Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 770
GGS:บทที่ 770 ลองดู
ซูจิ้งจ้องมองไปยังธนูที่อยู่ในมือของเขาด้วยสายตาที่หนักอึ้ง
มันไม่ใช่ว่าเขาไม่กล้าปลุกสแตนด์หรอก แต่ความเสี่ยงของมันสูงสุดขีด ถ้าเขาใช้ธนูแทงลงไปนั่นหมายความว่าเขาจะต้องติดไวรัส ต่อให้รอดมาจนสามารถปลุกสแตนด์ขึ้นมาได้ ถ้าไม่ได้ก็คือตายแน่นอน
ถ้านึกถึงระดับความแข็งแกร่งทางกายภาพ พลังวิญญาณ และพลังจิตของเขาล่ะก็ เขาก็คิดว่าน่าจะเพียงพอต่อการปลุกสแตนด์อย่างแน่นอน แต่ปัญหาก็คือมันอาจมีปัจจัยอย่างอื่นที่เขายังไม่รู้ มันสมควรมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้คนที่ถูกธนูแทงแล้วสามารถปลุกสแตนด์ขึ้นมาได้ บางคนก็ว่าเป็นที่คุณสมบัติเฉพาะตัว แต่บางคนก็บอกว่าไม่เกี่ยวคุณสมบัติเฉพาะตัวหรอก มีแต่ต้องลองถึงจะรู้เท่านั้น
ซูจิ้งไม่ต้องการใช้มันทั้งๆที่ไม่รู้อะไรเลย เพราะยังไงซะมีโอกาสที่จะกลายเป็นกองเลือดเน่าๆมากกว่าอยู่แล้ว
เขาก็ได้คิดขึ้นมาได้ว่า “พวกที่ปลุกสแตนด์ได้สมควรจะไม่จำกัดอยู่แค่เผ่าพันธุ์มนุษย์ พวกสัตว์เองก็น่าจะปลุกสแตนด์ได้เช่นกัน
ฉันสามารถทำพันธสัญญากับสัตว์ เสริมพลังให้พวกมัน แล้วค่อยลองดูก็ได้นี่นา
ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันน่าจะพอหาปัจจัยที่แท้จริงที่มีผลต่อการปลุกสแตนด์ได้ แถมยังไม่ต้องกังวลปัญหาที่ตามมาอีกด้วย”
ในระหว่างการคิดหาวิธีทดลองอยู่นั้น
ซูจิ้งพลันนึกได้ว่ามีห้วงเวลาฯอื่นที่มีทฤษฎีคล้ายๆกับการปลุกสแตนด์เช่นเดียวกัน
เพียงแต่ว่าคนที่มีพลังแบบเดียวกับสแตนด์จะไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีจนกว่าจะได้เจอคนที่ถูกปลุกพลังแล้วเหมือนกัน
ถ้าเป็นที่นั่นสมควรจะหาคนที่มีพลังได้อยู่
แต่ก่อนอื่นเขาต้องมีใครสักคนที่ปลุกสแตนด์ได้ซะก่อน ถ้าเขามีเหล่าผู้ที่ปลุกพลังแล้ว การตามหาเศษหัวธนูก็ไม่ยากอีกต่อไป
ซูจิ้งเองเมื่อคิดได้ดังนั้นก็ได้เรื่มเคลื่อนไหวแล้ว แน่นอนว่าเขายังไม่ลองธนูนั่นด้วยตัวเองแต่เขาก็ไม่มีทางที่จะพลาดโอกาสในการมีสแตนด์เป็นของตัวเองอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าเขาจะทำเมื่อลบความเสี่ยงทั้งหลายไปหมดแล้วเท่านั้น
ครั้งนี้เขาไม่ได้ให้หลี่น้อยและอาลี่ไปจับหนูมาอีกต่อไป เพราะเขาต้องการตัวทดลองมาจำนวนมากสุดๆ
เขานำถุงใบใหญ่ๆออกมาแล้วไปยังลานขยะที่อยู่ใกล้ๆชายหาด
ที่แห่งนี้เขาจะนำเศษอาหารที่เหลือจากภัตตาคารมาวางกองที่นี่บ่อยๆ
แล้วเจ้าถิ่นของที่นี่ก็จัดการเรียบเสียทุกครั้ง
ถึงแม้เขาจะเห็นพวกมันมาบ่อยแค่ไหนก็ตามก็ยังทำใจชินกับพวกมันไม่ได้ พวกมันก็คือเหล่าหนูท่อทั้งหลาย
ซูจิ้งได้เทเนื้อสัตว์วิเศษออกมา เขาเองก็ไม่ได้กินพวกมันมาได้พักใหญ่แล้ว แน่นอนว่าพวกมันยังไม่เสียเพราะถูกเก็บเอาไว้ในกระเป๋ามิติ
ตอนนี้เข้ามีเนื้อสัตว์วิเศษเหลือหากเทียบเป็นน้ำหนักก็จะซักประมาณ 100 ชั่งได้
เขาได้หยิบมันออกมาชิ้นหนึ่ง กลิ่นของมันได้โฉยออกไปทั่ว
ไม่นานนักก็ได้มีหนูจำนวน 66 ตัวพุ่งเข้ามาจากทุกทิศทาง แน่นอนว่ายังมีสัตว์และแมลงอย่างอื่นด้วยเช่นกัน
แต่ไม่ว่าจะเป็นตัวอะไรก็ตามที่ออกมา ทันทีที่ซูจิ้งเห็นเขาก็จะทำการทำพันธะสัญญากับสิ่งมีชีวิตพวกนั้น
เขาไม่มีทางที่ให้สัตว์แบบนี้ได้มีโอกาสลิ้มลองเนื้อสัตว์วิเศษนี้อย่างแน่นอน
เขาได้สั่งให้พวกหนูไปยืนรออยู่ข้างๆ และไล่แมลงที่พยายามเข้ามากินออกไป
พวกหนูที่ได้กลิ่นก็ยังทยอยวิ่งเข้ามาเรื่อยๆ ด้วยกลิ่นของเนื้อสัตว์วิเศษที่โชยไปไกลทำให้มีหนูเข้ามามากกว่าตอนที่เขาเทเศษอาหารจากภัตตาคารซะอีก
ไม่นานนักก็มีหนูมาหนึ่งร้อยตัว สองร้อยตัว สามร้อยตัว สี่ร้อยตัว แน่นอนว่าทั้งหมดโดนซูจิ้งทำพันธะสัญญาทั้งหมด โดยส่วนใหญ่เป็นหนูบ้าน ไม่ก็หนูท่อ มีส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นหนูพุก
“จะเยอะไปไหนเนี่ย แค่มองก็สยองจนทำให้ตายได้เลยแหะ”
“อาจิ้ง นายทำอะไรอ่ะ”
มีชาวบ้านส่วนหนึ่งที่ผ่านมาและพวกเขาก็ตกใจสุดขีดต่อภาพที่เห็น
หนูนับร้อยตัวตะเกียกตะกายยั้วเยี้ยเต็มไปหมด ช่างเป็ภาพที่สุดแสนจะน่าขนลุก
ซูจิ้งก็ยิ้มและได้บอกออกไปว่า “ฆ่าหนูน่ะ พอดีผมได้ยาฆ่าหนูตัวใหม่มา ถ้าหนูกินเข้าไปจะทำให้พวกมันฟังคำสั่ง แล้วผมจะได้จัดการพวกมันได้ง่ายๆทีหลัง”
“ยากำจัดหนูแบบนี้สมควรจะมีตั้งนานแล้วนะเนี่ย ปลาตากแห้งของฉันเองก็โดนพวกมันกินไปไม่ใช่น้อยเลย
แม้แต่ฟาร์มที่อยู่ใกล้ๆก็เจอปัญหาคล้ายๆกันจนแถบจะล่มจมไปเลย” เหล่าชาวบ้านเอ่ยชมซูจิ้งทันทีที่คิดยาแบบนี้ขึ้นมาได้
มันเป็นเรื่องจริงที่หนูพวกนี้สร้างปัญหาและสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนที่เห็นเวลาพวกมันรวมตัวกันข้ามถนน และมันไม่ใช่เรื่องตลกเลยแม้แต่น้อยถ้าพวกมันได้รวมตัวกัน
แต่ก็ยังมีบางคนที่อยากปกป้องมันให้ไปอยู่ในที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์
คนพวกนั้นก็ได้แต่พูดเท่านั้นเพราะไม่เคยประสบปัญหาที่เกิดจากหนูด้วยตัวเองทำได้แต่พูดคำสวยหรูออกมาเท่านั้น
หลังจากที่ชาวบ้านเดินจากไป ซูจิ้งได้นำหนูทั้งหมดใส่เข้าไปในถุงทีละตัวจนมีถุงหนูอยู่หลายถุง เขาได้ให้อินทรีย์ทอง หมาป่าสงคราม และหมาเลี้ยง ขนพวกมันกลับไปที่บ้าน
หลังจากพากันเข้าไปยังสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ ซูจิ้งได้เทถุงหนูถุงหนึ่งใส่ตุ่มแก้วใบใหญ่
และเขาได้เริ่มการทดลองทีละหลายๆตัวพร้อมกัน หนูแต่ละตัวได้ถูกจิ้มด้วยธนู หลังจากจิ้มไปได้ซักสิบสองตัว หนูตัวแรกก็ได้กลายเป็นแอ่งเลือดเน่าๆไปแล้ว
หลังจากผ่านไปได้ซักพัก หนูกว่า 400 ตัวได้ถูกแทงและหนู 66 ตัวกลายเป็นแอ่งเลือดอยู่ในตุ่มแก้วนั้น
ช่างเป็นฉากที่น่าสะอิดสะเอียดอย่างยิ่ง
จำนวนหนูที่มีชีวิตอยู่ค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆ จากหลักร้อย เหลือหลักสิบ สี่สิบ สามสิบ ยี่สิบ สิบ เก้า แปด เจ็ด สาม สอง หนึ่ง
หนูตัวสุดท้ายยังคงชักกระตุกอยู่อย่างนั้น มันได้ถูกแทงด้วยธนูและท้ายที่สุดมันก็รอดมาได้ ช่างเป็นเรื่องยากจริงๆที่จะเหลือรอดมาได้ซักตัว
ซูจิ้งเองก็จ้องมองเจ้าหนูนี่ด้วยท่าทีที่ดูตื่นเต้นอย่างมาก
แต่ยังดีใจได้ไม่ทันไร อยู่ๆเจ้าหนูตัวสุดท้ายก็แสดงท่าทีก้าวร้าว ซักพักมันก็อ้วกของเหลวสีขาวออกมา แล้วแน่นิ่งไป หลังจากนั้นร่างกายก็เริ่มเสื่อมสลายและกลายเป็นแอ่งเลือดตามไปเหมือนตัวอื่นๆ
“หนูสี่ร้อยตัวแต่ไม่มีสำเร็จเลยซักตัว อัตราความสำเร็จของมันช่างต่ำเสียจริง” ซูจิ้งไม่เหลือทางเลือกอีกต่อไป
เป็นไปได้ว่าพวกหนูเหล่านี้น่าจะอ่อนแอกว่าเหล่ามนุษย์ นั่นจึงอาจเป็นเรื่องยากที่พวกมันจะมีความสามารถในการปลุกพลังขึ้นมาได้
ส่งผลให้ความสำเร็จของมันถึงได้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดนี้
ถึงแม้เขาจะรู้เรื่องนี้แต่ซูจิ้งก็ยังไม่คิดจะหาคนมาทดลอง ถ้าจะให้พูดก็คือหามาไม่ได้มากกว่า
นอกจากจะโหดร้ายเกินไปแล้ว ต่อให้สำเร็จแต่ถ้ามีคนรู้คงกลายเป็นเรื่องใหญ่
ยังไม่ต้องพูดถึงหากสำเร็จล่ะก็ เป็นไปได้ยากที่จะควบคุมคนที่ปลุกพลังได้แล้วอีก
หากเกิดเหตุมีการทรยศขึ้นละก็ ต้องเกิดปัญหาในระดับนึงแน่นอน
ไม่เพียงมนุษย์เท่านั้น แม้แต่เหล่าหมาแมวเขาก็ยังทำไม่ลงเช่นเดียวกัน
“ฉันไม่เชื่อหรอกว่ามันจะไม่สำเร็จไปตลอดได้หรอก ทดลองต่อดีกว่า มันต้องมีหนูบางตัวที่มีคุณสมบัติพอที่จะปลุกได้ล่ะน่า” พอบ่นเสร็จ ซูจิ้งก็ออกไปและกลับมาพร้อมหนูอีกจำนวนเยอะมากๆ
สิ่งมีชีวิตจำพวกหนูที่มีอัตราการแพร่พันธุ์สูงนั้นทำให้พวกมันเสียเงินซื้อได้ในราคาที่ค่อนข้างถูก
ซูจิ้งได้จ่ายเงินไปเล็กน้อยในการเหมาหนูจนหมดฟาร์มหนู เขาทำแม้กระทั่งประกาศรับซื้อหนูทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นหนูบ้านหรือหนูท่อ
ยิ่งไปกว่านั้นซูจิ้งยังไปล่อหนูมาจากท่อน้ำของเมืองด้วยเนื้อสัตว์วิเศษมาอีกด้วย
หลังจากจัดการกว้านหาหนูมาจนหมดเมืองแล้ว ซูจิ้งส่งคนไปช่วยเขาคนหนูกลับเพื่อทำการทดลองต่อ จากร้อยเป็นพัน จากพันเป็นหมื่น เวลาทดลองจากชั่วโมงเป็นวัน จากวันเป็นสองวัน
ตอนนี้ซูจิ้งฆ่าหนูไปชนิดที่ขี้เกียจจะนับจำนวนแล้ว ถ้าเขาฆ่าคนไปเท่ากับชีวิตหนูพวกนี้ บอกได้เลยว่าถ้าเขาตายไปต้องโดนถีบลงนรกขุมที่สิบแปดในทันที
ซูจิ้งยังคงจิ้มหนูด้วยธนูต่อไปจนกระทั่งถึงตอนเย็นของอีกวันด้วยสายตาแบบปลาตายที่บ่งบอกว่าเขากำลังจะถอดใจแล้ว
คราวนี้เป็นคราวเคราะห์ของหนูขาวตัวน้อยๆตัวหนึ่ง
หลังจากเขาจิ้มธนูเข้าไปยังตัวหนู
สุดท้ายแล้วไม่ก็ไม่ได้เปลี่ยนกลายเป็นแอ่งเลือด
ซูจิ้งที่เห็นภาพตรงหน้าในตอนนี้แทบจะร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือด
“เจ้าเพื่อนตัวน้อย แกมันสุดยอดหนูจริงๆ” ซูจิ้งมองเจ้าหนูตัวที่รอดด้วยความตื่นเต้น
มันเป็นหนูที่น่าจะยังโตไม่เต็มที่ มันยังดูมีสีชมพูอยู่เลย จะให้บอกว่าน่ารักก็ยังได้ มันไม่ได้ดูแข็งแรงไปกว่าหนูตัวอื่นเลย
แน่นอนว่าถ้าเอามันไปวางเทียบกับหนูบ้านหรือหนูท่อ มันจะต้องโดนเหยียบตายในทันที
แต่มันก็ยังรอดออกมาได้ เจ้าหนูนี่จะต้องมีอะไรบางอย่างที่แข็งแกร่งกว่าหนูพวกนั้นแน่ๆ
“เห้เจ้าตัวน้อย ขอดูหน่อยสิว่าสแตนด์ของนายมีความสามารถอะไร” ซูจิ้งพูดออกมา การที่เจ้าหนูนี่รอดมาได้เขาเชื่อว่ามันต้องปลุกสแตนด์ออกมาได้แน่ๆ เขาได้ทำพันธะสัญญากับมันก่อนจะทดลองแล้ว เขาจึงไม่ต้องกลัวมันจะทำอันตรายเขาได้
หลังจากได้ยินเสียงซูจิ้งพูด เจ้าหนูยกหัวขึ้นแล้วทำปากขมุบขมิบ แปลได้ว่า “ทำอย่างนี้มันเจ็บนะ อย่ามาเอาอะไรมาแทงฉันแบบนี้อีกนะ ว่าแต่สแตนด์นี่มันคืออะไรอ่ะ กินได้รึเปล่า”