Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 704
ทางออก
การประมูลอย่างดำเนินต่อไปอย่างร้อนระอุ ไม่ช้าก็มาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว ในที่สุดกระโหลกมนุษย์ปักกิ่งและกระดูกบางส่วนก็ได้ถูกนำมาไว้บนเวที ผู้คนส่วนใหญ่ต่างยืนขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นและจ้องมองอย่างจริงจังจนตากลมโตเท่าที่จะสามารถทำได้
“นี่คือกระโหลกมนุษย์ปักกิ่ง ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นอีก ช่างนานจริงๆ”
“มันยากจริงๆที่จะเชื่อได้ว่ามันยังคงอยู่ดีถึงป่านนี้”
“แค่ได้เห็นก็เป็นบุญตาแล้ว”
ผู้คนจำนวนมากต่างตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาหลายคนมาที่นี่เพียงเพื่ออยากเห็นเป็นบุญตาเท่านั้น ไม่มีใครในที่นี้ไม่รู้จักมันเลยสักคนเดียว จ้าวสิ่งนี้ต่อให้ไม่ได้มาครอบครองแค่ได้เห็นก็คุ้มค่ากับการมาแล้ว
ในเวลาเดียวกันนั้น ณ โรงประมูลว่านเป๋า จ้าวของโรงประมูล ผู้จัดการ ซงเหลา และนักประเมินคนอื่นๆ ต่างมานั่งรวมตัวกันรอคอย จนกระทั่งมีสายโทรศัพท์เข้า หลังจากจ้าวของรับโทรศัพท์ด้วยสายโทรศัพท์แล้วได้ถามออกไปว่า “เป็นยังไงบ้าง ราคาของสิ่งของประมูลพวกนั้นสูงแค่ไหน แล้วบรรยากาศในโรงประมูลเป็นยังไงบ้าง”
“เรื่องราคาแค่เรียกว่าสูงคงไม่ใช่แล้วหล่ะครับ ต้องเรียกว่าหนักจะดีกว่า เท่าที่คำนวนดูคร่าวๆแล้วซูจิ้งทำเงินไปแล้วประมาณสองหมื่นล้านหยวน โดยส่วนใหญ่เป็นของๆซูจิ้งน่าจะได้ไปประมาณหนึ่งจุดห้าล้านหยวนครับ” เสียงอีกฝากพูดตอบมาด้วยความตื่นเต้น
“ว่าไงนะ สองหมื่นล้านหยวน” ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องนั้นต่างตกใจจนหายใจแรงๆออกมาทันที แม้แต่ซงเหลาเองที่พอจะรู้อยู่แก่ใจแล้วบ้างว่าต้องได้เงินเยอะแน่ๆ แต่พอได้ยินว่าสองหมื่นล้านหยวนก็ยังตกตะลึงอยู่ดี จ้าวของไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินเลยถามย้อนกลับไปว่า “แล้วราคาของสมบัติพิเศษอย่างไท่ซุ่ยล้านปีกับงานแกะสลักมังกรและนกไฟหล่ะ ได้เท่าไหร่”
“ร้อยยี่สิบล้านหยวนกับสี่ร้อยแปดสิบล้านหยวน ครับ…” ราคาประมูลขนาดนี้ล้วนทำให้คนตกตำลึงได้สบายเลยทีเดียว ต่อให้โรงประมูลว่านเป๋าได้มาประมูลเองก็ไม่มีทางได้เท่านี้แน่นอน
“ยิ่งไปกว่านั้นบรรยากาศในการประมูลเองนี่ก็ดีเยี่ยม ยิ่งรายการสุดท้ายออกมานี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เอาเป็นต่อให้ผมพูดเวอร์เกิดไปบ้างแต่บอกได้เลยว่าผู้คนต้องจดจำโรงประมูลห้วงเวลาและกาลอวกาศไปอีกนาน และไม่น่าพลาดการประมูลครั้งต่อไปแน่นอน”
ทั้งจ้าวของโรงประมูลและคนอื่นๆตอนนี้ทำได้แค่ส่ายหัวไม่ยอมรับอย่างเท่านั้น พวกเขาเข้าใจแล้วว่าตอนนี้โรงประมูลห้วงเวลาฯ ได้รับการยอมรับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่การค่อยๆพัฒนาความนิยมแบบโรงประมูลอื่นแต่เป็นการ ก้าวนำหน้าโรงประมูลอื่นในทีเดียว
ในขณะเดียวกันข่าวเรื่องการประมูลในวันนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วโลกเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่แค่เรื่องรายได้จากการประมูลเท่านั้น ยังรวมถึงเรื่องที่ซูจิ้งได้มอบกระโหลกมนุษย์ปักกิ่งให้แก่สถาบันพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกคนที่คอยจับตาดูซูจิ้งที่พร้อมจะลากซูจิ้งลงมาได้ทุกเมื่อต่างถึงกับพูดไม่ออก ซูจิ้งตอนนี้ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ถือครองแต่ตอนนี้กลายเป็นคนที่ทุกคนในชาติต้องติดหนี้บุญคุณอย่างไม่อาจหาใครเปรียบได้
ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่เหล่าคนที่เฝ้ามองซูจิ้งอยู่ในเงามืด ธุรกิจต่างๆและทรัพย์สมบัติมากมายของซูจิ้งต่างเย้ายวน
ต่อให้พวกเขารู้ว่าซูจิ้งมีคนหนุนหลังมากมายแค่ไหนแต่คนพวกนี้ก็ละโมบจนทำให้คนพวกนี้เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
ณ ตระกูลซงเมืองจงหยุน ผู้นำตระกูลซง ซงเกาหยุน และนายน้อยตระกูลซง ซงจุนยี้ ได้มองไปที่สายเรียกเขาด้วยท่าทางไม่ค่อยอยากแต่สุดท้ายก็ต้องรับเพราะสายนี่พิเศษไปจากสายอื่น
เมื่อรับสายได้เสียงราบเรียบได้พูดมาจากปลายสายว่า “เท่าที่ฉันรู้ ซูจิ้งได้ทำให้ตระกูลซงตกต่ำลง และทำให้ซงจุนฮัวนายน้อยคนที่สองขางนายเข้าคุกไป
ตอนนี้ควรถึงเวลาแล้วที่เราต้องทำอะไรบางอย่างกับมัน นายไม่ลองคิดดูหน่อยหรอ
ซูจิ้งมีทั้งสมบัติมากมายและธุรกิจใหม่ๆตลอดเวลา นายไม่อยากรู้หรอว่าทำไมมันถึงทำได้ทำไมมันถึงมี
นายเองก็อยู่เมืองจงหยุน แถมเจ้าเด็กนี่ก็อยู่แค่ใต้จมูกนาย มันไม่ยากเลยที่นายจะคอยจับตาดูเจ้าเด็กนี่ไว้”
“แต่ว่านะพี่จ้าว เด็กนี่คือนายน้อยคนที่สี่ของตระกูลหวังนะ” ทั้งซงเกาหยุนและซงจุนยี้ต่างก็รู้สึกอับอายกับเรื่องนี้ ตอนแรกซูจิ้งเป็นเพียงมดตัวเล็กๆในสายตาพวกเขา แต่ตอนนี้กับกลายเป็นคนที่พวกเขาได้แต่แหงนหน้ามอง
“ในสายตาของฉัน นายน้อยตระกูลหวังมีเพียงแค่สามคนเท่านั้น เจ้าคนที่สี่นั่นไม่ใช่อะไรเลย ไม่ใช่แม้แต่สายเลือดตระกูลย่อยซะด้วยซ้ำ แล้วนายจะไปกลัวอะไร ฉันยอมเป็นคนหนุนหลังนายเลยนะ เอางี้นายไม่ต้องทำอะไรมาก แค่คอยจับตาดูมันไว้ให้ฉันก็พอ”
“พี่จ้าวคุณควรคิดให้ดีก่อนนะ”
หลังจากนั้นสายก็ถูกตัดไป ทั้งสองนิ่งเงียบไปพักใหญ่ แล้วซงเกาหยุนก็ได้พูดออกมาว่า “จุนยี้ ลูกคิดว่าไงกับเรื่องนี้”
“ผมคิดว่ามันเป็นโอกาสดีที่เราจะได้เกาะตระกูลจ้าวแห่งเมืองหลวง แต่ถ้าเกิดปัญหาขึ้นหล่ะก็ จ้าวซือเฟิงก็น่าจะใช้พวกเราเป็นไม้กันหมาแน่นอน
ซูจิ้งเองก็มีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาแถมจัดการได้ไม่ง่าย
แค่ความสามารถของหมดนั่นคนเดียวเราก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
แต่ละคนที่หาเรื่องซูจิ้งไม่เห็นมีใครได้ดีเลยซักคน ผมคิดว่าเราไม่ควรไปยุ่ง อย่างน้อยก็ในตอนนี้ รอดูสถานการณ์ไปก่อนดีกว่า” ซงจุนยี้พูดออกมาอย่างจริงจัง
“อืมมม พ่อก็คิดแบบเดียวกัน ให้คนอื่นทำไปก่อนก็แล้วกัน” ซงเกาหยุนพยักหน้ารับ
“ซูจิ้งดังใหญ่แล้วแหะ” ในห้องๆหนึ่ง ชายหนุ่มหน้ายาวพูดออกมาอย่างหมั่นไส้
“ฉันละอยากปล้นสมบัติของมันซะจริงๆ โคตรอิจฉาเลย” ชายหนุ่มอีกคนก็ตอบสนองในทำนองเดียวกัน
“ได้ข่าวว่าเขาเป็นแฟนเก่าของหวางหยานนี่” ชายหนุ่มอีกคนเอ่ยถามขึ้นมา
“อืม ใช่แล้วหล่ะ ตอนนั้นที่ไอ้เวรนี่เล่นเพลง “ณ ชั่วขณะจิตแห่งความสวยงาม” ออกมาทำให้หวางหยานถึงกับร้องไห้ไปหลายวันเลย ตอนแรกฉันได้ให้พ่อแม่เธอยินยอมนัดบอดอีกครั้ง แต่หลังจากฟังเพลงนั้น
เธอกลับบอกว่าไม่มีอารมณ์ จนบอกว่าถ้าบังคับเธอมากๆจะฆ่าตัวตายทันที” ชายหนุ่มหน้ายาวกัดฟันพูดอย่างเกลียดชัง
ครั้งสุดท้ายที่เขาพอหวางหยานไปเจอซูจิ้ง เขานั้นไม่ได้อะไรเลยสักนิด แถมยังยิ่งรู้สึกว่าหวางหยานจะรู้สึกผิดและยิ่งหลงซูจิ้งมากกว่าเดิมซะด้วยซ้ำ แค่เพลงๆเดียวทำไมถึงสื่ออารมณ์ออกมาได้ขนาดนั้น มันทำได้ยังไงกัน
“นายต้องการที่จะ…” ชายหนุ่มคนนั้นพยายามจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดพูดออก เขาเองก็อยากจะถามว่าจะเล่นงานซูจิ้งกันไหมแต่ปัญหาคือตอนนี้ซูจิ้งมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาอีกต่อไปแล้ว
“ฉันแน่ใจเลยว่าต้องมีใครซักคนอยากจะเล่นงานหมอนี่อย่างโจ่งแจ้งแน่นอน” ชายหน้ายาวพูดด้วยเสียงเดียดฉันท์
ในขณะเดียวกัน ก็ได้มีคนจำนวนไม่น้อยที่ได้สุมไฟให้การเกลียดชังนี้ขึ้นในโลกแห่งอินเตอร์เนต ซึ่งคนพวกนี้คือคนที่คอยจับตาดูซูจิ้งแล้วคิดว่าซูจิ้งมีการพัฒนาที่เร็วเกินไป แต่คราวนี้เหมือนพวกเขาจะไม่สามารถอดกั้นไว้ได้อีกแล้ว ส่วนหนึ่งก็มาจากงานประมูลที่ถูกจัดขึ้นยิ่งทำให้เป็นที่พูดถึงในอินเตอร์เนตอย่างแพร่หลาย แม้แต่คนที่ไม่รู้เรื่องก็ยังต้องผสมโรงเข้าไปด้วย
“ฉันเคยได้ยินมาว่าซูจิ้งเคยมีของโบราณก่อนงานประมูลซะอีก มันไปหามาจากไหนกัน”
“ของพวกนั้นเป็นของที่ไม่มีทางที่แค่มีเงินก็หามาได้ แล้วเขาไปได้มายังไงตั้งเยอะแยะขนาดนั้น”
“ยิ่งกว่านั้นฉันได้ยินมาว่าเขานั้นเป็นแค่คนธรรมดา ทำอะไรก็ไม่เคยสำเร็จซักอย่าง ลอยชายไปเรื่อยเปื่อย พอรู้ตัวอีกในเมืองของฉันก็บอกว่าเขานั้นเป็นเชฟขั้นเทพ นักฝึกสัตว์ นักดนตรีกู่ฉินระดับตำนาน แถมยังเป็นสุดยอดปรมาจารย์วรยุทธ์ในเมืองฉิงหยุน มันไม่แปลกไปหน่อยหรอที่อยู่ๆก็เป็นกันได้”
“พูดถึงเรื่องนะ ฉันเองก็เป็นปรมาจารย์หล่ะเอ่อ”
“ประมาจารย์บ้าบออะไรเยอะแยะ นายคิดว่าอ่านนิยายอยู่รึไง”
“ฉันคิดว่าเป็นเพราะเขาลาออกเพื่อที่จะกลับไปพัฒนาตัวเองที่เมืองเกิดนะ”
“ฉันอยากรู้จริงๆว่าเขาจะรู้บ้างไหมว่าเขาไม่จำเป็นต้องมีความสามารถมากมายเหมือนกับสมบัติของเขาก็ได้ แค่หนึ่งทักษะ หนึ่งสมบัติก็มากพอแล้ว”
บนโลกอินเตอร์เน็ตตอนนี้ต่างพูดคุยเรื่องซูจิ้งในหลากหลายทิศทาง เหล่าแฟนคลับของซูจิ้งถึงกับตั้งกระทู้ในโพสบาร์ในหัวข้อเส้นทางการเติบโตของซูจิ้ง พร้อมพูดคุยกันต่างๆนานา แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นความจริงรึเปล่า