Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 665
ปวดใจ
ซูจิ้งและหลิวฉิงได้เดินทางไปถึงฟาร์มม้าและเจ้าของฟาร์มก็ได้ออกมาต้อนรับพวกเขา
เจ้าของมีรูปร่างเตี้ยเล็กน้อย ร่างกายกำยำ เป็นชายวัยกลางคนที่มีนามสกุลที่ไม่คุ้นหูนักนั่นคือไบ๋หลี่ติ้ง
เขานั้นดูเป็นคนสบายๆ และมีรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น เขายิ้มออกมาทันทีเมื่อพบหน้าทั้งสองคน ทันทีที่ทั้งสองคนเข้าไปในฟาร์มม้าก็ได้มีกลุ่มคนที่เข้ามาดูฟาร์มม้านี้อยู่ก่อนแล้ว หนึ่งในนั้นคือเชิงเหมียวจินเจ้าของคอกม้าแข่งที่เขาซื้อเจ้าม้าน้อยมาก่อนหน้านี้
เป็นเรื่องปกติที่คนขายของต้องการให้มีผู้ซื้อหลายคน นอกจากเป็นการประหยัดเวลาแล้วยังเป็นการเพื่อเพิ่มโอกาสที่พวกเขาจะได้เงินมากขึ้นจากการแย่งกันซื้อ ถึงแม้เขาจะไม่ว่าอะไรกับเรื่องนี้แต่เขาก็แปลกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อเห็นเชิงเหมียวจิน เขามีฟาร์มม้าอยู่แล้วไม่ใช่หรอ
“ฮ่าฮ่า คุณซู ไม่คิดว่าผมจะได้พบคุณที่นี่ คุณมาที่นี่เพราะสนใจม้าในฟาร์มนี้เหมือนกันหรอ” เมื่อเชิงเหมี่ยวจินเห็นซูจิ้งเขาก็รับทักออกมาทันทีเหมือนกับพวกเขารู้จักกันมาเป็นอย่างดี
“ผมสนใจที่จะซื้อฟาร์มนี้น่ะแล้วคุณเชิงหล่ะ” ซูจิ้งพูดตอบด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าฮ่า น่าสนใจจริง ถ้าคุณซูสนใจหล่ะก็ผมก็จะไม่แข่งด้วยก็แล้วกัน”
เชิงเหมียวจินพูดออกมาด้วยรอยยิ้มแต่เขาก็แสดงท่าทีออกมาเหมือนเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อดูม้าเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีทางหลอกซูจิ้งได้เลย เขาใช้พลังจิตของเขาตรวจสอบแล้วพอเลาๆได้ว่า เขามาเพียงฉกฉวยโอกาสเพื่อว่าเจ้าของจะรีบขายเขาจะได้กดราคาก่อนซื้อได้
เมื่อไบ๋หลี่ติ้งได้ฟังบทสนทนาของทั้งสองคนแล้ว เขาเองก็ได้แต่ทำหน้าสลดลงทันที เขาไม่คิดว่าทั้งสองจะรู้จักกันดี เขาคิดว่าคงขายไม่ได้ราคาแล้ว แต่ทันใดนันก็ได้มีคนอีกกลุ่มนึงเข้ามาโดยมีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเป็นผู้นำ ดูเหมือนว่าเขายังพอมีโอกาสจะขายฟาร์มม้านี้ราคาดีๆ อยู่บ้าง
ไบ๋หลีติ้งพาทุกคนเดินชมรอบฟาร์มม้าแล้วก็พูดแนะนำไปเรื่อยๆ ถึงแม้ฟาร์มม้าแห่งนี้จะดูธรรมดาไปหน่อยแต่มันก็มีพื้นที่ที่กว้างขวาง และม้าในฟาร์มก็ดูคุณภาพดีพอสมควร
“ผมขอพูดตรงๆเลยนะครับว่าม้าพวกนี้ผมนั้นรักมันเหมือนลูกของตัวเอง ถ้าผมไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินหล่ะก็ผมจะไม่มีทางขายพวกมันเลย ยังไงผมก็ขอถามพวกคุณหน่อยละกันว่าพวกคุณมีความรู้ในการเลี้ยงม้าแค่ไหนแล้วคุณจะดูแลพวกมันยังไง สำหรับคุณเชิงเองผมก็รู้จักพอสมควรแล้วว่าเขามีความสามารถอยู่แล้ว ดีไม่ดีจะเก่งกว่าผมอีกเพื่อไม่ให้เสียเวลาผมขอถามพวกคุณสองคนเลยก็แล้วกัน” ไบ๋หลี่ติ้งหันไปถามพวกซูจิ้งและผู้หญิงคนนั้น เขาพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาด้วยการที่เขายังคงรักม้าของเขาแม้จะต้องเปลี่ยนมือไปแล้วแต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี ถึงแม้การทำอย่างนี้จะมีโอกาสโดนกดราคาแต่ด้วยความรักที่เขามีต่อบรรดาลูกๆ(ม้าในฟาร์ม) เขาจึงอดไม่ได้ที่ต้องถามออกมา ถ้าราคาไม่ได้ต่างกันมากนัก ต่อให้ต้องเลือกคนที่ให้ราคาต่ำที่สุดแต่เขาเชื่อใจได้เขาก็ยอม
“เมื่อตอนเด็กๆ พ่อของฉันเคยให้ลูกม้าฉันตัวหนึ่ง พวกเราเลี้ยงดูมันอย่างดีจนกระทั่งมันได้ตายลง นั่นมันทำให้ฉันเกิดความรู้สึกว่าอยากมีฟาร์มม้าเป็นของตัวเองและฉันก็ตามหาฟาร์มดีๆแบบนี้มานานมากแล้วเหมือนกัน ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะคุณไบ๋ ม้าของคุณฉันจะดูแลอย่างดีแน่นอน” ผู้หญิงคนนั้นบรรยายความรู้สึกของตัวเองออกมา
“ผมเพิ่งจะเริ่มเลี้ยงม้าเองน่ะ” ซูจิ้งพูดตรงๆ โดยไม่อ้อมค้อมแต่น้อยซึ่งนั่นทำให้ไบ๋หลี่ติ้งต้องขมวดคิ้วเลยทีเดียว
เมื่อผู้หญิงอีกคนได้ยินก็กระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ เธอแอบคิดว่าผู้ชายคนนี้คงแค่มาเพื่อโก่งราคาแต่ดันพูดออกมาตรงๆ ซะได้ แต่แล้วซูจิ้งก็ได้พูดต่อว่า “ถึงจะเพิ่งเริ่มต้นแต่ผมก็คิดว่าผมมีประสบการณ์ในการเลี้ยงสัตว์และฝึกสัตว์อยู่นะ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์สายพันธุ์ไหนก็ตามเมื่อผมฝึกพวกมันจะกลายเป็นสัตว์ที่มีคุณภาพดี ถือได้ว่าพอมีฝีมือด้านนี้อยู่บ้าง แล้วก็ผมจะไม่แค่ดูแลพวกมันเท่านั้น แต่ผมจะยิ่งทำให้พวกมันแข็งแรงมีคุณภาพอย่างที่คุณทำไม่ได้อย่างแน่นอน”
ไบ๋หลี่ติ้งนั้นเป็นคนที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองมากนัก เขาจึงไม่รู้จักซูจิ้งผู้ที่ถูกขนานนามว่าปรมาจารย์ด้านการฝึกสัตว์เขาจึงไม่เชื่อในสิ่งที่ซูจิ้งพูดออกมาแม้แต่น้อย ทันใดนั้นหลิวฉิงก็ได้หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา พร้อมทั้งเปิดวิดีโอที่เขาถ่ายไว้เมื่อวานพร้อมพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า
“คุณไบ๋ครับ โปรดดูวิดีโอนี่ก่อน”
เมื่อไบ๋หลี่ติ้งได้เห็นก็ต้องตกใจเล็กน้อย ทุกคนในที่นั้นเมื่อเห็นท่าท่างของไบ๋หลี่ติ้งต่างก็เข้าไปดูวิดีโอของหลิวฉิง เมื่อเห็นทุกคนทำได้แค่อ้าปากหวอ พวกเขาดูไปเรื่อยๆ อย่างติดลม ดูจนกระทั่งถึงตอนที่เจ้าม้าน้อยกำลังแสดงวิธีการเดินของมันในรูปแบบต่างๆ
“พระเจ้า เจ้าม้าขาวตัวนี้ช่างเทพจริงๆ ทั้งน่ารักและฉลาดมาก” ผู้หญิงคนนั้นอุเทนออกมาพร้อมแสดงท่าทางทึ่งในม้าน้อย
“ฉันเลี้ยงม้ามาก็ทั้งชีวิตแล้วยังไม่เคยเจอม้าที่สวยและมีฝีเท้าที่นุ่มนวลอย่างนี้มาก่อน ไม่สิต่อให้ในทีวีก็ไม่เคยมีมาก่อนแน่ๆ” ไบ๋หลี่ติ้งพูดออกมาพร้อมท่าทีตกตะลึง สำหรับคนที่ทั้งชีวิตมีเพียงการเลี้ยงม้านั้นก็ยังทำได้เพียงประหลาดใจเมื่อเห็นม้าน้อยตัวนี้
“นี่คือเจ้าลูกม้าตัวนั้นที่ผมขายให้คุณใช่รึเปล่า” เชิงเหมียวจินได้ถามออกมาด้วยท่าทีตื่นเต้น พอคิดว่าเจ้าม้าที่เห็นอยู่นี้คือม้าขาวตัวเดียวกับที่เขาเคยขายให้ซูจิ้งมันช่างดูใหญ่โตและสวยงามกว่าตอนที่เขาขายอย่างผิดหูผิดตา ถึงแม้เขาจะพอจำได้แต่ก็ยังไม่เชื่อในสายตาตัวเองอยู่ดีเพราะเขานั้นกลัวที่จะรับไม่ได้ว่าเขาได้ทำสิ่งผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงในการขายสมบัติออกไปแบบถูกๆ
“ใช่ครับ ก็ตัวที่คุณขายให้ผมนั่นล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
“เป็นไปได้ยังไง คุณเลี้ยงมันจนเป็นแบบนี้ได้ยังไง” เขิงเหมียวจินนั้นแทบจะเสียสติ สมองเขาแล่นความคิดบางอย่างแล้วรีบบอกออกมาทันที “คุณซู คุณช่วยขายม้าคืนได้ไหม ผมขอซื้อคืนในราคาสองเท่า ไม่สิผมให้สามเท่าเลย”
“ห้ะ คุณเชิง คุณมีรถ BMW หายากไว้ในมืออยู่แล้วคุณยังขายมันออกไปได้ลงคออีกเนี่ยนะ ” ไบ๋หลี่ติ๋งถามออกมาด้วยความสงสัยอย่างหนัก
“คุณขายเจ้าม้านี่ไปเท่าไหรน่ะ” ผู้หญิงคนนั้นอดถามไม่ได้เมื่อเห็นท่าที่ของเชิงเหมียวจิน
“……120,000….. ” เชิงเหมียวจินกัดฟันตอบออกมาพร้อมใจของเขาที่เกิดรอยแผลใจอันฝังลึก
เมื่ออีกสองคนได้ยินราคาพวกเขาทำได้แค่ตะลึงพร้อมพูดออกมาพร้อมกันว่า
“คุณโง่รึเปล่าเนี่ย” แล้วผู้หญิงคนนั้นก็หันไปพูดกับซูจิ้งว่า “คุณซู ฉันยอมจ่ายสิบเท่าเลย ช่วยขายม้าตัวนี้ให้ฉันได้ไหม”
เมื่อได้ยินที่ผู้หญิงคนนั้นพูด เชิงเหมียวจิ้นอดไม่ได้ที่แสดงท่าทางวิญญาณลอยออกจากปาก นั่นก็เพราะว่าอย่างแรกเขาอยากจะฆ่าคนทันทีที่ได้ยินว่าผู้หญิงคนนั้นตัดราคาของเขาที่สิบเท่า อย่างที่สองเขารู้ดีว่าสิบเท่านี้ไม่ได้แพงเลยเพราะเจ้าม้านี่แทบจะประเมินราคาไม่ได้เรียบร้อยแล้ว
เขารู้สึกได้เลยว่าหัวใจของเขาถูกกรีดเป็นรอยแผลยาวไปจนถึงลำไส้อย่างหนักจนกลายเป็นสีเขียวคล้ำแล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินไปแล้ว ถ้าเขารู้แต่แรกว่าม้าตัวนี้จะโตมาแล้วกลายเป็นม้าพันธุ์ชั้นเลิศขนาดนี้เขาไม่ยอมขายแน่นอน เขาเองก็รู้ว่าซูจิ้งคือปรมาจารย์ด้านการเลี้ยงสัตว์แต่มันก็ขึ้นกับสายพันธุ์ของสัตว์นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดอยู่แล้ว ซึ่งเจ้าม้าตัวนี้ต้องเป็นสายพันธุ์ชั้นยอดอย่างไม่ต้องสงสัย ซูจิ้งต้องมองมันออกแน่ๆ แต่เป็นเขาที่มองมันไม่ออกเอง เขาทำอะไรไม่ได้อีกแล้วนอกจากจะได้แต่โทษความโง่งมของตัวเอง
“ฮ่าฮ่า คุณเชิงอย่าเศร้าไปเลยน่า ผมไม่ได้พูดเกินจริงนะแต่ไม่ว่าม้าตัวไหนก็ตามที่ได้พี่จิ้งเป็นคนดูแลล่ะก็ มันจะฉลาดขึ้น ดูดีขึ้น ไม่หยั่งงั้นเขาจะถูกเรียกว่าปรมาจารย์นักฝึกสัตว์ได้ยังไง มันไม่ใช่เป็นเพราะสายพันธุ์ของม้าหรอกแต่เป็นเพราะความสามารถของพี่จิ้งล้วนๆ” หลิวฉิงพูดออกมาได้อย่างเต็มปากเพราะเขาเห็นมากับตาแล้ว
ถึงแม้จะได้ยินดังนั้นเชิงเหมียวจินก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นมาแม้แต่น้อย แต่ยังไงก็ตามเขาก็ไม่ได้โทษซูจิ้ง เขาทำได้แค่กรีดร้องอยู่ในใจพร้อมตั้งปณิธานไว้ว่าต่อแต่นี้เขาจะต้องตั้งใจจริงในการหาม้าแข่งอย่างละเอียดละออมากกว่านี้ ให้เหมือนกับการขุดรถบีเอ็มดับบิลชั้นยอดจากกองซากรถให้ได้อีกครั้งหนึ่ง