Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 839
GGS:บทที่ 839 ผลลัพธ์ที่ได้จากการวาดภาพ
“อาจารย์เชิงครับ อาจารย์คิดว่าถ้าภาพเหล่านี้ขายออกไปพอจะมีคนต้องการซื้อพวกมันบ้างรึเปล่า
แล้วถ้าขายได้ มันน่าจะขายได้สักเท่าไหร่ครับ” ซูจิ้งถามออกมา ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เขาจะดูเหมือนคนร้อนเงิน
กับคนที่ต้องผลาญเงินไปกับการผลิตปฏิสสารเดือนๆหนึ่งเป็นหมื่นล้านแบบเขา ไม่ว่าอะไรที่หาเงินได้เขาก็จะทำ
การที่เขามาเรียนการวาดภาพเขียนพู่กันจีนนี้จริงๆแล้วก็มีเหตุผลหลักๆอยู่สองอย่าง
หนึ่งเพื่อประโยชน์ในการบ่มเพาะร่างกาย จิตใจ และช่วยให้เขาเข้าใจในแนวคิดแห่งพุทธศิลป์มากยิ่งขึ้น(รับรู้ความรู้สึกที่แฝงไว้ในวัตถุทางศาสนาพุทธมากขึ้น) และอีกหนึ่งคือการหาเงินนี่แหล่ะ
“แน่นอนว่าย่อมต้องมีคนซื้อ แต่ส่วนเรื่องราคานี่ก็ค่อนข้างจะพูดยากนะ ถ้าจำไม่ผิดงานภาพวาดพู่กันจีนที่มีระดับใกล้เคียงกับระดับงานของนายรู้สึกว่าจะขายได้…”
เชิงกูยี่ได้ชี้ไปยังงานภาพเมืองจงหยุนที่ซูจิ้งวาด และได้พูดต่อว่า “ถ้าฉันจำไม่ผิดนะสำหรับงานชิ้นนี่คงจะอยู่ที่ราวๆ หนึ่งแสนหยวนเป็นอย่างน้อย”
หลังจากนั้นเขาได้ชี้ยังภาพวาดรูปฉือชิงและพูดออกมาว่า “ชิ้นนี้ ฉันรับประกันได้เลยว่าเกินกว่า 2 ล้านหยวนแน่นอน ดีไม่ดีอาจจะถึงสามล้านเลยก็ได้ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นกับว่าจะมีพวกคนรวยๆที่สนใจภาพแนวนี้เยอะรึเปล่าอีกล่ะนะ หากมีเยอะหน่อยราคาก็น่าจะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก ขึ้นอยู่กับสถานการณ์”
“เฮ้ออออ ได้แค่นั้นเองหรอครับ” ซูจิ้งถอนหายใจออกมาสื่อให้เห็นถึงความผิดหวังอย่างมาก
เชิงกูยี่ เชิงชิเหยา ฮวงจิงฮง จูหยัน และชายวัยกลางคนอีกสองคนแทบจะรู้สึกสับสนไปพร้อมกัน
ภาพขนาดเล็กเพียงแค่สามไม่สิสี่ฟุตแบบนี้แต่สามารถขายได้ถึงหนึ่งแสนหยวน หากเป็นพวกเขาก็แทบจะถือได้ว่าประสบความสำเร็จในชีวิตด้านนี้ได้แล้ว นี่แทบไม่ต้องพูดถึงการขายได้ในหลักล้านเลยนะ
ด้วยราคาพวกนี้ก็เทียบได้กับงานขายชิ้นงานธรรมดาของเหล่าปรมาจารย์ด้านภาพวาดพู่กันจีนได้แล้วด้วยซ้ำ
“นี่ก็ราคาสูงแล้วนะ ยังไม่ดีพออีกหรอ” เชิงชิเหยาถามออกมาด้วยท่าทางเหลือกตามองซูจิ้ง
“อย่าพูดถึงหลักล้านเลย ถ้าเป็นงานเขียนของฉันล่ะก็ได้หนึ่งหมื่นหยวนแทบจะบอกได้ว่าฉันกำลังฝันไปเลยด้วยซ้ำ”
จูหยันเองพูดออกมาด้วยความอิจฉา อิจฉาเสียยิ่งกว่าอิจฉา อิจฉาจนเริ่มเกลียดความอัจฉริยะของซูจิ้ง หรือนั่นก็คือเธอนั้นอิจฉาตาร้อนนั่นเอง
ลองคิดดูว่าหากงานที่เธอเขียนนั้นใช้เวลาสามวันแล้วขายได้หนึ่งหมื่นหยวนต่อชิ้น
แค่เพียงหนึ่งเดือนเธอก็ได้หนึ่งแสนแล้ว ไม่สิต่อให้เป็นห้าวันต่อหนึ่งขึ้นเลยก็ได้ แค่เดือนละหกหมื่น สำหรับเธอก็ถือได้ว่ามีอนาคตในวงการนี้แล้ว
ซูจิ้งเกาจมูกตัวเองหลังจากที่ทำใจเรื่องราคาภาพเขียนของเขาได้แล้ว
มันก็จริงที่สำหรับคนทั่วไปแล้วราคาตามที่เชิงกูยี่ว่ามาถือได้ว่าสูงเกินพอแล้ว
ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องเล่นกันแบบติดตลกในวงการงานศิลป์อยู่ว่าถ้าอย่าให้งานตัวเองขายได้ในหลักล้านก็จงไปตายซะ อย่างเช่นงานของ ฉิไบชิ เจิ้งเป่าเฉียว แวนโก๊ะ และดาวินชี่ ทุกคนเหล่านี้ตอนที่มีชีวิตอยู่นั้น งานของพวกเขาขายได้ซักเท่าไหร่กัน
เหตุผลที่งานของศิลปินเหล่านี้มีราคาสูงเมื่อตายไปแล้วมันกี่ปัจจัยอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเวลา วัฒนธรรม แต่ที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดนั่นก็คือ เมื่อพวกเขาตายไปแล้ว ก็จะไม่มีงานศิลป์ของพวกเขาออกมาได้อีก
งานศิลป์เหล่านั้นจะถือได้ว่าเป็นงานที่ไม่มีอีกแล้วในโลกนี้ เมื่อชิ้นงานเหล่านั้นมีจำนวนอยู่จำกัด การที่มีความต้องการที่สูงขึ้นและยอมแก่งแย่งกันก็เป็นเรื่องธรรมดา
มันก็พอมีอยู่บ้างที่งานศิลป์บางส่วนขายได้ราคาสูงในขณะที่พวกเขามีชีวิตอยู่ แต่เรื่องนั้นก็เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการค่าเพียงงานศิลป์ชิ้นเล็กๆของซูจิ้งจนได้ราคาในหลักล้านจึงถือได้ว่าเป็นเกียรติยศสำหรับศิลปินในยุคนี้
อย่างไรก็ตามแล้ว สำหรับซูจิ้งนั้น การได้เงินเพียงหลักล้านนั้นถือได้ว่าเล็กน้อยมากๆเมื่อเทียบกับเงินที่เขาต้องใช้ไปในแต่ละเดือน
แถมงานที่ถูกประเมินว่าดีที่สุดก็คือภาพวาดรูปฉือชิงที่ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงในการวาด ต่อให้เขาจัดสรรเวลาดียังไงก็ควรวาดได้เพียงสองรูปต่อวันเท่านั้น
นั่นก็หมายความว่าเขาต้องเหนื่อยไปกับการวาดรูปไปถึง 6 ชั่วโมง เพียงเพื่อเงินไม่กี่ล้าน ช่างไม่คุ้มค่าเอาซะเลย
และเขาก็รู้ดีว่าเขายังจำเป็นที่จะต้องพัฒนาฝีมือในด้านนี้ขึ้นอีก เพราะเขาเคยได้เห็นรูปภาพวาดสาวงามที่สุดยอดมาแล้ว แน่นอนว่าเขานั้นไม่มีเวลามากพอในการมานั่งหาเงินด้วยเรื่องพวกนี้ได้
อีกอย่าง เขานั้นสามารถหาเงินได้มากกว่านี้โดยใช้เวลาที่เท่ากันหากเขานั้นไปทำอย่างอื่น ยกตัวอย่างเช่นตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงของมู่หลงฉิน เพียงเขานำภาพเขียนพู่กันจีนที่ได้จากห้วงเวลาฯDesolate Era
ขนาดงานภาพชิ้นนั้นยังดีไม่เท่าตำราสาวงามที่เขาได้มา แต่กลับขายได้อย่างน้อยๆ 10 ล้านหยวน แทบจะในทันที
หากเขาต้องใช้เวลาไปเกือบครึ่งวันเพียงเพื่อเงินแค่สองสามล้านหยวนล่ะก็ เขาทำแบบเดิมๆตามที่เขาเคยทำมาดีกว่า
“จะยังไงก็ช่างเถอะ แต่ว่านะคุณซู แล้วภาพนี้ล่ะ” เมื่อเชิงชิเหยาชี้ไปที่ภาพของเธอ ซูจิ้งก็ทำได้เพียงยิ้มแหยๆออกมาก่อนจะพูดมาว่า
“ฮ่าฮ่า ถ้าเธออยากจะขายก็ได้นะ เพราะยังไงซะนี่ก็เป็นภาพวาดที่มีเธอเป็นแบบ
แต่หากเธอไม่อยากจะขายมันและยอมให้ฉันเป็นคนตัดสินใจล่ะก็ อืมมม…งั้นฉันก็คง…”
ซูจิ้งหยุดพูดไปเล็กน้อยก่อนที่จะเดินเข้า ม้วนภาพ และจับมีของเชิงชิเหยาแล้วยัดเยียดม้วนภาพนี้ไว้บนมือเธอก่อนจะพูดต่อว่า “ให้เธอไปแล้วกัน”
“ให้ฉันหรอ?” เชิงชิเหยายืนนิ่งไปในทันที
“ถ้าเธอไม่อยากได้ล่ะก็…” ซูจิ้งพูดพลางทำท่าว่าจะดึงม้วนภาพกลับออกมาจากมือของเชิงชิเหยา
“ขอบคุณค่ะคุณซู” เชิงชิเหยารีบดึงมือที่มีม้วนภาพอยู่ในมือออกให้ห่างมือของซูจิ้งที่กำลังทำท่าจะคว้ารูปวาดตัวเธอในทันทีพร้อมยิ้มหวานๆออกมาเล็กน้อย
ตอนนี้เธอนั้นรู้สึกตัวแล้วว่าเหมือนจะดีใจจนออกนอกหน้าไปหน่อยจนเริ่มหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย
ฮวงจิงฮงเองเมื่อเห็นฉากนี้ต่อหน้าต่อตาก็อดไม่ได้ที่จะปวดใจ เขาเองก็เคยวาดรูปของชิเหยาให้เธอด้วยเหมือนกัน แต่ในตอนนั้น ชิเหยารับภาพของเธอไปเฉยๆ ไม่ได้มีท่าทางเอียงอายน่ารักน่าหยิกแบบนี้เลยซักนิด
จูหยันเองที่กำลังมองซูจิ้งอยู่ในตอนนี้ก็อยากจะพูดออกมาเหมือนกันว่าเธอเองก็อยากได้บ้าง
แต่ก็อีกนั่นแหละ ซูจิ้งนั้นไม่มีทางรับรู้ถึงความรู้สึกนี้ได้และไม่ได้ให้อะไรเธอไปเลย
“อาจารย์เชิงครับ ภาพนี้ผมยกให้อาจารย์ครับ” ซูจิ้งได้ม้วนภาพเขียนเมืองจงหยุนที่เขาวาดเมื่อครู่นี้ก่อนที่จะส่งให้เชิงกูยี่ในทันที
“ฉันว่าไม่ดีนะ” เชิงกูยี่นั้นไม่ใช่ว่าไม่ชอบภาพนี้หรอก แต่ในสายตาของเขานั้นภาพนี้มีคุณค่ามากเกินกว่าที่เขาจะรับมาได้
“อาจารย์เชิงครับ อาจารย์ได้ช่วยประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้กับผมโดยไม่มีการเก็บงำเอาไว้แม้แต่น้อย
อีกทั้งยังคอยชี้แนะผมเวลาที่ผมต้องการความช่วยเหลือเป็นอย่างดี แค่เพียงสองเรื่องนี้ผมก็ไม่รู้ว่าจะตอบแทนอาจารย์ได้ยังไงแล้ว
เอาจริงๆแล้วการให้ภาพเขียนนี้กับอาจารย์ไปนั้นแทบจะไม่ได้เสี้ยวของบุญคุณที่ผมสมควรจะตอบแทนอาจารย์เลยด้วยซ้ำ
หรืออาจารย์จะบอกว่าภาพวาดของผมที่เป็นลูกศิษย์ไม่มีค่าพอที่จะให้อาจารย์เก็บเอาไว้ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ช่างมันเถอะครับ” ซูจิ้งพูดออกมาพลางแกล้งทำสีหน้าเศร้าหมองแบบจงใจให้รู้ว่าแกล้งทำ
“แหม่… ไอ้เด็กนี่ หากพูดมาซะขนาดนี้ ถ้าฉันไม่รับก็คงไม่ได้แล้วสินะเนี่ย เฮ้อ…”
เชิงกูยี่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของซูจิ้งก็เกือบจะตกใจไปแล้ว แต่พอเขาเห็นใบหน้าทีเล่นทีจริงของซูจิ้ง เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะเล่นกับซูจิ้งไปด้วย
เขารับภาพเขียนมาด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข กองที่จะกางภาพเขียนดูใกล้ๆอีกทีหนึ่ง
ชายวัยกลางคนทั้งสองคนในตอนนี้ทำได้เพียงแอบถอนหายใจอยู่ภายในใจ ตอนนี้พวกเขาคงหาโอกาสคุยโวเกทับเชิงกูยี่ในเรื่องลูกศิษย์ได้อีกต่อไปแล้ว ใครจะไปคิดว่าอยู่ๆกูยี่จะมีลูกศิษย์ที่เก่งกาจราวกับปีศาจแบบนี้ออกมาได้กัน แถมดูๆไปแล้ว เขานั้นน่ายังพัฒนาต่อไปได้อีกด้วย
“คุณซู แล้วคุณจะทำยังไงกับงานภาพชิ้นอื่นเหรอคะ ถ้าคุณต้องการขายจริงๆฉันคิดว่าคุณน่าจะขอคนที่เป็นแบบซะก่อนนะว่ายอมให้ขายได้รึเปล่า หรือว่าคุณจะมอบให้พวกเธอเหมือนกัน” เชิงชิเหยาชี้ไปที่ภาพสาวงามที่เหลือพลางให้ไปมองซูจิ้งด้วยความสงสัย
“อืมมมม พบคงต้องขอคิดดูก่อนเหมือนกันล่ะว่าจะเอายังไงดี” ซูจิ้งเองได้พูดพร้อมทำท่าหนักใจออกมา
เชิงชิเหยายิ้มออกมาเล็กน้อยและไม่ได้ถามอะไรซูจิ้งอีกต่อไป พวกเขาได้อยู่คุยกับซูจิ้งอีกเล็กน้อยก่อนที่จะพากันกลับออกไป
ในใจของทุกคนในตอนนี้ต่างก็เห็นไปในทางเดียวกันว่า พวกเขาได้เป็นสักขีพยานในการกำเนิดของยอดอัจฉริยะด้านการวาดภาพพู่กันจีนเรียบร้อยแล้ว
และนี่ย่อมหมายถึงว่า งานศิลป์ในด้านนี้ต้องถูกยกระดับขึ้นโดยซูจิ้งอย่างไม่ต้องสงสัย
เชิงชิเหยานั้นไม่ได้ตรงกับไปที่ชั้นเรียนของพ่อของเธอทั้งๆที่ตามแผนแล้ววันนี้เธอต้องไปเข้าร่วมชั้นเรียน แต่เธอเลือกที่จะไปบริษัทซือหยาแทน
ในช่วงตอนเย็น ที่บริษัทซือหยาโดยปกติแล้วจะเป็นช่วงที่ต้องเตรียมการจัดพิมพ์และเผยแพร่สื่อโฆษณาเกี่ยวกับชุดเสื้อคอลเลคชั่นใหม่ โดยในวันนี้จะเป็นการให้นางแบบสวมชุดใหม่และถ่ายรูปเพื่อลงโฆษณาเหล่านี้
เมื่อเชิงชิเหยาได้เดินขึ้นบันไดไป เธอได้นำรูปของเธอไปจัดวางไว้ในห้องของที่ในสำนักงาน
เพื่อนร่วมงานของเธอที่ทำงานด้วยกันอยู่นั้นจบการออกแบบมา แถมยังถือได้ว่าเป็นนักออกแบบที่ฝีมือเลยก็ว่าได้
โดยปกตินั้นเธอจะมีหน้าที่ในการตกแต่งงานในส่วนกรอบรูป และผลงานของเธอที่ทำออกมาในแต่ละครั้งก็สวยงามและดูทันสมัยอยู่เสมอ
ที่เธอมาที่นี่ในตอนนี้ก็เพราะว่าจะให้เพื่อนของเธอช่วยหากรอบรูปที่เหมาะสมกับภาพเหมือนของเธอ
“ชิเหยา ทำไมวันนี้เรียนเสร็จเร็วจังล่ะ” หวังซือหยาที่ได้เห็นสาวน้อยผิวขาวราวกับหิมะสะท้อนเข้าตาเดินผ่านมาจึงได้ทักไป
“ใช่แล้วล่ะ วันนี้เลิกเร็วนิดหน่อยน่ะ” เชิงชิเหยาได้พูดออกไป
“ในเมื่อเธอมาแล้วก็เริ่มงานกันเร็วหน่อยก็แล้วกัน รีบๆถ่ายงานจะได้เสร็จเร็วๆ” หวังซือหยาพูดออกมา
“ก็ได้นะ แต่ก่อนหน้านั้นฉันขอจัดการเจ้านี่ก่อนแล้วกันนะ” ชิเหยาพูดตอบซือหยาไปพลางควงภาพในมือของเธอไปมาอย่างสบายอารมณ์
“นั่นคือ?” หวังซือหยาถามออกมามาด้วยความสงสัย เหล่าสาวๆที่อยู่รอบๆเองก็สงสัยไม่ต่างกันว่าอะไรที่ทำให้สาวสวยคนนี้อารมณ์ได้ขนาดนี้
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆนะ” เชิงชิเหยานั้น ทันทีที่รู้ตัวว่าพลาดแล้วที่ทำท่าทางแบบเมื่อสักครู่ออกไป เธอในตอนนี้พยายามรีบหาวิธีแก้สถานะการณ์ตรงหน้าให้เร็วที่สุด
“จริงอ่ะ แต่เธอแก้มแดงแล้วนา มีผู้ชายให้มาใช่รึเปล่าเนี่ย ไหนดูสิว่ามันคืออะไร พวกเราก็คนกันเองเรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องปิดบังกันเลยน่า..” หวังซือหยาพูดพลางเตรียมตัวเข้าไปแย่งของที่อยู่ในมือของเชิงชิเหยามาเปิดดู
“มันก็แค่ภาพเหมือนเองน้า ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก” ชิเหยาในตอนนี้เห็นท่าไม่ดีแล้ว เธอนั้นค่อยกระเถิบถอยหลังไปอย่างช้าๆ
“ถ้าเป็นแค่ภาพเหมือนจริงล่ะก็ จะเอาออกมาโชว์ให้พวกเราเห็นสักหน่อยไม่ได้เลยหรอจ้ะ” หวังซือหยายิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนที่เธอนั้นจะค่อยๆก้าวกระเถิบตามเชิงชิเหยาไปอย่างช้าๆ
“ใช่แล้วใช่แล้ว ถ้าไม่มีอะไรจริงๆพวกเราก็ต้องเห็นได้ซี่…” สาวๆคนอื่นเองที่เริ่มเห็นเรื่องน่าสนุกอยู่ตรงหน้าก็อดไม่ได้ที่จะผสมโรง ตอนนี้พวกเธอก้าวเข้าหาเชิงชิเหยาแทบจะในทุกทิศทางแล้ว
“ช่ายยยย เธอไม่เห็นต้องปิดบังอะไรเลยนี่ ภาพเหมือนของอะไรล่ะ พระเจ้า พระพุทธองค์ ภาพเปลือย ของเธอกันจ้ะ ชิเหยาจ๋า… ที่น่าสงสัยที่สุดคือท่าทางของเธอที่ทำอยู่นี่แหล่ะน้า…” สาวน้อยอีกคนหนึ่งก็ได้หรี่ตามองชิเหยาราวกับว่าเป็นหนุ่มน้อยนักสืบก็ไม่ปาน
“อย่าพูดไร้สาระน่า” เชิงชิเหยาในตอนนี้เริ่มโวยวายกระทืบพื้นด้วยความอายเรียบร้อย
ตอนนี้เธอกลัวว่าเพื่อนของเธอทุกคนนั้นจะคิดว่าภาพที่อยู่ในมือนี้เป็นภาพเปลือยของเธอจริงๆ
จึงได้เผลอเปิดภาพเหมือนของเธอให้ทุกคนดูด้วยความฉุนเฉียว ก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาว่า “นี่ ดูนี่สิ ก็แค่ภาพเขียนธรรมดาเอง ฉันไม่ได้คิดสกปรกแบบเธอว่าซักหน่อย”
หวังซือหยาและสาวๆคนอื่นๆเมื่อเห็นภาพที่ชิเหยาถือแล้ว ต่างก็มองหน้ากันก่อนที่จะหันไปเพ่งภาพเหมือนของชิเหยาแบบไม่วางตาและด้วยสายตาที่ตื่นตาจนเบิกโพลง
“ว้าววววว สวยจัง”
“สวยมากเลยล่ะ สวยกว่าชิเหยาตัวจริงซะอีก”
“ชิเหยา ถ้ามีผู้ชายที่ไหนวาดภาพนี้ให้ฉันล่ะก็ ฉันยินดีที่จะตกลงปรงใจแต่งงานจนตายตกตามกันไปเลยนะ”
“ชิเหยา ภาพนี้นี่ใครวาดให้เธออ่ะ พวกเรารู้จักเขารึเปล่า”
หวังซือหยาและสาวๆคนอื่นๆตอนนี้ดวงตาของพวกเธอถูกเติมเต็มไปด้วยความประหลาดใจ และอิจฉาริษยาจนสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า