Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 677
ยามที่แฟนคลับตกทุกข์ได้ยาก
หลังจากฟังที่ซูจิ้งบอกว่าไม่ได้เป็นเพราะฝึมือทำอาหารของเขาแต่เป็นมะละกอต่างหากที่อร่อย ผู้เฒ่าเฉียนและคนอื่นๆต่างก็ไม่เชื่อคำพูดของซูจิ้ง แต่ซูจิ้งนั้นก็ไม่ได้สนใจ เพราะเมื่อใดก็ตามที่มะละกอนี้ส่งออกสู่ตลาดเมื่อไหร่ พวกเขาก็จะเชื่อสิ่งที่เขาบอกเอง
ทุกคนในตระกูลเฉียนที่มาต่างพยายามหาเรื่องคุยกับซูจิ้ง ถามนู่นถามนี่อย่างละนิดอย่างละหน่อยจนซูจิ้งรู้สึกได้เลยว่า พวกเขาสนใจในตัวเขาจนแทบอยากให้ย้ายเข้าตระกูลเฉียนไปเลยด้วยซ้ำ ถึงแม้ตระกูลเฉียนจะไม่มีเรื่องอะไรกับตระกูลหวังเลยก็ตาม ต่อให้ไม่มีซูจิ้ง ตระกูลเฉียนก็ไม่คิดจะมีความขัดแย้งอะไรกับตระกูลหวังอยู่แล้ว
ซูจิ้งเองก็รู้สึกดีกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะอยู่กับตระกูลหวังอยู่ดีเพราะเขารู้ว่า ถ้าเขาเลือกที่จะอยู่กับตระกูลหวังจะเกิดผลดีกับตระกูลหวังอย่างมาก เพราะจะทำให้ตระกูลหวังกลายเป็นที่เชื่อใจต่อตระกูลใหญ่ได้ ซึ่งตามปกติแล้วด้วยการที่ตระกูลเฉียนนั้นเป็นตระกูลที่มีอำนาจมากกว่า ทำให้พวกเขาไม่มีเหตุอันใดที่ต้องสานสัมพันธ์กับตระกูลหวัง แต่ด้วยเหตุการณ์ที่เขาช่วยผู้อาวุโสตระกูลเฉียนด้วยเหตุจี้เครื่องบินนี้ ตราบใดที่เขายังอยู่กับตระกูลหวังจะเป็นการเปิดโอกาสเชื่อมสัมพันธ์ให้กับตระกูลทั้งสองได้
ระหว่างการพูดคุยนั้นก็ได้มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พอเห็นว่าเป็นปันเสวี่ยเขาได้เดินออกมาจากวงสนทนาแล้วรับโทรศัพท์ ปันเสวี่ยได้มีน้ำเสียงที่ค่อนข้างหวาดกลัวตลอดสายการโทรศัพท์ เธอนั้นได้พูดออกมาว่า “พี่จิ้ง ฉัน ฉันไม่รู้ว่าควรจะพูดเรื่องนี้กับพี่ดีรึเปล่า แต่ฉันก็ยังรู้สึกว่ายังไงก็ต้องพูดเรื่องนี้กับพี่ให้ได้”
“พูดออกมาได้เลยไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรก็ตาม ใครรังแกเธองั้นหรอ” ซูจิ้งพูดตอบไปด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล เขานั้นมีความตั้งใจจริงอยู่แล้วในการช่วยปันเสวี่ยและปันฉาง เขานั้นทำการสะกดปันฉางไว้ให้คอยพัฒนาตัวเองเพื่อจะได้ปกป้องปันเสวี่ยได้ด้วยซ้ำ
“ไม่มีคนทำอะไรพวกเราหรอกค่ะแต่เป็นเรื่องของหมินถังน่ะ แม่ของเธอป่วยหนักมาก เห็นว่าระบบไตล้มเหลว พอดีว่าเธอกับแม่กรุ๊ปเลือดเดียวกันเธอเลยอยากจะเปลี่ยนไตให้แม่ แต่แม่ของเธอไม่ยอมเพราะว่าค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนไตนั้นแพงมาก และแม่ของเธอกลัวว่าจะมีปัญหาต่อสุขภาพของหมินถังในอนาคต หนูเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยเธอยังไงหนูไม่รู้จะปรึกษาเรื่องนี้กับใครดี ที่นึกได้ก็มีแต่พี่เลย หนูต้องขอโทษจริงๆที่โทรมารบกวน…” เสียงของปันเสวี่ยฟังดูเหมือนกำลังจะร้องไห้ออกมา พี่ชายของเธอเองก็ได้ถูกซูจิ้งรักษา เธอรู้สึกว่าเธอติดหนี้ชีวิตซูจิ้งอยู่มากมายแล้ว เธอยังไม่ได้ตอบแทนอะไรเลยก็ต้องมีเรื่องให้ช่วยอีก แต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงแล้วเหมือนกัน
“อย่ากังวลไปเลยน่า หมินถังเองก็เป็นแฟนคลับตัวยงของพี่เหมือนกัน เธอนั้นก็คอยช่วยพี่จัดการเรื่องต่างๆ ในโพสต์บ่อยๆ เมื่อเธอทำได้ ไม่ต้องพูดอะไรมากกว่านี้หรอก เมื่อพี่รู้เรื่องแล้วยังไงก็จะช่วยอยู่ดี ว่าแต่ตอนนี้แม่ของเธอรักษาอยู่ที่ไหนล่ะ ฉันจะไปที่นั่นทันทีเลย” ซูจิ้งพูดออกมา
“พี่จิ้ง พี่นี่ใจดีที่สุดเลย” ปันเสวียถึงกับน้ำตาไหลออกมาทันทีพร้อมกับนึกอะไรบางอย่างได้ แล้วพูดว่า “อ้อ อีกเรื่องค่ะ ผู้จัดการของกลุ่มได้เปิดรับเงินบริจาค ดูเหมือนจะมีคนบริจาคหลายพันคนเลยนะ”
“ไหนขอดูหน่อยสิ” ซูจิ้งมองดูโพสดังกล่าว เป็นแอดมินของเพจที่เป็นคนเปิดรับบริจาค โดยมีชื่อของเต็งหมินถังเป็นหนึ่งในรายชื่อที่มีการบริจาคให้ ซึ่งทุกคนต่างยกให้เธอเป็นแฟนคลับอันดับหนึ่งของที่นี่ และทุกคนต่างรู้ว่าเธอเป็นคนดีและอยากให้เธอหายเศร้าได้โดยเร็ว
ซูจิ้งเองเมื่อเห็นดังนั้นก็ได้โพสลงไปด้วยว่า “ขอบคุณที่ทุกคนบริจาคเงินให้หมินถังนะ ฉันได้เห็นความดีของทุกคนในที่นี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องบริจาคเพิ่มแล้วล่ะ เรื่องของหมินถังเดี๋ยวฉันจะเป็นคนจัดการเอง”
ทันทีที่ซูจิ้งโพสต์ลงไป ทันใดนั้นเหล่าแฟนคลับได้ตื่นเต้นพร้อมกับก็ได้โพสต์กลับมา จนแทบจะทำให้เซิฟเวอร์ล่มอีกครั้ง
“พี่จิ้งมาแล้ว พี่จิ้งยังใจบุญเหมือนเดิมเลย”
“พี่จิ้งดีสุดๆ ฉันรู้อยู่แล้วว่าพี่ต้องไม่ยอมดูอยู่เฉยๆ แน่นอน”
“แค่พี่พูดออกมานิดหน่อยฉันก็แทบจะอยู่ไม่สุขแล้ว”
“คำพูดของพี่ทำให้ใจของฉันสงบได้เลย”
ด้วยโพสต์ของซูจิ้งแค่โพสต์เดียวทำให้เหล่าแฟนคลับเคลื่อนไหวในอินเตอร์เน็ตอย่างไม่หยุดยั้ง ในทุกวันนี้เหล่าดาราทั้งหลายแค่มุ่งหวังเพียงเงินจากแฟนคลับ ของพวกเขาเท่านั้น ไม่มีดาราคนไหนที่จะสนใจว่าแฟนคลับพวกนั้นจะเป็นตายร้ายดียังไง พวกเขาแค่ทำตัวให้ดูดีในสายตาผู้คนเท่านั้น และพยายามสร้างผลงานที่ดูดีสร้างชื่อเสียงให้ตนเองแค่นั้นก็พอใจแล้ว ต่อให้มีแฟนคลับบางคนตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ดาราพวกนั้นก็จะทำเป็นหูทวนลมทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ต่างกับซูจิ้งที่ไม่เคยหวังเงินจากแฟนคลับแม้แต่น้อย แต่ยังคอยห่วงใยเหล่าแฟนคลับของเขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาทำอะไรได้เขาจะรีบเข้าไปช่วยเหลือทันที
“เป็นยังไงบ้าง เกิดอะไรขึ้นงั้นหรอ” หลังจากที่ทุกคนเห็นซูจิ้งรับโทรศัพท์แล้วเห็นสีหน้าของซูจิ้งเปลี่ยนไปผู้เฒ่าเฉียนจึงได้ถามซูจิ้งออกมา
“ไม่มีอะไรหรอก แค่แม่ของเพื่อนเข้าโรงพยาบาลน่ะ ผมต้องไปแล้วหล่ะ” ซูจิ้งพูดตอบออกมา
“งั้นก็รีบไปเถอะ พวกเราเองไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว” ผู้เฒ่าเฉียนลุกขึ้นแล้วหันไปพูดกับเฉียนไจบิงว่า “ไจบิง เธอไปส่งอาจิ้งทีแล้วคอยช่วยถ้าเขาต้องการอะไรเพิ่มก็แล้วกัน”
“เรื่องนี้…” เฉียนไจบิงเองรู้สึกอีกอักเล็กน้อย เธอนั้นไม่อยากไปเป็นผู้ติดตามนัก เธออยากจะตอบแทนซูจิ้งในเรื่องอื่นแทนการเป็นผู้ติดตามอย่างนี้ แต่ซูจิ้งเองนั้นก็ไม่สนใจเขานั้นเตรียมตัวจะออกไปแล้ว
“หนูไปเองค่ะ” เฉียนหยินหนิงเสนอตัวออกมาทันที
“ดีๆ ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมโทรหาปู่ได้ทันทีเลยนะ” ผู้เฒ่าเฉียนพูดออกมาในขณะที่หันไปมองซูจิ้ง
“ไม่ต้องตามไปหรอกครับ เรื่องแค่นี้ผมจัดการได้อยู่แล้ว” ซูจิ้งพูดออกมา
มันค่อนข้างจะน่าอึดอัดนิดหน่อยที่ซูจิ้งนั้นพยายามปฏิเสธเพราะว่าตระกูลเฉียนเองก็พยายามหาทางตอบแทนซูจิ้งในทุกเรื่องที่เป็นไปได้ สุดท้ายซูจิ้งก็ทำได้แค่ยอมรับความหวังดีนี้ไว้และยอมให้หยินหนิงตามไปได้ ผู้เฒ่าเฉียน เฉียนไจบิงและเฉียนไจหลีได้กลับไปแล้ว ส่วนเฉียนหนิงได้ตามซูจิ้งไปโรงพยาบาล
เมื่อไปถึงโรงพยาบาล ปันเสวี่ยได้รออยู่ก่อน เมื่อเธอเห็นเฉียนหยินหนิง เธอได้แอบมองอยู่หลายครั้งนั่นก็เพราะว่า หยินหนิงเป็นคนที่น่ารักและสวยมากๆ เมื่อเทียบกับเธอแล้วเธอรู้สึกห่างไกลลิบลับไปเลย หยินหนิงคือคนที่คู่ควรกับคำว่าสวยแล้วจริงๆ ถึงแม้ตอนนี้จะมีเรื่องอื่นที่ต้องสนใจแต่เธอก็ยังอดคิดไม่ได้อยู่ดี ไม่ใช่ว่าซูจิ้งมีแฟนอยู่แล้วไม่ใช่หรอ ไม่รู้ว่าสองคนนี้มีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่
ทั้งสามคนได้เดินขึ้นบันไดและเดินไปที่เตียงผู้ป่วย ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งเล่นคอมพิวเตอร์พร้อมเสียบหูฟัง นั่งอยู่ที่บันไดหน้าห้อง มีหญิงวัยกลางคนมีสีหน้าคล้ำเล็กน้อยนอนคว่ำอยู่บนเตียง และมีเต็งหมินถังและชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เตียง
“แม่ ฟังหนูนะ คนเรามีไตสองข้าง แค่ไตข้างเดียวก็เพียงพอต่อการมีชีวิตอยู่ได้แล้ว แม่ไม่ต้องกังวลผลกระทบที่จะเกิดหลังจากหนูให้ไตแม่ไปแล้วหรอก ส่วนเรื่องเงินแม่ไม่ต้องกังวลนะต่อให้ไม่มีเงินประกันแต่หนูก็มีเงินเก็บอยู่ ถึงจะไม่มากพอแต่ก็ยังหามาได้อยู่ดี” เต็งหมินถังพยายามพูดเกลี้ยกล่อมแม่ของเธอให้ยอมเข้ารับการผ่าตัด
“ไม่ แม่จะไม่ยอมเปลี่ยนแน่นอน มันต้องใช้ค่าใช้จ่ายกว่าแสนหยวนเลยนะ แม่จะยอมให้เงินเก็บทั้งชีวิตหายไปได้ยังไงกัน เดี๋ยวแม่ก็ดีขึ้นน่าถ้าได้นอนพักซักหน่อย ไม่ต้องจริงจังนักหรอก” หญิงวัยกลางคนที่นอนบนเตียงแสดงท่าทางที่ไม่ยินยอมที่จะเปลี่ยนใจแน่นอนพร้อมด้วยตาที่แดงก่ำ
สภาพร่างกายของแม่ของหมิงถังนั้นสามารถเข้าใจได้ไม่ยากนัก มันคือสภาพร่างกายของคนที่ทำงานหนักมาทั้งชีวิตเพื่อส่งให้เด็กๆ ได้มีโอกาสเรียนสูง และหาเงินเก็บไว้ให้ได้เยอะๆ เพื่อลูกๆ ของตัวเอง ซึ่งพูดง่ายกว่าทำอย่างไม่ต้องสงสัย การจะให้เงินที่สั่งสมมาทั้งชีวิตหายไปในช่วงข้ามคืน แถมยังมีหนี้สินมาเพิ่มเติมมาอีก เธอไม่ยอมอย่างแน่นอน
“ที่รัก คุณควรจะฟังลูกมั่งนะ ลูกพูดถูกแล้วที่ว่าเงินไม่มีก็หาใหม่ได้ แต่ถ้าไม่มีเธอก็ไม่มีทางหาอะไรมาทดแทนได้นะ” ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆเตียงเองก็พยายยามเกลี้ยกล่อมภรรยาที่ดื้อดึงของเขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ เขาเองนั้นถ้าไม่ติดเรื่องความเข้ากันได้ของอวัยวะ เขาเองก็ไม่มีทางยอมให้ลูกสาวเป็นคนบริจาคไตให้ภรรยาแน่นอน เขาจะเป็นคนเปลี่ยนเองอย่างไม่ต้องสงสัย
“หมินถังเป็นยังบ้าง” ซูจิ้งพูดขึ้นทันทีที่เข้ามาถึง
“ พี่จิ้ง ทำไมพี่ถึงมาอยู่ที่นี่หล่ะ” เต็งหมิงถังประหลาดใจหันไปทันทีที่เธอได้ยินเสียง
“ซูจิ้งงั้นหรอ” ชายวัยกลางคนนั้นดวงตาเบิกกว้างทันที เขานั้นเคยเห็นรูปซูจิ้งที่วางไว้จนเต็มห้องมาก่อน แถมยังเคยเห็นบ่อยๆ ตามข่าวในทีวีมาแล้ว ที่เขาพอรู้จักซูจิ้งก็คือในฐานะเป็นดาราคนหนึ่งเท่านั้น แต่เขาก็ไม่คิดว่าดาราที่มีชื่อเสียงจะมาอยู่ที่นี่ได้
“คุณป้าครับ ผมเองก็พอมีความรู้เรื่องการรักษาอยู่บ้าง ขอผมดูหน่อยนะ” ซูจิ้งพูดพร้อมนั่งลงข้างๆเตียง
ทั้งหมิงถังและเสวี่ยเองต่างก็ทำตาโตขึ้นมาทันที พวกเธอไม่รู้มาก่อนว่าซูจิ้งมีความรู้ทางการแพทย์ เฉียนหยินหนิงเองก็ทำตาลุกวาวเช่นกัน เธอจับตามองไปที่ซูจิ้งชนิดที่เลือกได้ว่าตาไม่กระพริบเลยแม้แต่น้อย