Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 653
จัดการขยะ
ภายในห้องห้องหนึ่ง หวังหยาน กำลังตัดแต่งเพลงๆ หนึ่งด้วยโทรศัพท์มือถือ หลังจากนั้นที่ก็เริ่มกดเล่นและฟังส่วนที่ตัดออกมาซ้ำๆ ไปเรื่อย ดวงตาของเธอได้แดงก่ำเพราะการร้องไห้ซ้ำๆ เธอระลึกถึงเหตุการณ์บางอย่างในชีวิตและเธอไม่สามารถหยุดมันได้
ในเวลาเดียวกันนั้นทั่วทั้งประเทศผู้คนนับไม่ถ้วนต่างฟังเพลงเพลงนี้ บางคนก็ถึงกับร้องไห้ มันเป็นคืนที่ผู้คนต่างก็นอนไม่หลับกัน เพลงนี้ใช้เวลาเพียงสามชั่วโมงในการขึ้นไปอยู่อันดับสามของอันดับเพลงฮิต ซูจิ้งเองนั้นคิดว่าต้องใช้เวลาถึงสองวัน แต่ดูจากสภาพแล้วคิดว่าแค่วันเดียวก็น่าจะขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง ต่อให้ไม่มีการจัดอันดับนี้ก็ยังทำให้ผู้คนในวงการเพลงต้องสะท้านกันอยู่ดี
ซูจิ้งออกจากห้องน้ำแล้วจึงได้นำตราเทวฑูต(นางฟ้า)ออกมาแล้วทำการดูดซับพลังวิญญาณจำนวนมากเข้าไป เขากลับไปที่ห้องโถงเพราะว่างานเลี้ยงยังไม่จบ ผู้คนมากมายต่างพยายามเข้ามาเพื่อขอพูดคุยกับซูจิ้ง บางคนเข้ามาเพราะสายสัมพันธ์กับนายน้อยตระกูลหวัง บางคนเข้ามาเพราะฝีมือในการเล่นกู่ซือน ด้วยการแนะนำจากหวังจ้าวทำให้ซูจิ้งได้ทำความรู้จักเล็กน้อยกับคนเหล่านี้ มีบางคนเป็นผู้ว่าราชการมณฑล บางคนเป็นผู้อำนวยการฝ่ายรักษาความมั่นคงประจำมณฑล บางคนเป็นประธานเครือบริษัทใหญ่ ฯลฯ เหล่านี้คือผู้คนแห่งสังคมชนชั้นสูงที่หลายๆ คนอยากเข้าร่วมแต่ไม่มีโอกาสแม้แต่น้อย แต่ด้วยการที่ซูจิ้งมีตระกูลหวังคอยหนุนหลัง รวมถึงหลี่เทียนเฮอและภรรยาก็ยังชื่นชมเขาเป็นการส่วนตัว ทำให้เหล่าคนใหญ่คนโตพวกนี้ต้องสุภาพกับเขา
จ้าวหยวนไม่ได้พูดอะไรกับซูจิ้งอีกต่อไป จ้าวซือเฟิงเองก็ไม่อยากยุ่งกับซูจิ้งเช่นกัน เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งงานเลี้ยงก็ได้จบลง อย่างไรก็ตามมัตซึโมโตะชาวญี่ปุ่นคนนั้นก็ยังพยายามที่จะคุยกับซูจิ้งให้ได้ ซึ่งแน่นอนว่าซูจิ้งได้คาดว่าแล้วว่าเขาจะคุยเรื่องอะไร “คุณซู คุณเป็นคนแต่งเพลง “นะขณะจิตที่สวยงาม”หรือครับ”
“ใช่แล้วครับ” ซูจิ้งพยักหน้าตอบรับ
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องลิขสิทธิ์สมควรยังอยู่ในมือคุณใช่รึเปล่าครับ” มัตซึโมโตะกล่าวพร้อมสายตาลุกวาว
“เรื่องนั้นผมให้คนอื่นไปแล้วน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ฮ่า ฮ่า คุณกำลังพูดถึงข้อความที่ส่งต่อกันในเหว่ยป๋อ(Weibo)ใช่ไหมครับ มันไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย ผมไม่มีปัญหาในการแบ่งลิขสิทธิ์กับมู่หรงเซียนเอ๋อ ผมขอพูดเข้าประเด็นเลยแล้วกัน ผมมีความสนิทชิดเชื้อกับนักร้องคนหนึ่ง เธอมีชื่อว่าจิงเอ้อ เธอมีพรสวรรค์ด้านร้องเพลง ตอนที่ผมฟังเพลง“นะขณะจิตที่สวยงาม”ผมตกตะลึงเป็นอย่างมาก ผมต้องการให้คุณให้ลิขสิทธิ์แก่จิงเอ้อได้ไหมครับ ผมหวังว่าคุณจะยินยอม คุณสามารถบอกราคามาได้เลย” มัตซึโมโตะกล่าวออกมาอย่างจริงใจและตรงไปตรงมา เขานั้นไม่รู้จักซูจิ้ง ถ้าเขารู้จักกับซูจิ้งดีเหมือนกับที่เขารู้จักวงการเพลงหล่ะก็ เขาจะไม่มีทางทำอย่างนี้เพราะซูจิ้งนั้นจะไม่มีวันขายลิขสิทธิ์เพลงพวกนี้แน่นอน ยิ่งกว่านั้นเขายังมอบลิขสิทธิ์ให้มู่หรงเซียนเอ๋อไปแล้วจึงขายไม่ได้ ที่สำคัญเขาไม่ได้ขาดเงิน
“งั้น เราลองหาที่คุยกันซักหน่อยไหมครับ” ซูจิ้งไม่เคยได้ยินชื่อนักร้องที่ชื่อจิงเอ้อมาก่อน แต่มัตซูโมโตะก็ยังยินยอมพร้อมใจที่จะจ่ายเงินจำนวนมากให้เธอ แสดงว่าต้องเป็นบุคคลพิเศษสำหรับเขาอย่างแน่นอน ซูจิ้งนั้นรู้สึกเอือมระอากับมัตซึโมโตะเป็นอย่างมาก นี่ถึงกับก้าวล่วงมาวุ่นวายถึงนักแสดงในประเทศของจีน ทำให้ซูจิ้งรู้สึกว่าเขาช่างน่าขยะแขยง อย่างไรก็ตามซูจิ้งก็ไม่ได้ทำอะไรประเจิดประเจ้อ เขาได้แยกตัวออกไปเพื่อคุยกับมัตซึโมโตะ
“ถ้างั้นไปคุยกันในรถผมเป็นยังไงครับ” มัตซึโมโตะเสนอความคิด
“ก็ได้” ซูจิ้งพยักหน้าตอบรับพร้อมรอยยิ้ม เขาเข้าไปพูดกับหวังจ้าวและหวังซือหยาแล้วก็เดินออกมาพร้อมมัตซึโมโตะ หวังจ้าว หวังซือหยา หลี่หยิง หลี่เทียนเฮอ หลี่เหนียนหยิง และคนอื่นๆ ต่างรู้ในทันทีว่าซูจิ้งต้องทำอะไรบางอย่างแน่นอน พวกเขาต่างหวังให้ซูจิ้งทำอะไรซักอย่างเกี่ยวกับภาพเขียนเทพธิดา อย่างไรก็ตามซูจิ้งไม่ได้รีบร้อนเพราะยังไงซะภาพเขียนเทพธิดาก็ได้ตกอยู่ในเงื้อมมือพิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่นไปเรียบร้อยแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้กลับมาง่ายๆ
ซูจิ้ง มัตซึโมโตะ และผู้ติดตามอีกสองคน ขึ้นไปบนรถคาร์ดิแลครุ่นยาวพิเศษ มัตซึโมโตะพูดกับซูจิ้งด้วยรอยยิ้มว่า “คุณซูครับ คุณว่าราคามาได้เลย ถ้าราคาไม่สูงเกินเอิ้อมผมไม่มีปัญหา พร้อมเซ็นสัญญากันได้ในภายหลัง”
ตอนนี้ไม่มีใครอยู่รอบๆ แล้ว เขาไม่ต้องระวังที่จะมีใครมาเห็น ซูจิ้งขี้เกียจจะพูดอีกต่อไป เขาได้ปลดปล่อยพลังจิตออกมาและทำการสะกดจิตมัตซึโมโตะและคนคุ้มกันทั้งสอง แล้วซูจิ้งก็ได้ยิงคำถามชุดใหญ่ใส่มัตซึโมโตะ เขายืนยันแล้วว่าภาพเขียนเทพธิดาตกไปอยู่ในเงื้อมมือของทางพิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามเขายังได้ข้อมูลเพิ่มเติมบางอย่าง
ข้อมูลที่ซูจิ้งได้มาอย่างแรกคือ จ้าวซือเฟิงและจ้าวหยวนดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้ร่วมมือกับมัตซึโมโตะ และทั้งสองเองก็ยังพยายามจะค้นหาภาพเขียนเทพธิดาด้วยเหมือนกัน
อย่างที่สองมัตซึโมโตะมีเส้นสายกับทางพิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่นชนิดที่ แทบจะทำอะไรก็ได้ทำให้เขามีข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางการขนส่ง รวมถึงที่อยู่ของภาพเขียนเทพธิดา
อย่างที่สามเนื่องจากเขามีเส้นสายกับพิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่น ทำให้รู้ข้อมูลของพ่อค้าคนกลางที่จะนำภาพเขียนเทพธิดา จากจีนไปญี่ปุ่นด้วย
“เส้นสายที่มัตซึโมโตะมีต่อพิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่นนี่น่าจะพอใช้อะไรได้อยู่แหะ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก รออีกสักสองสามวัน ถ้าลุงหวังกับลุงหลี่สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลพวกนี้ได้ก็ไม่เป็นไร ต่อให้ไม่สามารถใช้วิธีทางการฑูตนำกลับคืนมาได้ ฉันจะไปจัดการเองเมื่อพิพิธภัณฑ์นำภาพเขียนไปแสดง” ซูจิ้งนึกพร้อมทำการปลดปล่อยมัตซึโมโตะและผู้ติดตามออกจากการสะกดจิตและทำเหมือนเพิ่งจะเริ่มคุยงานกัน โดยซูจิ้งแกล้งเสนอราคาที่สูงมากจนมัตซึโมโตะได้แต่ถอดใจจนต้องถอนตัว หลังจากนั้นซูจิ้งเดินออกมา
เขาเดินกลับไปที่รถลินคอนรุ่นพิเศษของหวังจ้าว หวังจ้าวและหวังซือหยาได้นั่งรออยู่ในรถเนื่องจากงานเลี้ยงได้เลิกไปซักพักนึงแล้ว เมื่อเห็นซูจิ้งกลับเข้ารถ หวังจ้าวรีบถามออกไปว่า “เป็นยังบ้าง ได้อะไรเพิ่มขึ้นมั่งไม๊”
“นี่คือข้อมูลของชายที่เป็นคนกลางที่จะนำภาพเขียนเทพธิดาออกจากจีนไปญี่ปุ่น คนของประเทศเราน่าจะรู้อะไรเพิ่มเติมถ้าติดตามตรวจสอบคนๆ นี้ ดีไม่ดีอาจเจอตัวคนขโมยด้วยก็ได้” ซูจิ้งยื่นมือถือที่มีข้อมูลที่เขาได้จากมัตซึโมโตะให้แก่หวังจ้าว
“นี่มันสุดยอดไปเลย ฉันจะส่งคนไปสืบสวนคนๆ นี้ทีหลัง ว่าแต่นายทำยังไงมัตซึโมโตะถึงยอมบอกข้อมูลเหล่านี้กับนายเนี่ย” หวังจ้าวรู้สึกทึ่งกับความสามารถของซูจิ้ง การที่ซูจิ้งเข้าไปคุยในตอนนั้นแล้วได้ข้อมูลพิพิธภัณฑ์จีนมาก็พอเข้าใจได้ แต่นี่กลับได้ข้อมูลลับมาเหมือนเป็นข้อมูลทั่วไปบอกใครก็ได้อย่างงั้นแหล่ะ แม้กระทั่งข้อมูลคนกลางนี่ก็ด้วย เป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้วิธีการถามตอบแบบปกติแล้วได้มันมา
“ฮ่า ฮ่า ผมก็มีวิธีของผมน่า…” ซูจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่หวังซือหยากลับยักไหล่ใส่ เธอนึกถึงตอนเรื่องรักครั้งแรกของเธอ เฉาซิ่ง ดูเหมือนซูจิ้งมีวิธีบางอย่างที่จะทำให้ผู้คนพูดความจริงทำให้เฉาซิ่งพูดความจริงทุกอย่าง บอกหมดทุกเรื่อง ไม่รู้ว่าซูจิ้งทำได้ยังไงเหมือนกัน
สำหรับเรื่องคนกลางนี้ซูจิ้งได้ปล่อยให้หวังจ้าวเป็นคนจัดการ ส่วนเขาจะมุ่งเน้นในการหาวิธีที่จะนำภาพเขียนเทพธิดากลับมา ตอนแรกนั้นหวังจ้าวคิดว่าจะให้รถไปส่งซูจิ้งที่บ้าน แต่ซูจิ้งเห็นว่ามันดึกมากแล้ว ประมาณซักตีสองไม่ก็ตีสามเห็นจะได้ เขาจึงเลือกที่จะขึ้นไปบนยอดตึกแล้วทำการผิวปาก ทันใดนั้นอินทรีทองได้ร่อนลงมาจากฟากฟ้าและเขาก็ขึ้นไปขี่มันแล้วจากไป หวังจ้าวและหวังซือยาทำได้แค่รู้สึกอัศจรรย์ใจกับเรื่องนี้ทุกครั้ง ถึงแม้จะเห็นมาหลายครั้งแล้วก็ตาม
เมื่อซูจิ้งกลับถึงบ้าน เขาก็ได้ไปจัดการกับขยะของเขาต่อและรอผลลัพธ์จากทางด้านตระกูลหวังและตระกูลหลี่ที่จะไปจัดการกับเรื่องภาพเขียนเทพธิดา เพราะว่าแค่กองขยะนี่ก็ทำให้เขางานล้นมือแล้ว