Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 790
GGS:บทที่ 790 ตำรา
“ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิดล่ะก็ ขยะชุดนี้สมควรจะมาจากวัดพุทธใหญ่ของศาสนาพุทธในห้วงเวลาฯหยางเชิน(เซียนจากฝั่งตะวันตก)”
ซูจิ้งจ้องมองขยะกองที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเป็นประกายพร้อมบ่นพึมพำออกมาในขณะที่จ้องมองไปยังชื่อของเพลงหมัดและตำราที่ปรากฏออกมา
ในห้วงเวลาฯพระเจ้าจากโลกตะวันตกนั้นมีวิธีการบ่มเพาะที่จะกลายเป็นเซียนแตกต่างจากห้วงเวลาฯอื่นอยู่บ้าง
ที่นั้นระบบการบ่มเพาะอยู่สองอย่างหนึ่งคือการบ่มเพาะร่างกาย อีกหนึ่งนั้นคือการบ่มเพาะจิตวิญญาณ
เมื่อผู้บ่มเพาะฝึกฝนร่างกายให้พัฒนาขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง พวกเขาสามารถผ่าภูเขาได้ด้วยมือเปล่า
ส่วนความสามารถที่ได้มาจากการบ่มเพาะพลังวิญญาณนั้นสุดยอดยิ่งกว่า
และยังมีการแบ่งระดับขั้นเป็น ผู้ฝึกตน ผู้ใช้วิญญาณ ผู้ท่องราตรี ผู้เบิกตะวัน นั่นก็หมายความว่าพลังวิญญาณในร่างกายจะค่อยแข็งแกร่งขึ้นจนสร้างปาฏิหารย์ได้ ประหนึ่งดังตื่นจากการหลับใหล
พระเอกของเรื่อง หยางเชิน ได้อาศัยอยู่ในวัดพุทธใหญ่แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในจงโจว
ซึ่งต้องอยู่บริเวณกึ่งกลางแผ่นดินจักวรรดิเฉียน ที่นั่นเป็นวัดโบราณที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมานับพันปี ตำรามากมายที่เคยกล่าวถึงวัดนี้อยู่บ่อยครั้ง
ในทุกวันที่ชั้นหนึ่งจะมีพระและสามเณรมานั่งเรียงรายกันสวดมนต์บูชาต่อหน้าพระพุทธรูปและพระโพธิสัตว์
การเดินทางที่นี่จะใช้ม้าเป็นพาหนะ อย่างคำที่ว่ากันไว้ว่าการขี่ม้าเองก็เป็นการฝึกฝนจิตวิญญาณอีกทางหนึ่ง
และในขณะเดียวกันที่วัดแห่งนี้ยังมีการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ควบคู่กับการบ่มเพราะจิตวิญญาณด้วยเช่นกัน
เป็นเรื่องหน้าเสียดายที่วัดพุทธใหญ่แห่งนี้ได้ถูกยึดครองโดยกองทัพเพียงเพราะว่ามีร่องรอยการติดต่อกันระหว่างกบฏในเขตวัด
ในครั้งนั้นทำให้โบสถ์นับพันถูกเผาไหม้ และเหล่าพระสงฆ์ผู้ชราภาพทั้งหลายถูกหาว่าเป็นกบฏ
ตำราต่างๆที่ซูจิ้งได้รับมานั้นประกอบไปด้วย “เพลงหมัดวัวคลั่ง” “เพลงหมัดพยัคฆ์คำรณ” “ตำรามังกรแท้คืนกลับ” “ตำรามังกรฟ้าผันแปร” “ตำราพระเจ้าแปดพระองค์” ซึ่งทั้งหมดเป็นตำราที่ถูกเก็บไว้ในวัดหลวง
รูปพระพุทธและพระสูตรที่ซูจิ้งส่งรูปไปบนอินเตอร์เนตก่อนหน้านี้ก็สมควรจะเป็นแค่ฉบับคัดลอกที่เหล่าสามเณรทำขึ้นเพื่อเป็นการฝึกตนเท่านั้น
เขาเองก็สงสัยไม่น้อยว่าถ้าฉบับคัดลอกยังได้ผลขนาดนี้แล้วฉบับจริงจะส่งผลแค่ไหน แต่ถ้าเทียบกับในห้วงเวลาฯพระเจ้าจากโลกฝั่งตะวันตกพระสูตรนี้ไม่ได้มีค่าเอาไรเลย เอาจริงๆน่าจะเอาไว้ใช้ลงโทษเหล่าสามเณรซะด้วยซ้ำ
“ไม่สิ ในเมื่อที่นั่นเป็นดินแดนศักดิ์แห่งวิทยายุทธและการฝึกฝนบ่มเพาะ
วัดพุทธใหญ่เองก็สมควรมีของเฉพาะพอสมควร ไม่ว่าอะไรก็ตามสมควรจะส่งผลต่อการบ่มเพาะร่างกายและจิตวิญญาณ
ถ้าเราสามารถซ่อมแซมตำราเหล่านี้ได้ล่ะก็ ร่างกายและจิตวิญญาณของเราสมควรจะพัฒนาอย่างมากหลังจากฝึกเสร็จ”
ซูจิ้งรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา หลังจากเขาดูแลเสี่ยวไป๋อย่างดีเป็นพิเศษ ก่อนที่จะให้มันซ่อมแซมตำราต่อ
แต่ครั้งนี้ซูจิ้งไม่ได้โลภแบบก่อนหน้าที่จะให้ซ่อมทีเดียวทั้งหมด
อย่างแรกเขาเลือกที่จะซ่อมตำราพระเจ้าแปดพระองค์ก่อนอย่างแรก ในไม่ช้า ได้มีเศษขี้เถ้าในระยะ 100 ม.ล่องลอยมาประกอบร่างเป็นแผ่นกระดาษและค่อยๆฟื้นคืนสภาพเป็นระดับขั้นไป
แต่ก็เกิดสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเขาก็คือตำราพระเจ้าแปดพระองค์นั้นสามารถฟื้นสภาพคืนมาได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
ไม่ว่าจะรอนานแค่ไหนตำราเล่มนั้นก็ไม่มีท่าทีจะฟื้นคืนต่ออีกได้เลย พวกเขาทำแม้แต่ลองเดินไล่ดูรอบๆแต่ก็ไม่มีท่าทีเปลี่ยนแปลงใดๆ ซูจิ้งจึงสั่งให้เสี่ยวไป๋หยุดใช้พลังในทันที
ดูเหมือนว่าจะไม่มีเศษตำราอีกครึ่งหนึ่งเหลืออยู่ในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้อีกแล้ว เปรียบได้ดั่งหยางเชินที่ถูกไฟไหม้ในเหตุการณ์นั้นแล้วไร้ซึ่งที่ไป
ซูจิ้งไม่ได้ย่อท้อ เขาให้เสี่ยวไป๋ซ่อมตำราเล่มอื่นต่อแทน เล่มถัดมาซ่อมได้ไม่กี่หน้า
เล่มที่สามและสี่เอง ก็เหมือนจะซ่อมได้ครบแต่ก็เหมือนจะไม่ครบดี
จนกระทั่งเสี่ยวไป๋เริ่มแสดงท่าทีออกมาว่าไม่ไหวแล้ว ตำราเล่มสมบูรณ์ก็ได้ปรากฏต่อหน้าของซูจิ้งจนได้นั่นคือ “เพลงหมัดวัวคลั่ง”
เอาจริงๆจะบอกสมบูรณ์ก็เรียกไม่ได้ซะทีเดียวเพราะว่ายังมีบางส่วนของตำราที่ได้รับความเสียหาย สูญหาย ไฟไหม้ แต่ร่องรอยพวกนี้ปรากฏอยู่เพียงแค่ขอบหนังสือเท่านั้น ในส่วนเนื้อหาครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประการ
“วิทยายุทธไม่เคยหักหลังคนที่มีใจมุ่งมั่น เหนื่อยนายแล้วล่ะเสี่ยวไป๋ ตอนนี้นายพักได้แล้ว ที่เหลือฉันจัดการเอง ขอลองหน่อยสิว่าเพลงหมัดวัวคลั่งจะทรงพลังแค่ไหน” ซูจิ้งอดไม่ได้ที่จะทดลองเพลงหมัดวัวคลั่ง
เพลงหมัดวัวคลั่งนี้มีแนวทางการฝึกสามแนวทางด้วยกัน ประกอบด้วยร่างกายวัวคลั่ง ฝีเท้าวัวคลั่ง และผิวหนังวัวคลั่ง
แต่ละแนวทางการฝึกประกอบด้วย 100 ท่วงท่าในแต่ละแนวทาง และแต่ละแนวทางก็สามารถปรับเปลี่ยนการใช้ได้อย่างสมดุลและอิสระพร้อมกับประสานท่วงท่าได้อย่างลงตัว
อย่างไรก็ตามการที่จะชำนาญเพลงหมัดวัวคลั่งนี้ได้จะเป็นต้องเริ่มฝึกตามระดับ
มือและเท้าของซูจิ้งขยับไปมาด้วยความสอดคล้องประสานกัน หลังจากนั้นเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
ซูจิ้งในตอนนี้ร่างกายของเขามีเหงื่อโชก เขานั้นเคลื่อนไหวท่วงท่าตามแนวทางการฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งทั้งสามแนวทาง
บางช่วงก็ทำการสับเปลี่ยนกระบวนท่าของอีกแนวทางหนึ่งวนเวียนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
จนรู้สึกได้ว่าพื้นที่บริเวณที่ฝึกนั้นราบเลี่ยนเตียนโล่งในทันที จากปกติที่ควรจะมีเศษฝุ่นผงจากขยะ
ในไม่ช้าเขาก็ได้หยุดมือลงหลังจากฝึกเสร็จแล้ว เขารู้สึกได้ในทันที่ว่าร่างกายของเขานั้นอุ่นขึ้นเรื่อยๆ
ไม่เพียงเท่านั้น ซูจิ้งยังรู้สึกได้ว่าหลังจากที่เขาฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งนั้น เหมือนกับร่างกายได้ออกกำลังกายไปในตัว
แถมยังมีความรู้สึกแข็งแกร่งทันทีที่ฝึกเสร็จ แม้เพลงหมดนี้จะดีแต่ร่างกายเหมาะกับการเป็นพื้นฐานก่อนที่จะฝึกเพลงหมัดอื่นในภายภาคหน้าก็ตาม
แต่พลังของมันยังดีไม่เท่ากับเพลงหมัดที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯเฉินมู่
“ด้วยสภาพร่างกายนี้กว่าจะหลุดพ้นจากขั้นชำระสิ่งสกปรกได้สงสัยจะอีกนานเลยแหะ”
ซูจิ้งได้ทำการนึกถึงเรื่องราวต่างๆในห้วงเวลาฯเซียนจากฝั่งตะวันตก นึกระดับขั้นการฝึกตนที่มีการใช้กันที่นั้น
ระดับขั้นในการฝึกฝนร่างกายประกอบด้วย ฝึกกล้ามเนื้อ เปลี่ยนเอ็น สร้างเนื้อเยื่อ ก่อกระดูก เสริมอวัยวะภายใน เปลี่ยนไขกระดูก ถ่ายเลือด และกายาเหล็ก
ด้วยสภาพร่างกายของเขาตอนนี้นั้นสมควรยังอยู่ที่ขั้นฝึกเนื้อ เปลี่ยนเส้นเอ็น และก่อกระดูก
ในห้วงเวลาฯเฉินมู่นั้น เพลงหมัดพื้นฐานมีอยู่ด้วยกันสองรูปแบบ ด้วยการที่ในห้วงเวลาฯมีพลังวิญญาณอยู่อย่างหนาแน่
เพลงหมัดขั้นต้นจึงเน้นที่การเสริมสร้างร่างกายเป็นหลัก ผนวกกับการควบคุมลมหายใจ และใช้ลมหายใจเสริมสร้างอวัยวะภายในให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น หรือก็คือฝึกให้แข็งแกร่งไปพร้อมๆกัน
สำหรับการฝึกอวัยภายในของห้วงเวลาฯเทพฝั่งตะวันตกนั้นจำเป็นที่จะต้องฝึกไปเป็นระดับขั้น ยกตัวอย่างเช่นการฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งนี้ จะเป็นการฝึกร่างกาย กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่ย หรือก็คือการฝึกร่างกายภายนอก ค่อยๆไล่ไปสู่ข้างใน
อย่างไรก็ตามการฝึกเป็นระดับขั้นแบบนี้ค่อนข้างจะง่ายกว่าการฝึกเพลงหมัดจากห้วงเวลาฯเฉินมู่
ถึงแม้จะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับซูจิ้งที่จะฝึกสำเร็จได้แต่อย่างน้อยๆก็ทำให้ร่างกายของซูจิ้งแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิม
ตอนนี้ซูจิ้งอยู่ในสภาวะการเดินละเมอ และกึ่งหลับกึ่งตื่น และยังคงดำเนินต่อไปซึ่งนี่เป็นหนึ่งในขั้นตอนการฝึกหมัดวัวคลั่ง
ในสภาวะร่างกายจะทำการบ่มเพาะความแข็งแกร่งพร้อมๆกับการฟื้นฟูตัวเองไปพร้อมๆกัน
เขาเองก็ไม่ลืมที่จะได้ไวน์ที่ได้มาจากห้วงเวลาฯฝืนลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเซียนทำให้ตอนนี้เส้นเอ็นของเขาแข็งแกร่งมาขึ้น ตลอดจนผิวหนัง เข้มแข็งมากขึ้น และมากขึ้นประดุจดังหนังวัวก็ไม่ปาน
ซูจิ้งอยู่ในสภาวะนี่กว่าสองชั่วโมงจึงได้ลืมตาตื่นขึ้นมา
เพียงแค่สองชั่วโมงนั้นซูจิ้งได้ซึมซับทุกอย่างที่เกี่ยวกับการฝึกฝนเพลงหมัดวัวคลั่งไปอย่างบ้าคลั่ง เขานั้นยังคงฝึกฝนต่อไปมันเหมือนกับว่าตอนนี้ซูจิ้งเป็นเด็กป.ต้นแล้วไปนั่งเรียนร่วมกับเด็กม.ปลายอย่างหน้าชื่นตาบาน เป็นความเร็วในการเรียนรู้โดยธรรมชาติของเขาที่เหนือล้ำกว่าใคร
“ไม่พอ ยังไม่เพียงพอ ฉันอยากได้เพลงหมัดที่ทรงพลังกว่านี้” ซูจิ้งรู้สึกกระหายในความแข็งแกร่งขึ้นมาทันที
ตอนนี้ถึงแม้ว่าซูจิ้งจะมีตำราเพลงหมัดที่สมบูรณ์อยู่แล้วและก็ยังมีอีกบางส่วนที่เกือบจะสมบูรณ์ก็ตาม
แต่ตอนนี้เขารู้สึกได้ว่าตัวเองยังขาดอีกนิดหน่อยก็จะทะลุขั้นแรกเริ่มได้แล้ว เขาจึงอดใจไม่ไหวอีกต่อไป
ซูจิ้งได้ให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมตำราต่างๆต่อไป แน่นอนว่าเขาเองก็คอยคุมไว้ไม่ให้เกิดความผิดพลาดใดๆขึ้น
ถึงแม้ซูจิ้งจะไม่มีสแตนด์ก็ตามแต่เขาก็ยังสามารถแนะนำเสี่ยวไป๋ได้อย่างดี หนึ่งวันผ่านไป
ความสามารถในการใช้สแตนด์ของเสี่ยวไป๋ยกระดับมากขึ้นและทำให้มันยกระดับพลังจิตในร่างตัวเองไปด้วย
มันบ่งบอกว่าถึงแม้เสี่ยวไป๋จะไม่ได้ฝึกฝนพลังจิตแต่หากใช้สแตนด์ไปเรื่อยๆก็จะเหมือนเป็นการฝึกฝนไปในตัว
ตำราที่ไม่สมบูรณ์อีกเล่มก็ได้ปรากฎออกมาจนได้ และเสี่ยวไป๋ก็ยังคงซ่อมแซมต่อไปจนถึงช่วงใกล้ค่ำตำราที่เกือบจะสมบูรณ์อีกเล่มก็ได้ปรากฎออกมา ถึงแม้จะยังไม่สมบูรณ์ดีแต่ส่วนเนื้อหาในส่วนที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็ไม่ได้รับความเสียหายใดๆเช่นกัน ตำราเล่มนี้มีชื่อว่า ตำราพระโพธิสัตว์เทียนหลง(ตำราวิถีแห่งมังกร)
ซูจิ้งดีใจจนแทบจะกระโดดขึ้นมาในทันทีนั่นก็เพราะว่าตำราเล่มนี้เป็นตำราลับสุดหยั่งของวัดพุทธใหญ่
ถึงแม้คุณค่าของมันจะเทียบกับตำราเพลงหมัดวัวคลั่งซึ่งเป็นตำราเพลงหมัดระดับต่ำก็ตาม แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าเป็นการฝึกคนละแนวทางกันเท่านั้น
มันเป็นตำราที่หายากในห้วงเวลาฯเทพฝั่งตะวันตกนั่นก็เพราะว่าด้วยตำรานี้จะทำให้ทั้งพลังกายและพลังวิญญาณของเขาเข้มแข็งอย่างแน่นอน