Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 807
GGS:บทที่ 807 ไข่มุกและข้าว
หลังจากที่จัดการเคลียร์ขยะที่เขาไม่ต้องการทั้งหมดออกไปได้แล้ว ซูจิ้งได้จัดหมวดหมู่ของที่คัดเอาไว้อีกครั้งหนึ่ง
ของส่วนใหญ่นั้นไหม้ไฟและดูๆไปแล้วทั้งหมดน่าจะมาจากวัดพุทธใหญ่ทั้งหมด สำหรับที่ซูจิ้งซ่อมแซมได้เรียบร้อยก่อนหน้านี้เขาเก็บรักษาไว้อย่างดี
แน่นอนว่าซูจิ้งยังคงอยากจะซ่อมแซมของที่เขาคัดมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อว่าพวกมันจะกลายเป็นสมบัติอีก
แต่ทั้งวันนี้เสี่ยวไป๋เองก็ดูวุ่นๆทั้งวันทำให้ยังไม่ได้ซ่อมแซมอะไรเพิ่มเติม แต่ยังไงซะเมื่อเก็บพวกมันไว้แล้วเขาก็ไม่ต้องกลัวว่ามันจะหายไปไหน แค่รอเวลาซ่อมแซมพวกมันแค่นั้นเอง
ซูจิ้งเองก็มัวแต่วุ่นอยู่กับการคัดของเขาอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นเขาก็เข้าไปในส่วนนิเวศจำลองเพื่อดูหอยฝาและต้นข้าวที่เขาเก็บมาก่อนหน้านี้
หลังจากนั้นก็ได้ไปดูยังบ่อเลี้ยงปลาแต่ที่นั่นได้มีเรื่องที่ทำให้เขาก็ต้องตกตะลึง
ในช่วงนี้ระบบนิเวศจำลองไม่ได้เข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานแต่อย่างใดเพราะเขานั้นนำสัตว์และพืชเข้าเลี้ยงไว้
โดยช่วงเวลาภายในนั้นก็จะอ้างอืงกับเวลาภายนอกแต่ว่าก็ยังถูกจัดให้เป็นระบบนิเวศที่เหมาะสมกับสิ่งมีชีวิตภายในอยู่ดี
ซูจิ้งไปที่บ่อเลี้ยงปลาแล้วสั่งให้หอยลายเสือทุกตัวเปิดปากออกเพื่อดูข้างใน เขาเจอแสงที่แวววาวออกมาจากหอยลายเสือชนิดที่เรียกได้ว่าทำให้เขาแสบตาได้เลย
ในหอยปรากฏเป็นไข่มุกประกายวาววับขาวเนียนประดุจดั่งด้วงจันทร์ที่กำลังลอยตระหง่านอยู่บนฟ้า แต่เม็ดมันเล็กไปหน่อยจนเหมือนกับว่ามันเป็นดวงจันทน์เม็ดเล็กๆที่ถูกย่อส่วนมา
ซูจิ้งในตอนแรกนั้นเขาคิดว่าตาฝาดไปเหมือนกัน เขาได้ปลดปล่อยกระแสจิตออกมาตัวสอบดู และสุดท้ายเข้าก็มั่นใจได้ว่าสิ่งนี้คือไข่มุกจริงๆ
พลังจิตนี้สำหรับซูจิ้งถือได้ว่าเป็นพลังที่เขาใช้บ่อยที่สุด อย่างกรณีนี้เขาสามารถใช้บังคับได้แม้กระทั่งทำให้หอยเปิดฝาในขณะที่มีชีวิตอยู่และเปิดออกดูได้อย่างง่ายดาย
“ดูเหมือนว่ามันจะใหญ่และเป็นประกายกว่าเดิมนะ”
ซูจิ้งดูพวกมันด้วยท่าทางประหลาดใจ นี่เพิ่งผ่านมาไม่กี่วันหลังจากที่เขานำพวกมันมาใส่ไว้ในบ่อปลานี้ รวมไว้กับปลาเขี้ยวหยกอีกจำนวนหนึ่ง
ถ้าหอยพวกนี้เป็นหอยธรรมดาเจริงเขาเองจะไม่แปลกใจเลยซักนิด แต่นี่กลายเป็นว่าหอยมุกกลับเม็ดใหญ่และส่องประกายแวววาวกว่าเดิมอย่างรวดเร็ว
หากหอยมุกทั่วไปเป็นอย่างนี้ได้ ทุกๆคนคงจะให้กำเนิดสมบัติแบบนี้ได้ทุกวันแน่นอน
เหตุผลเดียวที่มันเป็นอย่างนี้ได้คือหอยพวกนี้ล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดา
“เดี๋ยวนะ หอยลายเสือ ส่งเสียงได้เหมือนเสือ ฉันว่าฉันคุ้นๆอยู่นะ” ซูจิ้งนิ่งลงและพยายามนึกอยู่ซักพักหนึ่ง ทันใดนั้นสายตาของเขาก็เป็นประกายในทันใด
ถ้าเขาจำไม่ผิดหงอี้ที่เป็นตัวเอกของห้วงเวลาฯเทพตะวันตกได้เคยพบเจอหอยลายเสือที่มีอายุกว่าพันปีในท้องทะเล หอยลายเสื้อนั้นมีไข่มุกเม็ดเท่ากำปั้นอยู่ข้างใน
ไม่เพียงแค่มันจะเหมาะกับการเป็นเครื่องประดับประจำตัวของผู้หญิงเพราะมันมีราคาสูงแล้ว อีกหนึ่งความสามารถของมันคือการเป็นยาวิเศษ สามารถใช้ในการบำรุงร่างกายและบังคับให้คนตายฟื้นคืนได้
ตอนที่หงอี้เจอไข่มุกนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก ไข่มุกนี้ยังมีส่วนช่วยให้เขาดึงดูดผู้คนให้ตัดสินใจติดตามเขา และยังช่วยทำให้เขาได้พบกับราชาฉลามสีเงินอีกด้วย
แน่นอนอยู่แล้วว่าหอยลายเสือที่อยู่ตรงหน้าของซูจิ้งนี้ย่อมเทียบไม่ได้กับหอยลายเสือพันปีตัวนั้น แต่ยังไงซะพวกมันก็คือหอยลายเสือเหมือนกัน
ถ้าเขาปล่อยให้มันอยู่อย่างนี้ต่อไปแน่นอนว่าเขาต้องใช้ประโยชน์พวกมันได้มากยิ่งขึ้นในอนาคต
“จะว่าไปตอนแรกฉันก็ไม่รู้ว่าขยะห้วงเวลาฯกองนี้มาจากห้วงเวลาฯเทพตะวันตกนี่นะ ก็ไม่แปลกที่ฉันจะจำหอยลายเสือพวกนี้ไม่ได้ แล้วเจ้าต้นข้าวต้นนั้นล่ะ”
ซูจิ้งได้หันไปมองต้นข้าวที่อยู่ในกระถางต้นไม้ เมื่อไม่กี่วันก่อนมันยังต้นเล็กจะตายแหล่ไม่ตายแหล่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่หลังจากที่มันดูดซับธาตุอาหารพืชในดินอยุ่หลายวันตอนนี้มันดูสมบูรณ์ดีแล้ว
อย่างไรก็ตามซูจิ้งได้ลองตรวจสอบดูต้นข้าวนั้นอย่างละเอียดแล้ว แต่เขาก็ยังไม่พบอะไรที่น่าจะบอกได้ว่ามันมีความวิเศษยังไง เขาทำแม้แต่ขุดดินเพื่อดูราก แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ยังดูเหมือนต้นข้าวธรรมดา
สุดท้ายซูจิ้งก็ได้ยอมตัดใจ แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงบางอย่าง เขาสังเกตุเห็นเปลือกของมันว่ามันยังไม่ยอมหลุดออก
แต่ก็อาจจะเป็นไปได้เหมือนกันว่าเมล็ดข้าวนี้ก่อนหน้านี้ต้นเล็กมาก การที่อยู่ก็ได้รับสารอาหารและโตอย่างรวดเร็วอาจจะทำให้เปลือกของเมล็ดยังไม่เน่าหายไป
ซูจิ้งได้ตั้งใจมองที่เปลือกของเมล็ดข้าวดูก็รูสึกแปลกใจ เมล็ดข้าวนี้นอกจากจะเรียวยาวแล้ว มันยังเหมือนมีเส้นสีเงินเล็กๆพาดผ่านจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง
นี่ทำให้ซูจิ้งมั่นใจได้แล้วว่าข้าวนี้ย่อมไม่ใช่ข้าวธรรมดา ข้าวธรรมดาที่ไหนจะมีเส้นสีเงินพากผ่านแบบนี้
“เอ…..เส้นสีเงิน เส้นสีเงิน เจ้านี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นข้าวเส้นขอบฟ้าของวัดพุทธใหญ่หรอกนะ”
เมื่อซูจิ้งนึกได้ถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมาทำให้ตาของเขาต้องเบิกโพลงเล็กน้อย
ในห้วงเวลาฯเทพตะวันตกนั้น ที่นั่นเองก็มีข้าวธรรมดาอยู่เหมือนกัน แต่ที่นั่นก็ยังมีข้าวสายพันธุ์พิเศษที่ความวิเศษและคุณค่าทางอาหารมากกว่าข้าวทั่วไปอย่างไม่ต้องสงสัย
บางชนิดเมื่อกินแล้วจะช่วยในการฝึกตนและบ่มเพาะร่างกาย ตัวอย่างเช่นข้าวเนื้อหยกและข้าวเนื้อหลืองที่ถือได้ว่าเป็นข้าวระดับสูง
มีเพียงเหล่าขุนนางหรือชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้กิน เพราะสีของมันนั้นดูสีเหลืองเหมือนทองก็ไม่ปาน ทำให้ราคาของมันแพงเสียยิ่งกว่าทองซะอีก
แต่ก็มีบางตระกูลที่คิดว่าสีมันเหลืองแหยะๆไม่น่ากินแม้แต่น้อย
สำหรับข้าวเนื้อหยกเองก็ถือได้ว่าเป็นที่นิยมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ดีไม่ดีจะมากกว่าด้วย
ด้วยการที่เม็ดข้าวนี้มีความยาวของเมล็ดได้มากกว่า1เมตรจนเหมือนกับเขี้ยวมังกร
มันจึงถูกปลูกเพื่อเป็นอาหารให้กับมังกรตั้งแต่ยุคโบราณกาลและมันเองก็เต็มเปี่ยมไปด้วยแก่นพลังงานบริสุทธิ์ ทำให้ถือได้ว่าเป็นสมบัติอย่างหนึ่งเช่นกัน
ส่วนข้าวเส้นขอบฟ้าของวัดพุทธใหญ่นั้นถึงแม้ว่าสรรพคุณจะไม่เท่ากับข้าวเนื้อหยกก็ตาม ต้องบอกว่าเทียบไม่ได้สักเสี้ยวเดียว
แต่ยังไงซะมันก็ยังถือว่าเป็นพันธุ์ข้าวที่ข้าวธรรมดาเทียบไม่ได้ สรรพคุณของมันนั้นสูงกว่ายาจีนบางตัว อย่างเช่นโสม เห็ดหลินจือ ไม่ก็พวกยาอายุวัฒนะอื่นๆมากนัก
หากนี่เป็นเรื่องจริงล่ะก็ซูจิ้งแทบจะอดใจไม่ได้แล้วที่จะได้ลองลิ้มชิมรสข้าวนี้หลังจากออกรวงออกมา แต่กอ่นหน้านั้นเขาคงต้องขยายพันธุ์ก่อนล่ะนะ
“การได้หอยลายเสือและข้าวเส้นขอบฟ้ามานี่ถือว่าดีจริงๆ นอกจากพวกมันจะสามารถทำให้ได้เงินมาได้อย่างไม่มีสิ้นสุดแล้ว พวกมันยังส่งผลกระทบต่อโลกใบนี้อย่างแน่นอน
ถ้าฉันนำไปใส่ไว้ในทะเลสาบบนเกาะทะเลทรายล่ะก็ ฉันน่าจะได้ค่าการใช้ประโยชน์ฯกลับมาเยอะพอสมควร
ตอนนี้ก็คงทำได้เพียงสั่งให้ปลาเขี้ยวหยกเฝ้าพวกมันไว้ก่อนล่ะนะ
ส่วนเรื่องข้าวนี่ถ้าใช่ของจริงคงต้องเสียเวลาขยายพันธุ์อีกพักใหญ่เลยทีเดียว ไหนจะต้องขยายพื้นที่เพาะปลูกอีก
ไม่รู้ว่าพี่ซือหยาจะตกลงกับซุนหยูเฮงได้รึเปล่านะ”
ซูจิ้งทำท่าจะโทรไปถามซือหยา แต่เขาก็นึกอะไรบางอย่างก่อนที่จะตัดใจไม่โทรไป
เรื่องพวกนี้เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนนี่นา ข้าวเองก็ยังไม่ออกรวงเลยด้วยซ้ำ ต่อให้มันเป็นของจริงยังไงซะเมล็ดข้าวก็ควรจะยังน้อยอยู่ ต้องทำการปลูกไปอีกหลายรุ่นกว่าจะพอทำอะไรได้
ทันทีที่ซูจิ้งตัดสินใจว่าจะไม่รีบร้อน อยู่ๆก็มีสายเรียกเข้า
ทันทีเขาเห็นว่าเป็นใครก็ต้องอึ้งนิดหน่อยเพราะมันเป็นสายของซุนหยูเฮง นี่สินะที่เขาเรียกว่านึกถึงโจโฉ โจโฉก็มา
ซูจิ้งรับสายไปก่อนที่จะยินเสียงหัวเราะของซุนหยูเฮงดังลั่นมาจากปลายสายก่อนที่เขาจะพูดออกมาว่า “คุณซู ผมต้องรบกวนคุณแล้วหล่ะ”
“รบกวนหรอ แล้วมีอะไรให้ผมช่วยงั้นหรอครับ” ซูจิ้งถามออกมา
“เรื่องนี้ผมคงต้องสร้างปัญหาให้คุณซูไม่น้อยแล้วหล่ะ พอดีผมรู้มาว่าคุณซูกับซือหยามีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกัน ไม่รู้ว่าคุณซูพอจะพูดคุยหรือชมเชยเรื่องดีๆของผมต่อหน้าซือหยาได้บ้างรึเปล่า
ผมชอบซือหยาจริงๆนะ ตอนนี้อายุของเธอก็สมควรแก่การแต่งงานมาได้ซักพักใหญ่แล้ว คุณซูไม่คิดว่าอย่างนั้นเหมือนกันบ้างหรือครับ” ซุนหยูเฮงพูดออกมา
“มันเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่ซือหยานะ ผมเองก็ยุ่งมากไม่ได้หรอก” ซูจิ้งพูดตอบไป
“ด้วยสายสัมพันธ์ที่คุณมีกับเธอคุณไม่ห่วงเธอบ้างหรอครับว่าบั้นปลายชีวิตเธอจะเป็นยังไง
เอาอย่างนี้ไหมหล่ะผมยินดีจะร่วมงานกับคุณถ้าคุณช่วยผมจนได้แต่งกับซือหยาคุณจะว่าไง” ซุนหยูเฮงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เฮ่อะ เฮ่อะ” ซูจิ้งหัวเราะออกมาด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้
เขาเข้าใจความหมายของซุนหยูเฮงอย่างไม่ต้องสงสัย มันเหมือนกับคำกล่าวที่ว่าถ้าผูกไท้ไม่เป็นจะไปทำธุรกิจได้ยังไง
ถึงแม้ฟังๆดูแล้วเหมือนเขาจะขอร้องซูจิ้ง แต่หากพิจารณาดูแล้วเขาคิดว่าซูจิ้งจะต้องยอมโอนอ่อนทำตามเขาทุกอย่างหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับซือหยา
ไอ้ก่อนหน้านี้ที่เขาลดราคาหัวใจพระสูตรและพระพุทธให้ก็เพราะเขานั้นขี้เกียจคำนวนมากมายอะไร ยังไงเขาก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว
ซูจิ้งวางสายตัดหูทั้งไปในทันทีเพราะขี้เกียจพูดคุยเรื่องไร้สาระแบบนี้ หลังจากนั้นเขารีบโทรไปหาหวังซือหยาก่อนจะบอกออกไปว่าเขานั้นไม่ต้องการร่วมงานกับซุนหยูเฮง
เขากลัวว่าหวังซือหยาจะไปคว้าไอ้บ้านี่มาเพียงเพราะต้องการช่วยเขามันคงดูโง่เง่าดีพิลึก
ต่อให้เขาไม่ร่วมมือด้วยแต่ดูๆไปแล้วหวังซือหยากก็ยังดูชอบพอกับหมอนี่อยู่บ้างเหมือนกัน
ทั้งสองคนเชื่อว่าในไม่ช้าซุนหยูเฮงจะต้องรู้สึกเสียใจในไม่ช้าที่กล้าเอาเรื่องนี้มาพูดกับซูจิ้ง