Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 739
งานแกะสลักหิน
ตอนนี้สายตาของซูจิ้งกำลังจับจ้องไปยังสิ่งๆหนึ่ง เขานั้นกำลังมองรูปปั้นมนุษย์ แต่พวกมันได้แตกหักหมดแล้ว บางอันแขนหัก บางอันขาหัก
แต่ซูจิ้งก็ยังรู้สึกตื่นหูตื่นตาอยู่นั่นก็เพราะรูปปั้นเหล่านั้นช่างดูมีพลังเสมือนกับเป็นคนจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นส่วนลำตัว ต้นแขน ขา ใบหน้า ดวงตา เส้นผม แม้กระทั้งลวดลายของเสื้อผ้า แม้แต่ร่องรอยบนร่างกาย ทุกอย่างล้วนดูสมจริง เขาคิดออกมาว่ารูปปั้นพวกนี้จะต้องแกะสลักโดยปรมาจารย์ช่างแกะสลักเป็นแน่
ซูจิ้งได้เข้าไปใกล้ๆรูปปั้นเหล่านั้น และได้คัดส่วนที่แตกออกไปทั้งหมด หลังจากเสร็จแล้วเขาก็ได้พบว่ารูปปั้นเหล่านี้เป็นรูปปั้นผู้ชายสองคนและผู้หญิงหนึ่งคน โดยทั้งหมดได้สวมใส่เครื่องแบบของทหาร มันเป็นชุดหนังที่เน็บดาบเอาไว้
เขากำลังจ้องมองไปยังเหล่าแขนขาของรูปปั้นที่หักกองอยู่ เอาจริงๆแค่เฉินฮง ซงเหลา หรือคนอื่นๆล่ะก็เห็นเข้าคงจะโวยวายซูจิ้งกันยกใหญ่เป็นแน่
ซูจิ้งเองนั้นไม่ได้รู้เกี่ยวกับงานแกะสลักมากมายอะไรนัก
ความรู้ของเขาเกี่ยวกับรูปปั้นก็เทียบได้กับคนไม่เคยกินเนื้อหมูแค่เคยเห็นหมูวิ่ง
เขาเข้าใจแค่เรื่องพื้นฐานเท่านั้น ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่เขาก็กล้าบอกได้เลยว่ารูปปั้นพวกนี้ดูดีมีชีวิตชนิดที่หาที่ไหนใดโลกมาเปรียบก็ไม่ได้ แม้จะเอาไปเทียบกับรูปปั้นวีนัสก็ตาม
ซูจิ้งกำลังเพ่งมองไปที่รูปปั้นเหล่านั้นโดยการปล่อยกระแสจิตออกมาเพื่อตรวจสอบดู เขาค้นพบในสิ่งที่หน้าเหลือเชื่อมากๆ เพราะรูปปั้นพวกนี้มีแม้แต่รายละเอียดของเส้นขนตลอดจนเส้นผมทุกเส้นเสมือนเป็นคนจริงๆ มันอยากที่จะเชื่อได้ว่าจะมีคนที่สามารถแกะสลักงานแบบนี้ได้อยู่ในโลกหล้า ที่มีความลเอียดแม้แต่การแกะสลักเส้นขนและเส้นผมได้ พวกเขาคงต้องมีเทคนิคชั้นฟ้าเทียมสวรรค์แน่ๆ แม้แต่ดวงตาเองก็ยังดูเหมือนจ้องมองดูอยู่เลย
“พระเจ้า รูปปั้นพวกนี้มาจบที่กองขยะแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย เป็นเพราะมันแค่หักเท่านั้นน่ะหรอ”
ซูจิ้งได้ผลักรูปปั้นไปไว้ข้างๆ แล้วทำการจัดการขยะของเขาต่อไป
เขายังหวังว่าจะมีของดีๆพอกับรูปปั้นเหล่านี้ ขออันที่สมบูรณ์ซักชั้นก็ยังดี
กองขยะที่สูงท่วมหัวเขาได้นั้นไม่ได้คณามือของซูจิ้งอีกต่อไป เขาได้จัดการพวกมันอย่างรวดเร็ว
ซักพักเขาก็ได้เจอรูปปั้นมนุษย์อึกหลายอัน รูปปั้นสองอันดูเหมือนจะยังแกะสลักไม่เสร็จดี
เป็นไปได้ว่าหินที่ใช้เป็นโครงนั้นแข็งเกินไป เหล่าช่างแกะสลักเลยยอมแพ้แล้วทิ้งพวกมันมา
โชคดีพวกมันหล่นไปบนกิ่งไม้และใบไม้ทำให้พวกมันไม่ได้หักแบบอันอื่นๆ
“เยี่ยมเลย ในที่สุดก็เจออันที่ยังคงดีๆอยู่บ้าง รูปปั้นอันอื่นถ้าติดกาวต่อกันซะหน่อยคิดว่าก็ยังคงทำอะได้บ้างหล่ะนะ”
ซูจิ้งในตอนนี้อารมณ์ดีมากๆ เขานั้นยังคงสงสัยถึงห้วงเวลาฯของขยะกองนี้อยู่ดีว่ามาจากที่ไหนกันแน่
ยิ่งเขาคุ้ยขยะมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเจอทั้งเศษไม้และรูปปั้นมากยิ่งขึ้น
ตอนแรกเขาก็ไม่ได้สนใจไม้พวกนี้มากนัก แต่ยิ่งคุ้ยเขายิ่งเจอไม้ชิ้นที่ใหญ่ยิ่งขึ้น
จนกระทั่งเจอต้นไม้ชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งทำให้เขานั้นจ้องแบบไม่กระพริบตาเลย
ไม้ชิ้นนี้ยาวประมาณหกถึงเจ็ดเมตรเห็นจะได้ พอเห็นแล้วทำให้เขาจินตนาการไม้ต้นนี้เป็นรูปร่างคนแก่ได้ยังไงก้ไม้รู้เหมือนกัน มันดูมีร่องรอยส่วนใบหน้าของมนุษย์ มีดวงตา มีกิ่งเป็นเหมือนแขน มีโคนคล้ายขา และมีรากดูคล้ายเท้า มันไม่ได้ดูเหมือนท่อนไม้ยักษ์ธรรมดาแม้แต่น้อย มันดูเหมือนมนุษย์ต้นไม้ที่อยู่ในเรื่องเล่า
“เพราะเจ้า นี่มันต้นไม้จริงๆหรอ” ซูจิ้งรู้สึกได้ถึงหัวใจที่กำลังเต้นเร็วขึ้น เขาเองก็มีเต็งเต็งมาตั้งนานแล้ว ถึงแม้ว่าเต็งเต็งจะดูต่างออกไปจากมนุษย์ต้นไม้ก็ตาม มนุษย์ต้นไม้ในเรื่องเล่าต่างๆนั้นไม่ใช่สิ่งมีชีวิตธรรมดา พวกมันคือต้นไม้ที่มีชีวิตอยู่มานานนับพันๆปีจนเกิดสติปัญญาและความรู้จนพอๆกับมนุษย์
อย่างไรก็ตามซูจิ้งได้ลองปล่อยกระแสจิตตรวจสอบมนุษย์ต้นไม้ดูแล้ว เขาค่อนข้างมั่นใจว่ามนุษย์ต้นไม้ตนนี้ตายแล้ว เพราะว่าในระหว่างตรวจสอบไม่พบคลื่นกระแสจิตสะท้อนกลับมา ในเมื่อเป็นเช่นนั้นทำให้มันกลับกลายเป็นไม้ธรรมดาเหมือนเดิม ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่ไม้ที่อายุเป็นพันปียังไงซะก็ยังถือว่าเป็นสิ่งพิเศษ เขาจิงได้ตัดกิ่งก้านของมันออกแล้วลองเอาไปชำดูเพื่อมันจะโตขึ้นมาอีกครั้ง เขาหวังอยู่ลึกๆว่ามันจะเติบโตกลับมาเป็นมนุษย์ต้นไม้อีกครั้งหนึ่ง
ซูจิ้งพลางนึกในใจไปว่าถ้าฉันอยากได้มนุษย์ต้นไม้นี่เขาต้องรอเป็นพันปีรึเปล่านะ
“ช่างน่าเสียดายจริง ถ้าแกเป็นมนุษย์ต้นไม้จริงๆล่ะก็สมควรเป็นกำลังรบชั้นเลิศให้กับฉันได้เลย
เคยมีคนกล่าวว่ามนุษย์ไม้มีความสามารถในการทำให้ต้นไม้ธรรมดากลายเป็นทหารขึ้นมาได้
มันน่าจะมีเงื่อนงำอะไรบางอย่างนะ ไหนลองหาดูอีกหน่อยดีกว่าเพื่อว่าจะเจอพวกนี้อีก”
ซูจิ้งได้ทำการจัดการขยะของเขาต่อไปอีก เขายังเจอกิ่งไม้มากชึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งเขาพบมนุษย์ต้นไม้อีกต้น
แต่พอตรวจสอบดูอีกครั้งก็พบว่ามันตายแล้วเช่นกัน ถึงจะเป็นอย่างนั้นต่อซูจิ้ง ก็ยังคงไม่ลดละ
ยังคุ้ยขยะต่อไป เขาพบมนุษย์ต้นไม้อีกจำนวนหนึ่งแต่พวกมันก็ได้ตายหมดแล้วเช่นเดียวกัน
ตอนนี้ซูจิ้งเริ่มตระหนักอะไรบางอย่าง เขาเก็บข้อมูลจากการสังเกตุสิ่งต่างๆเพื่อคาดการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ต้นไม้พวกนี้
โดยจากสภาพที่ไม่มีร่องรอยของเลือดสดอยู่ และด้วยสภาพแตกหักเกือบทุกต้นแล้วเป็นไปได้ว่าพวกนี้อาจเข้าร่วมสงตรามจนตายในสนาบรบมาพักใหญ่แล้ว
เท่าที่เขารู้มามนุษย์ต้นไม้ในห้วงเวลาฯวอคราฟท์ล้วนรักสงบ ทำไมพวกมันถึงโดนกำจัดล่ะ
“แล้ว นี่คือ” ซูจิ้งได้สังเกตุเห็นเห็ดจำนวนมากเติบโตอยู่บนรากของมนุษย์ต้นไม้ต้นหนึ่ง
พวกมันมีสีชมพูจ๋าดูแล้วน่าลิ้มลอง แต่หลังจากมองซักพักซูจิ้งก็ได้สติพร้อมคิดว่าเจ้าเห็ดพวกนี้คือเห็นอะไรกันแน่ แน่นอนว่าซูจิ้งไม่กินมันแน่นอน
โดยทั่วไปแล้วหากเราเจอเห็ดอะไรซักอย่างที่ไม่รู้จักเราไม่ควรกินสุ่มสี่สุ่มห้าเพราะเห็นบางชนิดมีพิษแถมบางชนิดมีพิษอย่างรุนแรงอีกด้วย
ซูจิ้งจึงได้ทำเหมือนปกติคือให้หลี่น้อย กับอาลี่ไปจับหนูมา แต่คราวนี้เขาสั่งให้ไปหามาให้มากที่สุด ทั้งสองได้ต้อนหนูมาถึงแม้จะไม่ได้มาเป็นร้อยตัวอย่างที่เขาหวังไว้แต่ก็หามาได้ประมาณแปดสิบตัว ถ้ามีคนทั่วไปมาเห็นล่ะก็ต้องสะพรึงกับภาพที่เห็นแน่นอน หนูนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ได้ชื่อว่าขยายพันธุ์ได้เร็วที่สุดต่อให้ตายไปแค่นี้อีกพักก็กลับมามากกว่าเดิมแล้วเพราะฉะนั้นจำนวนแค่นี้ไม่ได้ถือว่ามากมายอะไรเลย ความจริงแถวนี้มีเยอะกว่านี้อีกแต่หลังจากที่เหล่าสัตว์เลี้ยงของเขามาทำให้ส่วนใหญ่ย้ายไปแดนข้างๆแทน
ซูจิ้งบรรจงเห็ดสีสดใสที่พบให้หนูทีละตัว ผ่านไปซักพักหนูทำตัวสั่นและชักตาตั้ง ตอนแรกเขาก็นึกว่ามันเจ็บปวด แต่พอมองไปเรื่อยๆแล้วเหมือนจะไม่ใช่ เขาเลยนำเลือดของมันหยดเข้าหยกหมื่นอสูร ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงมันหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ”
เหล่าหนูหัวเราะตลอดเวลา แทบจะบอกได้ว่าหัวเราะซ้อนหัวเราะเลยก็ว่าได้ ดูๆไปแล้วมันเหมือนกับการถูกทรมานโดยการหัวเราะต่อให้พยายามหยุดก็หยุดไม่อยู่ หลังจากพวกมันหัวเราะไปได้ซักห้านาทีพวกมันก็หยุดลงและลงไปนอนกองกับพื้นด้วยความอ่อนแรง
“ผลจากการกินเห็ดพวกนี้ช่างพื้นๆซะจริง มันคือเห็ดหัวเราะ” ซูจิ้งอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา นี่คือเห็ดหัวเราะตามตำนานเรื่องเล่า มันฟังดูแล้วน่าสนุกและไม่มีพิษภัย สามารถกินมันได้ตอนที่รู้สึกอารมณ์ขุ่นมัวก็พอจะใช้ได้บ้าง
ซูจิ้งได้ดึงเห็ดออกมาพยายามให้เหลือรากไว้แล้วเอาไปปลูกในกระถางเอาไว้ หลังจากนั้นเขาก็จัดการขยะของเขาต่อไป หลังจากคุ้ยไปได้อีกพักใหญ่เขาก็ได้เจอเอกสารบางอย่าง หลังจากนำมากองๆไว้ด้วยกันเขาทำการอ่านแล้วเริ่มสังเกตุเห็นว่ามีชื่อหลายๆชื่อที่เขาคุ้นหูคุ้นตาอย่างมากอย่าง อาณาจักรโรแลนด์ เมืองครึ่งเทพ ป่าให้ความเย็นยะเยือก เผ่าพันธุ์มังกร และเผ่าพันธุ์ออร์ค
รวมไปถึงเขายังพบตราสัญลักษณ์บางอย่าง หนึ่งคือวงกลมที่มีดาบไขว้อยู่ข้างในและอีกหนึ่งคือธงที่มีรูปมงกุฎอยู่ข้างบนกองเพลิง ซูจิ้งจ้องไปที่พวกมันด้วยตาเบิกกว้าง เขารู้แล้วขยะห้วงเวลาฯกองนี้มาจากไหน