Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 661
ปัญหาของเฉิงหนาน
ชุดว่ายน้ำรุ่นพิเศษของซูจิ้งที่ส่งมาขายที่ร้านของฉือชิงนั้น ซูจิ้งเป็นคนนำวัตถุดิบมาจากห้วงเวลาฯจากเรื่องล่าลี้ลับตำนานจีน ไม่กี่วันก่อนเขาก็ได้นำวัตถุดิบมาที่ร้านของซือหยาและถามหาคนที่ออกแบบเสื้อผ้าของร้านเพื่อที่จะให้ช่วยตัดเย็บให้เขา เหตุผลที่ว่าทำไมต้องตั้งเงื่อนไขในการขายให้มีระยะเวลาการประมูลหนึ่งเดือนก็เพราะว่าเขาต้องการทดสอบความนิยมของชุดๆ นี้ ถ้าราคาไม่ได้สูงนักเขาก็คิดจะทำไว้ให้พวกของตัวเองได้ใช้ แต่ถ้าราคาสูงเขาถึงจะตัดสินใจผลิตขายแบบจำนวนมาก ถึงแม้จะได้เงินไม่เท่าไหร่ก็ตาม
ซูจิ้งยังได้เตรียมไพฑูรย์ มรกต อำพัน และปะการังแดง บางส่วนที่ได้จากห้วงเวลาฯ ต่าง เพื่อจะส่งไปที่โรงประมูล
เมื่อการประมูลเสร็จสิ้น
ซูจิ้งได้ลองเช็คเงินในบัญชีดูพบว่าเขามีเงินอยู่จำนวน 1.2 หมื่นล้านหยวน ซึ่งเป็นเงินที่ได้จากการประมูลรวมถึงกำไรจากผลิตภัณฑ์ชนิดต่างๆ ที่เขานำออกจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็นแผงพลังงานแสงอาทิตย์ ของชำร่วยชนิดต่างๆ เสื้อกันกระสุนใยแมงมุม แป้งเม่ยหยาน เสื้อผ้า ซอสมะเขือเทศ และไวน์จิ้งจอกแดงซึ่งรวมถึงผลกำไรจาก ธุรกิจการท่องเที่ยวและร้านอาหารของเขา ซึ่งทำให้เขามีรายได้เข้าบัญชีอยู่ที่ 300 ล้านหยวนต่อเดือน ถ้ารวมกับเงินที่เขาได้จากโรงประมูลเดือนนี้เขาจะมีรายได้อยู่ที่ 400 ล้านหยวน ถึงจะมีรายได้ขนาดนี้แต่ก็ยังถือว่าไม่เพียงพอเพราะว่าการผลิตปฏิสสารของเขาใช้เงินมากกว่า 300 ล้าน หยวนต่อเดือน ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายในการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ค่าซ่อมบำรุง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ต้องใช้รวมๆ อีกประมาณ 50 ล้านหยวน ทำให้ต่อเดือนนั้นเขามีเงินเหลือแค่ไม่เท่าไหร่ เขาเองก็ไม่คิดว่าการทำปฏิสสารจะผลาญเงินและยังยากต่อการดูแลรักษาอีกด้วย การที่ซูจิ้งสามารถเพิ่มเงินในบัญชีได้โดยไม่มีการติดลบแม้แต่น้อย ถึงแม้จะเป็นการเพิ่มทีละน้อยแต่ก็ถือว่าดีมากแล้ว
สำหรับตอนนี้ยังไม่มีการขยายกำลังการผลิตปฏิสสารทำให้การดูแลระบบไม่ยากเท่าไหร่ เมื่อยาเสริมเต้านมออกวางตลาดเมื่อไหร่ผลกำไรที่ได้จะเพิ่มขึ้นอีกระดับนึงเลย ถึงตอนนั้นก็คงไม่มีเรื่องต้องกังวลใจอีกแล้ว
ซูจิ้งคิดมาตลอดว่าถ้าเขาพร้อมเมื่อไหร่เขาจะเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนทุกวันให้ได้ โดยเฉพาะการฝึกพลังภายในที่ต้องรีบฝึกให้เร็วที่สุด
ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นเอง เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ได้ดังขึ้นมา เป็นหวังจ้าวที่โทรหาเขา เขารับโทรศัพท์ทันทีที่เห็นว่าเป็นใครที่โทรเข้ามา เมื่อรับสายหวังจ้าวได้พูดขึ้นมาว่า
“อาจิ้ง นายคิดว่าครั้งสุดท้ายที่เจอเฉิงหนานเธอดูเป็นยังไงบ้างน่ะ”
“คุณถามทำไมน่ะ เฉิงหนานดูอาการไม่ดีอย่างงั้นหรอ” ซูจิ้งถามกลับ
“อันที่จริงแล้วฉันคิดว่าความสามารถของเธอด้านธุรกิจถือว่าโดดเด่นเลยนะ จะพูดอีกอย่างว่าเป็นอัจฉริยะด้านนี้ก็ได้ ตั้งแต่เธอเข้ามาในแผนกจัดการงานทั่วไปของกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศของเราเธอทำงานได้ดีเลยทีเดียว ที่ฉันถามนั้นเป็นเรื่องลักษณะนิสัยน่ะ ว่าเธอเชื่อใจได้รึเปล่า นายจำจ้าวหยวนได้ไหมที่นายเจอเมื่อตอนงานเลี้ยงคืนนั้นน่ะ ดูเหมือนเขาจะสนใจในตัวเฉิงหนานอย่างมากเขา ถึงกับมาที่บริษัทของเราเลยนะ นายคิดว่าการที่รับเธอเข้ามานี่จะเป็นเรื่องดีจริงๆ รึเปล่า”
ถึงแม้หวังจ้าวจะบอกว่าไม่ได้ใส่ใจเรื่องของจ้าวหยวนเท่าไหร่นัก แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเฉิงหนานก็เป็นอีกเรื่องนึง
“เฉิงหนานรังเกียจเขาจะตายไป คุณก็เห็นไม่ใช่หรอ” ซูจิ้งถามออกมา
“มันน่ารำคาญอยู่นะ ตอนนี้จ้าวหยวนเหมือนจะเริ่มเล่นตุกติกแล้วเหมือนกัน ฉันกลัวว่าจะมีผลต่อการทำงานของเธอ ฉันไม่ได้พูดลอยๆนะ จ้าวหยวนถึงขั้นปิดประตูทางเข้าออกสำนักงานของเราเพียงเพราะเฉิงหนานไม่ยอมขึ้นรถไปกับเขา สุดท้ายฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจ้าวหยวนพูดอะไรกับเธอเฉิงหนานถึงยอมไปกับไอ้หมอนั่น” หวังจ้าวเล่าออกมาอย่างอารมณ์เสีย
“สำหรับผมนั้นผมคิดว่าเฉิงหนานเป็นคนที่ไว้ใจได้คนหนึ่งเลย คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องไอ้บ้าตระกูลจ้าวนั่นหรอก เดี๋ยวผมจัดการเอง”
ซูจิ้งพูดออกมาพร้อมนึกถึงความรูสึกของเฉิงหนาน เธอนั้นเป็นอัจฉริยะทางด้านธุรกิจอย่างไม่ต้องสงสัย จากตอนแรกเป็นแค่ลูกน้องจนตอนนี้กลายเป็นหุ้นส่วนไปแล้ว การช่วยเหลือเธอนั้นนอกจากจะทำให้เธอกลายเป็นพันธมิตรที่ดีอย่างแน่นอนแล้ว หลังจากการช่วยเหลือจะทำให้เธอร่วมมือ มีความน่าเชื่อถือ และเชื่อใจได้อย่างไม่ต้องสงสัย
“ฮ่า ฮ่า งั้นฉันให้นายเป็นคนจัดการเรื่องของสาวสวยคนนี้ละกัน จำไว้นะว่านายเองก็เป็นคนตระกูลหวัง บางครั้งมันก็ต้องมีเรื่องที่นายจัดการเองไม่ได้ นายสามารถใช้อำนาจตระกูลหวังจัดการได้อย่างเต็มที่เลย เรื่องบางเรื่องนายไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเกลือกกลั้วหรอก ถ้ามันไม่คุ้มค่าที่จะเสียเวลาน่ะนะ” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ผมจะรับข้อเสนอนี้ไว้พิจารณาละกัน” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้มถึงจะได้ยินอย่างนั้นแต่เขาก็ยังตัดสินใจจะจัดการด้วยตัวเองอยู่ดี เรื่องบางเรื่องนั้นใช้อำนาจตระกูลหวังไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะตระกูลหวังไม่ได้มีความสามารถเหมือนเขา อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ซูจิ้งจะลองใช้อำนาจของตระกูลหวังดูบ้าง เพราะว่าหวังซวนจิ้เองก็ยินดีพร้อมใจที่จะช่วยอย่างเต็มความสามารถ นั่นรวมถึงคนตระกูลหวังทั้งตระกูล แม้แต่ผู้ว่าการเมืองจงหยุน และผู้อำนวยการหน่วยรักษาความสงบของเมืองจงหยุนก็ยังต้องไว้หน้าเข้าเหมือนกัน
ในห้องคาราโอเกะห้องหนึ่ง มีเพียงจ้าวหยวนและเฉิงหนานนั่งอยู่ข้างในห้อง เฉิงหนานนั่งหน้าซึดเผือดอย่างเห็นได้ชัด แต่จ้าวหยวนกลับยิ้มร่าออกมา พลางรินไวน์ให้เฉิงหนานแล้วเขาก็พูดขึ้นว่า “เสี่ยวหนาน นี่คือไวน์ที่บ่มมาตั้งแต่ปี 1957
เลยนะ ฉันนึกถึงเธอเป็นคนแรกเลยเมื่อเห็นไวน์ขวดนี้ ฉันให้ความสำคัญกับเธอนะถึงขนาดไม่ยอมดื่มก่อนเธอเลย”
“คุณจ้าว เราไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันขนาดนั้น คุณไม่ควรเรียกฉันอย่างนั้นดีกว่า เหตุผลที่ฉันยอมมาที่นี่กับคุณก็เพื่อที่จะเคลียเรื่องของเราให้กระจ่างว่าฉันนั้นไม่ได้คิดอะไรกับคุณเลย และฉันไม่มีทางแต่งงานกับคุณแน่นนอน อย่ารังควานฉันอีกเลยนะ แล้วก็ไม่ต้องเอาเรื่องนี้ไปโยงเข้ากับเรื่องธุรกิจและเรื่องอื่นๆ อีกด้วย มันไม่เกี่ยวกัน” เฉิงหนานพูดใส่จ้าวหยวนอย่างเย็นชา
จ้าวหยวนพยายามรังควาญเธออยู่บ่อยครั้งจนเธอรับไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
เมื่อไม่กี่วันก่อนเธอได้พูดคุยเรื่องธุรกิจกับบริษัท หนึ่งซึ่งผลการพูดคุยถือว่าเป็นไปได้ด้วยดี แต่ไม่นานนักพวกเขาก็เปลี่ยนใจ ต่อมาเธอถึงรู้ว่าจ้าวหยวนเป็นคนเข้ามายุ่งทำให้เรื่องเสียไป
ถึงแม้จ้าวหยวนจะบอกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรแต่จ้าวหยวนเองก็เป็นคนตระกูลจ้าว ผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็ไว้หน้าเขาและพยายามลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาด้วยอย่างสุดความสามารถ ซึ่งมันทำให้เธอดำเนินธุรกิจได้ยากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
เธอไม่ได้บอกปัญหาของเธอที่ต้องเผชิญอยู่ตอนนี้ให้หวังจ้าวและซูจิ้งรับรู้เพราะว่าเธอกลัวว่าทั้งสองคนจะไม่ชอบ เรื่องที่เธอมีส่วนในการสร้างปัญหาหยุมหยิมแก่บริษัท แล้วตัดสินใจเตะเธอออกจากเกมธุรกิจของพวกเขา โดยเฉพาะตอนที่หวังจ้าวและซูจิ้งบอกว่าไม่ควรไปใส่ใจเรื่องของจ้าวหยวน สำหรับเธอนั่นหมายถึงว่าพวกเขาไม่ใส่ใจเรื่องของเธอด้วยเช่นเดียวกัน
“คุณเฉิง งั้นฉันขอพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อมเลยนะ ครั้งสุดท้ายที่ผมทำลงไปนั้นเพราะนึกว่าตัดใจจากคุณได้แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรผมก็ไม่สามารถตัดใจจากคุณได้ซักที คุณลองคิดเรื่องของเราใหม่ได้ไหมผมจะดูแลคุณไปตลอดชีวิตเลย” จ้าวหยวนพูดออกมาด้วยท่าทางกดดัน
“คุณจ้าว ไม่ว่าจะให้พูดซักกี่ครั้งฉันก็จะพูดเหมือนเดิม ฉันไม่เคยสนใจคุณเลยแม้แต่น้อย ฉันถึงขนาดยอมออกจากตระกูลเพื่อที่จะไม่ต้องแต่งงานกับคุณ ด้วยเรื่องนี้มันยังไม่ชัดเจนอีกงั้นหรอ” เฉิงหนานพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
จ้าวหยวนขมวดคิ้ว ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังทำหน้ายิ้มและทำท่าทางสุขุมอยู่เหมือนเดิม เขาจิบไวน์ไปเล็กน้อยและก็ได้พูดออกมาว่า “คุณเฉิง คุณคิดจริงๆหรอว่าจะทรยศต่อความรู้สึกของผมได้ คุณคิดจริงๆ หรอว่าคุณจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย”
“โผล่หางออกมาแล้วสินะ” เฉิงหนานแสยะยิ้มออกมาแล้วพูดต่อว่า
“อย่าลืมนะว่าฉันนั้นอยู่ในกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศ ถ้าคุณหวังกับคุณซูรู้เรื่องเข้าหล่ะก็ พวกเขาไม่มีทางปล่อยแกไว้แน่ ทำไมแกถึงไม่ปล่อยฉันไปซะหล่ะ ปล่อยฉันนนนน….”
“ฮ่า ฮ่า เท่าที่ฉันรู้นะ หวังจ้าวไม่ใช่คนที่จะมายุ่งเรื่องของคนอื่นหรอก ยิ่งกับคนนอกตระกูลอย่างเธอน่ะ ส่วนไอ้เจ้าเด็กนั่นรู้สึกจะชื่อซูจิ้งสินะ กะอีแค่เด็กที่คอยเกาะตระกูลหวังจนได้ดีอย่างนั้นน่ะนะ จะทำอะไรใครเขาได้ เธอคงไม่คิดว่าตระกูลหวังจะคิดจริงจังกับเรื่องของเด็กนั่นน่ะ ฉันลองไปตรวจสอบภูมิหลังของมันมาดูแล้ว มันเป็นคนที่มีนิสัยพยายามหลีกเลี่ยงปัญหา ทันทีที่ฉันรายงานภาครัฐเรื่องที่หมอนั่นครอบครองวัตถุโบราณและทรัพย์สมบัติ สัตว์อันตราย และของอื่นๆ พวกนั้น แค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้มันต้องคิดหนักจนต้องดื่มไวน์เป็นหม้อๆ อย่างแน่นอน มันยังปกป้องตัวเองได้ยากเลย ไม่มีทางที่จะมาสนใจเธอได้หรอก” จ้าวหยวนแสยะยิ้มออกมาหลังพูดเสร็จ
เฉิงหนานถึงกับตะลึงเมื่อได้ยิน เธอเองก็ได้ตรวจสอบภูมิหลังของซูจิ้งแล้วเหมือนกันในตอนที่ตระกูลเธอพยายามจะเข้าหาเขาในตอนนั้น เธอรู้ว่าซูจิ้งไม่ได้ต่อกรด้วยง่ายๆ อย่างที่จ้าวหยวนพูด สิ่งเดียวที่เธอกังวลเกี่ยวกับเรื่องของซูจิ้งก็คือ เธอไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับซูจิ้งจึงไม่ไม่มีเหตุผลที่เขาต้องช่วยเธอ
ณ ตอนนั้นเอง ประตูห้องก็ได้เปิดออกมาทันที นั่นทำให้จ้าวหยวนตกใจและกร่นด่าไปยังคนเฝ้าประตูว่าปล่อยให้คนอื่นเข้ามาได้อย่างไร แต่เมื่อเขาเห็นว่าคนที่เข้ามานั้นเป็นใคร เขาถึงกับยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก ซึ่งเฉิงหนานเองก็ยืนนิ่งเช่นเดียวกัน