้มสีสันลงบนกระดานดำ ในยามนี้กลุ่มคนที่เชี่ยวชาญสีกวอชในคณะวิจิตรศิลป์ทำได้เพียงอยู่ในฐานะตัวละครซึ่งถือจานสีให้หลินเยวียน กระนั้นแล้วก็ไม่มีใครไม่พอใจ สายตาของพวกเขาแลดูราวกับมีแสงประกาย!
“พรึ่บๆๆ”
หลินเยวียนใช้ความเร็วสูงสุดวาดภาพที่หยาบที่สุด เขาประหนึ่งว่าสามารถท่องจำได้ว่าสีใดสามารถผสมออกมาได้เป็นสีใด เขาคล้ายกับว่าจะไม่สนใจโครงร่างชั้นล่าง ทุกการจรดพู่กันนั้นแม่นยำราวกับว่าได้วาดโครงภาพไว้ชั้นล่างเรียบร้อยแล้ว
“ตึ้ง”
มีคนเปลี่ยนจานสี นักศึกษาที่ถือจานสีก็เปลี่ยนกันอีกสองคน ถึงอย่างไรการยกจานสีไว้สูงๆ แบบนี้ก็เมื่อยมากทีเดียว
หลินเยวียนสมาธิแน่วแน่
เมื่อกำหนดโทนสีแล้ว ขนาดของพู่กันที่ใช้ก็เล็กลงเรื่อยๆ ในทะเลมีแพไม้ไผ่ บนแพไม้ไผ่มีคนสวมหมวกฟางสาน ด้วยความแตกต่างระหว่างความเข้มและสว่างของแสง ภาพนี้คล้ายกับว่ามีไดนามิกขึ้นมา
ทิวเขาเขียวชอุ่ม!
น้ำตกเร่งเร็ว!
กระแสน้ำเชี่ยวกราก!
ดิ่งลงรุนแรง!
เวหาสูงเมฆาล้ำ!
การแสดงฝีมือของของหลินเยวียนอลังการงานสร้างอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในวงแขนของเขามีพู่กันสามด้าม ปากคาบพู่กันหนึ่งด้าม มือซ้ายขวายังถือพู่กันอีกหนึ่งด้าม ใช้เสร็จด้ามหนึ่งก็โยนทิ้งไป นอกจากผสมสีแล้ว สายตาของเขาแทบไม่ได้ละไปจากกระดานดำเลย
ริมฝั่งมีสิ่งก่อสร้างไร้นาม
ในน้ำมีปลาไม่ทราบสายพันธุ์แหวกว่าย
บนหาดทรายมีปูเดินไปมา
บนเส้นขอบฟ้ามีเรือใบสีขาวแล่นฉิวตามแรงลม
เมื่อพู่กันขนาดเล็กตัดเส้นสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว หลินเยวียนรู้สึกว่าทั้งคอและมือล้วนเมื่อยขบ ทั้งร่างกายอยู่ในสภาพอ่อนล้า
และบนกระดานดำ
ขุนเขาและท้องทะเลเชื่อมโยงถึงกันแล้ว ต้นสนเร้นในเมฆหมอกกลางเชิงเขา ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดงส่องรัศมี หมู่นกนางนวลและสายธารแห่งสารทฤดูหลอมรวมเป็นสีเดียวกับท้องนภา
จรดพู่กันสะท้านปฐพี!
ในตอนนั้น นักศึกษาที่รับผิดชอบการผสมสีให้หลินเยวียน รับผิดชอบการถือจานสีให้หลินเยวียน รับผิดชอบการรองน้ำให้หลินเยวียน และรับผิดชอบการล้างจานสีให้หลินเยวียน ก็เกิดความรู้สึกสองอย่างกำลังโรมรันพันตูกันอยู่ในใจ
เป็นเกียรติ และน้อยใจ
…………………………………………………..