Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 808
GGS:บทที่ 808 ความผิดพลาดอันใหญ่หลวง
หลังจากวางสายไป ซูจิ้งเองก็กำลังนึกหาวิธีแก้เผ็ดซุนหยูเฮงในทันที พลางนึกไปว่าต่อให้ซุนหยูเฮงนั้นจะมีความสามารถในการทำธุรกิจด้านการเกษตร แต่ก็ไม่สมควรจะได้เงินมากมายนัก
กับเขาที่ต่อให้ไม่ได้มีหัวด้านธุรกิจนี้ซักเท่าไหร่ แต่ในเมื่อเขานั้นมีโอกาสสร้างรายได้ที่มากกว่าอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเขาไม่ควรจะไปแข่งกับซุนหยูเฮงด้านการเกษตรแต่อย่างใด
เขานั้นสมควรช่วยส่งเสริมคนอื่นเพิ่มเตะตัดขาซุนหยูเฮงนี่ก็น่าจะสอนบนเรียนให้หมอนี่ได้บ้าง
“อ้ะ นี่น่าจะถึงเวลาที่เสี่ยวไจ๋ต้องเข้าร่วมรายการแล้วนี่นา ลองดูซักหน่อยดีกว่าแหะ”
ซูจิ้งได้เปิดทีวีที่อยู่ในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯที่อยู่ภายในสถานีดู ไม่นานนักเขาก็เจอช่างที่เสี่ยวไจ๋บอกว่าจะเข้าร่วมรายการ
รายการนี้เป็นรายการประเภททอล์คโชว์ที่มีคนดูมากรายการหนึ่งประเทศจีน
บางครั้งพวกเขาจะเชิญคนแปลกๆมาร่วมแสดงความสามารถซึ่งพวกเขาได้คอยค้นหาอยู่ทั่วประเทศ
บางครั้งพวกเขาก็เชิญร้านอาหารมาทำอาหารแบบสดๆเพื่อเป็นการโฆษณาให้คนที่ชื่นชอบไปกิน
โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นบรรยากาศแนวตลกขบขันและมีเรตติ้งดูใช้ได้เลย
ไม่นานหลังจากรายการเริ่มถ่ายทอด อาจารย์เชิงหยาน เสี่ยวไจ๋ และพระนักรบอีกกลุ่มหนึ่งได้เข้ามากลางรายการ
พวกเขาเข้ามาอย่างพร้อมเพียง หนักแน่น และเป็นระเบียบ พร้อมแสดงการฝึกวิชามวยเล็กน้อยพอเป็นพิธีแต่ด้วยการที่ทำกันเป็นกลุ่มใหญ่ทำให้บรรยากาศในห้องส่งถึงกับร้อนระอุ
หลังจากนั้นพิธีกรได้กล่าวเปิดรายการพร้อมแนะนำปรมาจารย์เชิงหยานและให้ปรมาจารย์เชิงหยานแนะนำเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ ถึงช่วงนี้เสี่ยวไจ๋ได้ก้าวออกมาและได้เริ่มแสดงเพลงหมัดวัวคลั่งออกมาให้ดู
แน่นอนว่าหากเป็นการเพลงมวยปกตินั้น การแสดงออกมาเพียงแค่สอง-สามกระบวนท่าย่อมไม่สามารถทำให้เป็นที่ลือเลื่องได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามเสี่ยวไจ๋นั้นแม้จะแสดงเพลงหมัดวัวคลั่งออกมาเพียงแค่สามกระบวนท่า แต่ด้วยร่างกายที่แข็งแรงอยู่แล้ว ในทุกครั้งที่ใช้กระบวนท่าคนดูรายการจะสังเกตเห็นได้ว่าทุกครั้งที่เสี่ยวไจ๋เริ่มแต่ละกระบวนท่า ร่างกายจะค่อยๆแข็งแกร่ง และแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และนั่นจะทำให้เพลงหมัดวัวคลั่งของเขายิ่งเป็นที่รู้จักอย่างแน่นอน
ต่อให้รายการนี้ยอมให้เสี่ยวไจ๋แสดงออกมาแค่เพียงกระบวนท่าเดียวก็ตาม แต่ด้วยท่วงท่าที่ดุดันประดุจดั่งวัวคลั่งก็เพียงพอต่อการแสดงแสนยานุภาพของเพลงหมัด
หลังจากนั้น รายการได้ถูกดำเนินมาจนถึงช่วงสุดท้ายของการแสดง รายการได้นำสิ่งของต่างๆออกมาให้เสี่ยวไจ๋แสดงอานุภาพของศิลปะการต่อสู้ให้เห็นชัดๆ เสี่ยวไจ๋จึงได้จัดให้ตามคำขอ เขาต่อยกระสอบทรายเพียงทีเดียวก็แตกกระจาย ต่อยกองอิฐที่ซ้อนกันแปดก้อนโดยใช้หัวโขก และเตะหุ่นไม้ขาดครึ่งเพียงหนึ่งที
นี่ทำให้ผู้ชมรายการทีวีถึงกับตกตะลึง ประหลาดใจ และอุทานร้องว้าวกันทุกคน
“โคตรน่ามหัศจรรย์”
“นอกซูจิ้งที่แกร่งจนเกือบจะเป็นพระเจ้าไปแล้ว ไม่คิดว่าจะมีคนที่พลังวัวถึกแบบนี้ด้วยอยู่อีก”
“ไม่ใช่ว่าที่เขาใช้นั้นเป็นเพลงหมัดวัวคลั่งไม่ใช่หรอ เป็นไปได้ว่าเขาอาจเรียนมาจากสำนักเดียวกับซูจิ้ง”
“ฉันก็ได้ยินชื่อเสียงของเพลงหมัดวัวคลั่งและก็ได้ยินคนอื่นพูดถึงมาได้ซักพักแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าพอเรียนแล้วจะแรงเยอะเป็นวัวถึกขนาดนี้”
เป็นเรื่องปกติที่พิธีกรเมื่อเจอการแสดงแบบนี้จะต้องตกตะลึงเป็นธรรมดา ตอนนี้เขาพุ่งเป้าไปสัมภาษณ์เสี่ยวไจ๋เป็นพิเศษในทันที
เสี่ยวไจ๋ก็ไม่ได้พูดอะไรมากมายบอกแต่ว่า “เพลงหมัดนี้มีชื่อว่าเพลงหมัดวัวคลั่ง ซึ่งถูกถ่ายทอดมาโดยคุณซูจิ้งโดยตรง
คุณซูนั้นไม่ยอมรับผมเป็นลูกศิษย์อาจเป็นเพราะว่าผมนั้นไม่มีคุณสมบัติพอ
อย่างไรก็ตามในเมื่อเขานั้นยอมที่จะสอนเพลงหมัดนี้ให้ผม ผมก็จะขอถือว่าเป็นลูกศิษย์ในนามไปก่อนแล้ว
ผมหวังว่าจะได้กลายเป็นลูกศิษย์จริงๆในอนาคต”
ด้วยการตอบคำถามที่ไม่ตรงกับคำถามของเสี่ยวไจ๋ได้สร้างกระแสคำวิจารณ์อย่างล้นหลามในทันใด
“ห้ะ ยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นลูกศิษย์เนี่ยนะ”
“ซูจิ้งที่ว่านั่นจะไม่อวดดีเกินไปรึไงกัน พระรูปนี้ถูกบังคับให้พูดรึเปล่าเนี่ย”
“เฮ้ เฮ้ นี่นายยังไม่เคยเห็นคลิปการต่อสู้ของซูจิ้งสินะถึงได้กล้าพูดได้ขนาดนี้ ลองไปหาดูแล้วทำตามนะ นายจะรู้ว่าเพลงหมัดนี้ทรงพลังจริงๆ”
“ไม่นะ ยังไม่เคย คงได้แต่ต้องลองดูเท่านั้นสินะ”
“เฮ้ ฉันลองมาแล้วนะ ของเขาดีจริงๆ”
“ฉันเป็นไก่อ่อนที่ลองทำตามดูเหมือนกัน ตอนนี้ฉันตัดอิฐได้แล้วล่ะ”
“ฉันก็พึ่งลองไป ตัอได้สองท่อนเหมือนกัน”
“แม้แต่ฉันอ่อนๆขนาดนี้เรียนแล้วยังดีเลย ถ้าไม่ลองดูนี่ไม่รู้เลยจริงๆ”
ตอนนี้อานุภาพขของเพลงหมัดวัวคลั่งได้เป็นที่เลื่องลือถึงขีดสุดแล้ว พร้อมทั้งค่าการใช้ประโยชน์ของฉิงหยุนเองก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้จากสำนักการต่ดสู้สัประยุทธ์จำนวนหนึ่งที่ออกมาแสดงตัวว่าเป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการของซูจิ้งเช่นเดียวกับเสี่ยวไจ๋
พวกเขาได้ทำการตั้งนิกายปีศาจวัว โดยยกให้ซูจิ้งเป็นผู้นำนิกาย
นี่ถือว่าเป็นนิกายทางศิลปะการต่อสู้แรกในประเทศจีนเลยก็ว่าได้
ในขณะเดียวกัน เหล่าผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้นานาชาติอย่างเทควันโดและคาราเต้ได้เริ่มออกมาโจมตี
พร้อมกับกล่าวว่านิกายปีศาจวัวนี้ดีแต่พูดแต่ไม่ได้เก่งกาจอะไร แม้กระทั่งออกมาท้าทายซูจิ้งอย่างเป็นทางการ
นี่ทำให้เหล่าผู้คนผู้ฝึกฝนเพลงหมัดวัวคลั่งถึงกับยิ้มร่ากันเป็นแถว
“คนพวกนี้ไม่เคยไปดูวิดีโอที่ซูจิ้งกระทืบนักคาราเต้ 40 คนในคราวเดียวรึไงกัน ถึงได้กล้ามาท้าทายแบบนี้ ฉันล่ะสงสารแทนคนพวกนั้นจริงๆ”
“ประเด็นคือพวกนั้นมารวมตัวกันท้าดวลเนี่ยล่ะ พวกนั้นมีปรมาจารย์ของแต่ละสายอยู่เกินกว่าสามคน ท้าหากมาเจอกันหนึ่งๆก็คงไม่มีปัญหา ฉันกลัวแต่พวกนั้นจะรุมเขาเนี่ยหล่ะ ถ้าทำจริงก็หน้าขายหน้าเกินไปแล้ว”
“แล้วไงหล่ะ สามสิบคนก็ยังอัดล่วงมาแล้ว กะอีแต่สามคน ต่อให้พูดไปแล้วอาจจะฟังกระดากปากหน่อยแต่ฉันอดสงสารพวกนั้นไม่ได้เลย”
“นี่นายไม่รู้ใช่ไหมว่าพวกนั้นก็เรียนเพลงหมัดวัวคลั่งเหมือนกัน”
“ใช่ ฉันยังได้ยินมาด้วยว่ามีบางคนถ่ายรูปเอาไว้เป็นหลักฐานมาด้วย”
“ไอ้นรกพวกนี้จะน่าละอายเกินไปแล้ว พวกมันก็รู้ถึงอานุภาพหลังจากได้เรียนไปแล้วแต่ก็ยังมาทัดทานเพลงหมัดวัวคลั่งอยู่อีก
แต่ก็น่าจะเท่านั้นนะเพราะซูจิ้งเองก็แข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิมหลังจากฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งไปแล้ว น่าจะกลบปัญหาเรื่องนี้ได้”
“เฮ้อ ก็กลัวแต่ว่าพวกนั้นจะไร้ยางอายและท้าซูจิ้งแบบตอน 40 คนนั้นอีกน่ะสิ ถ้าแค่แบ่งเป็นรอบนี่ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
“ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ ช่างฟังมาจากนักวิเคราะห์ด้านกีฬามาแล้ว เขาบอกว่าในที่แคบแบบนั้น
จำนวนที่เหมาะที่สุดคือ 4 คน นั่นก็หมายความว่าถ้าพวกนั้นยกพวกไปสู้กับซูจิ้งอีกก็จะมีผลเหมือนกัน
แต่ถ้าพวกเขาแบ่งสู้เป็นรอบนี่สิ ซูจิ้งถึงจะเสียเปรียบ”
“ฟังดูมีเหตุผลแหะ เฮ้อ พี่จิ้งไม่น่าไปสอนเพลงหมัดวัวคลั่งสะเปะสะปะแบบนั้นเลย แล้วนี่พี่จิ้งเขาว่าไงล่ะ หรือเขาจะไม่สู้”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ยังพอว่านะ แต่ในตอนนี้ไม่สู้คงไม่ได้แล้วเพราะข่าวนี้กระจายไปทั่วจีนได้แล้วมั้ง
นี่ขนาดยังไม่ทำอะไรยังมีคนออกมาป่าวประกาศว่าไอ้ตอน 40 คนนั่นแค่ฟลุ๊คเลย
ถ้าบอกไม่สู้นี่คงได้ชื่อเสียแบบกู่ไม่กลับแน่นอน”
ข่าวที่ว่าอีกฝ่ายได้เรียนรู้เพลงหมัดวัวคลั่งนั้นได้เผยแพร่ไปทั่วอินเตอร์เนต และทุกคนต่างก็บอกว่าซูจิ้งได้ทำความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่เกินกว่าจะแก้ไขได้โดยง่าย
ถึงกับมีบางคนสอนเขาว่าถ้าอยากจะสอนจริงๆก็ควรจะไปเปิดสำนักสอนแบบจริงจังเพื่อจะได้พิจารณาข้อมูล พูดคุย และคัดเลือกได้อย่างเหมาะสม การที่เขามาแนะนำแบบสตรีมจนคนรู้กันทั่วแบบนี้
นอกจากจะเผยแพร่ไปอย่างแพร่หลายแล้ว แม้แต่ศัตรูของเขาเองก็ได้เรียนรู้ด้วยหมือนกัน
นิกายของเขาก่อนทีจะพัฒนาน่าจะโดนเตะตัดขาก่อนแน่ๆ
แต่สิ่งที่ชาวเน็ตพวกนี้คาดไม่ถึงก็คือ ซูจิ้งไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหวแต่อย่างใด
มีเพียงพระหนุ่มที่ชื่อเสี่ยวไจ๋ที่ออกมาสู้ในฐานะของลูกศิษย์อย่างเป็นทางการของซูจิ้ง
เขาออกมาประกาศตัวว่าในฐานะลูกศิษย์จะขอกระทืบไอ้พวกที่มาโวยวายท้าตีท้าต่อยกับอาจาย์ของเขาก่อน จนกว่าคนพวกนี้จะตัดใจไปเองหลังจากโดนเขากระทืบเรียบร้อยแล้ว
หลังจากข่าวนี้กระจายออกไปได้สร้างสั่นสะเทือนไปไม่น้อย พวกเขาหวังว่าซูจิ้งนั้นจะยอมออกมาสู้เอง ต่อให้เป็นกับดักก็ยังดูดีซะกว่าการที่ส่งพระหนุ่มคนเดียวออกมาสู้แบบนี้ เพราะยังไงซะพระคนนี้สมควรจะฝึกเพลงหมัดนี้ได้ไม่นาน ไม่น่าจะสู้ใครไหว แบบนี้จะดีจริงๆแล้วรึเปล่า
เหล่าผู้ฝึกสอนของโรงเรียนศิลปะการต่อสู้เทควันโดและคาราเต้เองทันที่รู้ข่าวก็ได้สบถออกมา พวกเขาคิดว่าเสี่ยวไจ๋นั้นหลงไหลศรัทธาในตัวซูจิ้งจนไม่เกรงกลัวความตายไปแล้ว พวกเขาเลยตัดสินใจว่าจะใช้เสี่ยวไจ๋เป็นกระสอบทรายเพื่อลองเชิงมวย ดูสิว่าเมื่อเห็นสภาพเสี่ยวไจ๋ที่พ่ายแพ้แล้วซูจิ้งจะว่ายังไง