Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 812
GGS:บทที่ 812 ลวงพระลวงเจ้า
เมื่อซูจิ้งพูดว่าเขานั้นได้ศึกษาทั้งทางพุทธ เต๋า และขงจื๊อออกมา นั่นทำให้เจ้าอาวาสซูหยุนและปรมาจารย์เชิงหยานต่างก็ตกตะลึงไปไม่น้อย พวกเขาอยากจะถามออกมาตรงๆว่าต้องศึกษามากขนาดนั้นเลยหรอถึงจะทำสมาธิได้ดีขนาดนี้
อย่างไรก็ตามซูจิ้งเองก็ได้ทำให้พวกเขาได้เห็นไปแล้ว ที่เหลือก็แค่รอให้พวกเขาทดลองดูแค่นั้นเอง
“ประสกซู อาตมาแพ้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ตามที่ได้ตกลงกันไว้ ทางอาตมาจะไม่ทำการลงโทษเสี่ยวไจ๋แต่อย่างใด”
เจ้าอาวาสได้พูดออกมาพร้อมหันไปพูดกับเสี่ยวไจ๋ว่า “เสี่ยวไจ๋ ยังไม่มาขอบคุณประสกซูอีก”
“ขอบคุณ คุณซู” เสี่ยวไจ๋ได้เดินไปที่ซูจิ้ง ยิ้ม และพนมมือพร้อมกับไหว้ซูจิ้ง
“นายไปอัดไอ้พวกเทควันโดกับคาราเต้ไว้ก็จริงแต่ว่ายังมีคนแบบนั้นอยู่อีกเยอะนะ ยังไงก็ตามด้วยความสามารถของพวกนั้นในตอนนี้พวกมันรู้ตัวแล้วว่าทำอะไรนายไม่ได้ แต่ยังซะพวกนั้นต้องไม่อยู่เฉยแน่นอน กลับไปกับฉันแล้วมาดวลกันหน่อยสิเดี๋ยวฉันจะแนะนำให้” ซูจิ้งพูดออกมา
“ได้ครับ” เสี่ยวไจ๋มองซูจิ้งด้วยสายตาที่เป็นประกายออกมา
“อ้อ แล้วก็นี่คือยาสำหรับทาภายนอก” ซูจิ้งนำถุงยาออกมาทั้งหมดสามถุงใหญ่
“ขอบคุณครับคุณซู” เสี่ยวไจ๋แสดงท่าทางออกมาราวกับเด็กได้ของเล่น
ในตอนนี้เหล่าพระลูกวัดและผู้เยี่ยมชมวัดที่อยู่ที่หน้าประตูต่างก็รู้สึกอิจฉาเสี่ยวไจ๋ขึ้นมา
พอนึกถึงคำซูจิ้งที่ว่าไม่ยอมรับเสี่ยวไจ๋เป็นศิษย์แต่เขาเองก็ยังคอยดูแลเสี่ยวไจ๋ไม่น้อยเหมือนกับเป็นศิษย์ของตัวเองแบบนี้ พวกเขาเองก็อยากได้อาจารย์แบบซูจิ้งเช่นเดียวกัน
“อ้อเจ้าอาวาส ผมมีอีกเรื่องที่เราต้องคุยกันหน่อยนะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“เรื่องอะไรหรือประสก” เจ้าอาวาสตอนนี้ดูให้เกียรติซูจิ้งกว่าเคย
“พวกท่านคิดว่ายังไงบ้างถ้าผมจะอัญเชิญพระอจละองค์นี้มายังวัดหลานเล่อ” ซูจิ้งชี้ไปที่องค์พระอจละในระหว่างที่พูดออกมา
เจ้าอาวาส ปรมาจารย์เชินหยาน โจวฮงหยวน และพระลูกวัดรูปอื่นๆต่างก็กระพริบตากันปริบๆพร้อมหายใจหนักๆกันรัวๆ
แม้แต่เราพระภิกษุผู้แก่พรรษาก็ยังอดแสดงท่าทางตื่นเต้นออกมาไม่ได้
ความจริงก็คือพวกเขานั้นต้องการจะอัญเชิญพระอจละองค์นี้มาประดิษฐานไว้ที่นี่ตั้งแต่แรกเห็นแล้ว ตราบใดที่พวกเขานั้นยังมีตาอยู่ ย่อมรับรู้ได้ถึงพุทธนุภาพของพระองค์นี้
แต่พวกเขานั้นก็ไม่รู้วาจะเอ่ยปากขอร้องยังไงดีเพราะแค่หัวใจพระสูตรพวกนี้ก็ถือว่าซูจิ้งดีกับพวกเขามากแล้ว
แถมยังไม่ต้องพูดถึงว่าหากมีคนรู้ข่าวพระอจละองค์นี้ออกไปย่อมมีคนแก่งแย่งยิ่งกว่าหัวใจพระสูตรและพระพุทธอย่างแน่นอน
ขนาดเหล่าผู้เยี่ยมชมวัดและพระลูกวัดเองเมื่อได้ยิน บางคนยังพูดออกมาเลยว่าหากประดิษฐานที่นี่จริง พวกเขาต้องมาเยี่ยมชมบ่อยครั้งมากกว่าเดิมให้จงได้
“ประสกซูพูดจริงรึ” เจ้าอาวาสถามออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ปรมาจารย์ซู หากประสกถวายองค์พระอจละองค์นี้แก่ทางวัดจริงที่ว่าเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่แล้ว” หนึ่งในพระของคณะสงฆ์ได้พูดออกมา
“หากผมพูดอะไรออกมา ย่อมหมายความว่าผมนั้นจริงจังอย่างแน่นอน แต่ผมเองก็มีเงื่อนไขอยู่ 2 ข้อ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ว่ามา.. เอิ่ม..ประสกพูดออกมาได้เลย” เจ้าอาวาสในตอนนี้พยายามทำการสำรวมให้ได้มากที่สุด ตราบใดที่เงื่อนไขที่ว่าไม่มากจนเกินไปล่ะก็ พวกเขายินดีทำตาม
“อย่างแรก ประดิษฐานพระอจละองค์นี้ไว้ที่หอใดซักหอหนึ่ง และเมื่อประดิษฐานแล้วห้ามเคลื่อนย้ายไปที่อื่น และให้หอนั้นมีเสี่ยวไจ๋เป็นผู้ดูแลหอ” ซูจิ้งพูดออกมา
“เรื่องนี้พูดง่ายก็จริงแต่ก็ทำได้ยากเช่นเดียวกัน” เจ้าอาวาสได้เงียบก่อนที่จะพยักหน้ารับด้วยท่าที่สงบเสงี่ยม แต่ในใจกลับนึกดีใจ
เงื่อนไขของซูจิ้งนั้นนึกไม่ถึงว่าจะเป็นแค่การประดิษฐานไว้ที่หอใดซักหอหนึ่ง ส่วนเรื่องที่ต้องการให้เสี่ยวไจ๋เป็นผู้ดูแลนั้น ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด
“อย่างที่สอง ผมต้องการเงินที่ได้จากการสักการบูชาในหอที่พระอจละประดิษฐานอยู่ 70 %” ซูจิ้งพูดออกมา
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น ความเงียบได้เข้ามาเยียนในทันใด เจ้าอาวาส ปรมาจารย์เชิงหยาน โจวฮงหยวน คณะสงฆ์ พระลูกวัด และเหล่าผู้เยี่ยมชมต่างก็แสดงสีหน้าโง่งมออกมา พวกเขาต่างก็คิดว่าตัวเองได้ยินผิดไป
นั่นก็เพราะว่า อย่างแรก คนรวยส่วนใหญ่นั้นล้วนบริจาคให้วัด พวกเขาไม่เคยได้ยินว่าจะมีคนรวยที่ไหนที่ต้องการทำเงินจากวัดมาก่อน นั่นก็เพราะไม่มีใครเคยคิดว่าวัดคือธุรกิจอย่างหนึ่ง
อย่างที่สอง กับคนที่รวยอยู่แล้วจะเอาไปตั้ง 70 % …. เพื่อ?
แต่สำหรับซูจิ้งแล้วสำหรับสิ่งที่เขาขอนั้นได้ผ่านการไตร่ตรองโดยดีแล้ว
จากการประเมินของเขานั้นต่อให้เขาทำการขายพระอจละองค์นี้ไปโดยตรงก็ตาม แต่ด้วยการที่ค่าการใช้ประโยชน์จากการขายนั้นเมื่อเทียบกันแล้ว 3 ล้านหยวนต่อ 1 หน่วยนั้นช่างไม่คุ้มค่ากันซะเลย
ต่อให้ขายพระอจละออกไปราคาสูงเสียดฟ้าแค่ไหนก็คงได้ค่าใช้ประโยชน์ดีๆก็แค่หนเดียว
เทียบไม่ได้กับการที่สร้างชื่อเสียงให้องค์พระอจละเลยแม้แต่น้อย
หากเขาต้องการค่าการใช้ประโยชน์จริงๆล่ะก็วัดหลานเล่อแห่งนี้ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีตัวเลือกหนึ่งเลยทีเดียว
เพราะวัดนี้นอกจากจะถือว่าเป็นวัดพุทธที่มีขนาดใหญ่แห่งหนึ่งแล้ว ยังมีผู้เยี่ยมชมวัดเป็นจำนวนมากตลอดทั้งปี
ยังไม่ต้องพูดถึงการที่วัดนี้ยังไม่มีองค์พระอจละมาก่อน
นั่นหมายความว่าในไม่ช้าองค์พระอจละย่อมมีชื่อเสียงในไม่ช้า
เมื่อถึงเวลานั้นแน่นอนว่าค่าการใช้ประโยชน์ย่อมไหลมาเทมาไม่ขาดสายอย่างแน่นอน
วิธีการนี้จึงเป็นการเหมาะสมที่สุดกับองค์พระอจละนี้แล้ว
อย่างไรก็ตาม การจะมอบให้ตรงๆนั้นสำหรับซูจิ้งแล้วถือได้ว่าเขานั้นไม่ได้อะไรเลย
สำหรับการได้ค่าการใช้ประโยชน์มาอย่างเดียวนั้นถือได้ว่าไม่เพียงพอสำหรับเขา
เมื่อคิดดังนั้นเขาก็จะถือโอกาสนี้ทำธุรกิจร่วมกับวัดหลานเล่อ
อีกทั้งการถวายองค์พระอจละให้กับพวกเขานั้นนอกจากจะเป็นการปลอดภัยแล้วยังได้เงินส่วนแบ่งกับการขายเครื่องหอมและกำยานสำหรับการสักการะอีกทางหนึ่งด้วย
“ประสกซู สำหรับเรื่องนี้อาตมาคิดว่าน่าจะไม่ถูกต้องนัก การนำองค์พระอจละมาแสวงหาประโยชน์ทางธุรกิจแบบนี้คงไม่ควรนัก” เจ้าอาวาสเอ่ยออกมา
“ในความคิดของผมนั้น ทุกอย่างนั้นล้วนเป็นเหตุเป็นผลต่อกันหากไม่ได้มีความคิดชั่วร้าย ก็ย่อมไม่มีความคิดดีแต่อย่างใด
การที่ผมเสนอเงื่อนไขนี้ออกไปก็เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยากภายในใจนึกเสียดายทีหลัง
ผมเลือกที่จะเปลี่ยนมันเป็นเรื่องดีสำหรับผมก็คือการที่ผมได้เงินส่วนแบ่งจากการขายกำยานและธูปหอมสำหรับการสักการะ
เรื่องดีสำหรับผู้เยี่ยมชมและเหล่าภิกษุที่จำวัดอยู่ที่นี่ก็คือ การได้เคารพสักการะพระอจละได้เมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ
ไม่ถือว่าเป็นเรื่องธุรกิจแต่อย่างใด พวกท่านไม่คิดว่านี่เป็นความคิดที่ดีอย่างนั้นหรือ ทำไมล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“แต่นี่…” เจ้าอาวาส ปรมาจารย์เชิงหยานและคนอื่นๆที่อยู่โดยรอบในตอนนี้ต่างก็รู้สึกไม่เห็นด้วย
แต่พวกเขาก็รู้สึกว่าไม่ได้ไร้เหตุผลจนปฏิเสธออกไปได้ คำพูดของซูจิ้งไม่เพียงจะอ้างหลักธรรมคำสอนมาอ้างแล้ว
เขายังอธิบายชนิดที่หาข้อกังขาเสียไม่ได้ ตอบสนองความต้องการของทั้งสองฝ่าย ถือว่าได้ทั้งคู่
เอาจริงๆพวกเขาต่างก็เข้าใจดีว่าตราบใดที่พระอจละองค์นี้ประดิษฐานอยู่ที่วัดหลานเล่อแห่งนี้แล้วล่ะก็
ต่อให้ไม่ได้รับค่าขายกำยานเลยก็ถือว่าไม่ได้เสียอะไรซักนิด แค่พวกเขาได้เห็นเหล่าผู้มาเยี่ยมชมวัดได้คุกเข่าสักการะอยู่ที่หน้าประตูแบบก่อนหน้านี้พวกเขาก็รู้ในทันทีว่าพระอจละองค์นี้จะชื่อเสียงเลื่องลือไปแค่ไหน
นั่นหมายถึงการไหลเข้ามาของผู้เข้าเยี่ยมชมวัด ต่อให้เพิ่มค่ากำยานและเครื่องหอมเป็นสองเท่าแล้วได้ส่วนแบ่งแค่ 30 % แล้วล่ะก็ ยังไงก็ยังถือได้ว่ากำไรมากแล้วอยู่ดี
“เจ้าอาวาส หากท่านไม่เห็นด้วยล่ะก็ ผมเองก็คงได้แต่ต้องสร้างวัดใหม่ขึ้นมาซักที่หนึ่ง เชื่อว่าโดยพุทธนุภาพของพระอจละองค์นี้จะทำให้วัดนั้นสามารถเปิดได้โดยไม่มีปัญหาแต่ประการใด” ซูจิ้งพูดออกมา ในขณะที่เขานั้นยังไม่ได้มีท่าทีจะนำพระอจละออกไปแต่อย่างใด
“ได้โปรดช้าก่อนประสกซู โปรดให้เวลาตัดสินใจซักครู่” เจ้าอาวาสและปรมาจารย์เชิงหยานได้รีบหยุดซูจิ้งไว้ในทันที แล้วได้พูดต่อว่า “ประสกซู พวกเขาของประชุมกันก่อนได้หรือไม่”
“ได้ครับ แต่อย่านานนักล่ะ ผมเองก็ไม่ได้มีเวลามากนัก” ซูจิ้งหยักหน้ารับ
เจ้าอาวาส ปรมาจารย์เชิงหยานและคณะสงฆ์ต่างก็ทำการสวดมนต์กันต่อหน้าพระอจละ พวกเขาได้จ้องมองไปยังองค์พระด้วยสายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยศรัทธา และความตื่นเต้น ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ได้พูดคุยกันเพิ่มหาข้อสรุปด้วยเสียงอันเบาแสนเบา แม้แต่เหล่าพระลูกวัดและผู้เยี่ยมชมวัดเองก็พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
“เจ้าอาวาสและท่านปรมาจารย์จะยอมรึเปล่านะ”
“ไม่รู้เหมือนกันแหะ พวกเราไม่เคยเจอกับเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน”
“ฉันได้แต่หวังว่าเจ้าอาวาสจะเห็นด้วยนะ หวังว่าพระอจละองค์นี้จะได้ประดิษฐานอยู่ที่นี่”
“ฉันคิดว่าการที่ให้ประดิษฐานพระอจละองค์นี้ไว้ที่นี่โดยไม่ขยับไปไหนถือว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้นะ เจ้าอาวาสเองก็น่าจะเห็นด้วยเหมือนกัน หากนายไม่สังเกตุล่ะก็ทั่วทั้งวัดหลานเล่อแห่งนี้ไม่มีพระพุทธรูปองค์ไหนเลยนะเทียบได้กับพระอจละองค์นี้”
หลังจากผ่านไปเพียงพักเดียว เจ้าอาวาสและปรมาจารย์เชิงหยานก็เห็นด้วยกับซูจิ้ง
ปรมาจารย์เชิงหยานเองก็ได้พูดออกมาว่า “ประสกซูทางเราเห็นด้วยกับเงื่อนไขของประสกแล้ว”
พอถึงตอนนี้ทั้งเจ้าอาวาสและปรมาจารย์เชิงหยานไม่ได้แสดงท่าทีสุขุมอีกต่อไป พวกเขาแสดงออกมาด้วยท่าทางที่ปลาบปลื้มใจอย่างมาก
การแลกเปลี่ยนแบบนี้ ใครจะไปคิดว่าสามารถเกิดได้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับองค์พระอจละที่สามารถส่งผ่านความรู้สึกได้ประดุจดั่งมีชีวิตขนาดนี้
ตราบที่องค์พระอจละยังคงประดิษฐานอยู่ที่นี่ เสียสละไปเท่านี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว