Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 842
GGS:บทที่ 842 รูปพระพุทธ
ซูจิ้งลองตรวจค่าการใช้ประโยชน์ของสถานีการจัดขยะห้วงเวลากาลอวกาศของเขาดู ทันทีที่เห็นเขาแสยะยิ้มออกมาอย่างมีความสุขจนต้องพูดลอยๆออกมาว่า
“จริงๆด้วย แม้แต่ภาพวาดของฉันก็ยังเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์ได้” ถึงแม้ว่าซูจิ้งจะเรียนรู้การวาดภาพพู่กันจีนมาจากเชิงกูยี่ก็จริง
แต่ซูจิ้ง ได้ใช้หลักการวาดภาพสาวงามที่เขาเรียนรู้มาจากตำรารวมภาพสาวงามที่เขาได้จากห้วงเวลาฯDesolate Era
ถึงแม้ว่าด้วยฝีมือของเขานั้นจะดูขี้ริ้วขี้เหร่กว่าบรรดาสาวงามที่ถูกวาดเอาไว้ในตำราก็ตาม ซึ่งโดยปกติแล้วต่อให้วาดตามจริงๆก็สมควรจะได้ค่าการใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้นมามากมายอะไรนัก
ซูจิ้งเล็งเห็นปัญหานี้ดีเขาจึงผนวกเขากับสิ่งที่พบสมุดบันทึกที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯเทพตะวันตกเข้าไปด้วย
เอาจริงๆถ้าเขานำแค่ความรู้ที่เขาเรียนมาจากเชิงกูยี่อย่างเดียว ไม่มีทางที่จะวาดรูปออกมาได้ระดับสูงขนาดนี้แน่นอน
แต่ที่สุดแล้วยังไงซะความรู้ที่เขาได้จากสมุดบันทึกเล่มนั้นเองเขาก็ทำความเข้าใจได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น ค่าการใช้ประโยชน์ที่เขาคาดหวังในตอนแรกจึงคิดว่าไม่ได้มามากนัก
“การวาดรูปนี่ดีจริงๆ นอกจากฉันจะได้เข้าใจแนวคิดในสิ่งต่างๆแล้ว ฉันยังได้เงิน และค่าการใช้ประโยชน์อีกด้วย
ถือว่าเป็นเรื่องดีจริงๆที่ตัดสินใจเรียนเอาไว้ ยังไงก็เถอะ ระดับการวาดภาพของฉันยังต่ำโคตร ถ้าหากอยากจะพัฒนาด้านนี้จริงสงสัยต้องเรียนรู้และวาดอย่างอื่นดูบ้างแหะ”
พอซูจิ้งพูดเสร็จเขาก็หันไปสนใจข้อความความเห็นที่ขึ้นอยู่ใต้โพสต์ที่เขาลงรูปสาวงามเอาไว้ทันที
มีบางข้อความขอให้เขาวาดรูปให้และยินดีที่จะยอมจ่ายค่าตอบแทนให้ในราคาสูงแล้วแต่ซูจิ้งจะเสนอ
ซูจิ้งเองเมื่อเห็นข้อความทั้งหลายแล้วเขาจึงได้โพสไว้ใต้โพสภาพวาดสาวงามไปว่า “หากต้องการจะให้ผมวาดรูปให้จริงๆ
ผมก็ขอคิดที่ห้าแสนหยวนต่อรูปแล้วกัน เพียงส่งรูปถ่ายหรือวีดิโอของคุณมา และต้องไม่ใช่รูปและวีดิโอที่ตกแต่งมาแล้วแต่อย่างใด ใครส่งมาให้ก่อนผมก็วาดให้คนนั้นก่อน”
เพียงสิ้นสุดข้อความนี้ ชาวเน็ตก็พูดคุยเรื่องนี้ต่อไปอย่างรวดเร็ว
“แพงมากอ่ะ รูปๆเดียวตั้งห้าแสนหยวนแน่ะ”
“ภาพดีก็จริงแต่ไม่แพงไปหน่อยหรอ ตั้งครึ่งล้านเลยนะ”
“แพงเหรอ นายก็เห็นนี่ว่าก่อนหน้านี้มีคนเสนอค่าตอบแทนให้ซูจิ้งเริ่มต้นที่ห้าแสนหยวนเลย
ฉันกลัวแต่ว่าเวลาผ่านไปเขาจะไม่ยอมวาดต่อให้เสนอค่าตอบแทนห้าแสนหยวนนี่ด้วยซ้ำ พวกเรามันจนล่ะนะก็คงได้แค่ดูได้อยู่ห่างๆอย่างเดียว”
“เอาจริงๆนะ ฉันว่าพี่จิ้งจะเริ่มที่ห้าสิบล้านหยวนก็ยังได้ ไม่ต้องเหนื่อยมากด้วยวาดแค่คนสองคนก็พอแล้ว
แต่นี่พี่จิ้งเขายอมวาดด้วยเงินแค่ห้าแสนหยวนเองนะ ฉันว่านี่ก็ถูกมากแล้วล่ะ”
“จริงด้วย ฉันก็อยากได้มั่งจัง”
ถึงแม้ชาวเน็ตจะเพิ่งพูดถึงไปเพียงไม่เกินสิบนาที ก็มีคำขอให้ซูจิ้งไปกว่าสิบคำขอแล้ว หลังจากผ่านไปชั่วโมงเดียวซูจิ้งมีคำขอมากกว่าหนึ่งร้อยคำขอ และหนึ่งในนั้นต้องการสิบรูป
เหตุการณ์นี้ทำให้หลายๆคนค้นพบว่า ในสังคมของเขานั้นมีคนรวยแฝงตัวอยู่มากกว่าที่ทุกคนคิด
หลายๆคนเองก็ได้เริ่มจินตนาการเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูเหมือนกัน สมมติว่าวาดภาพๆหนึ่งด้วยราคาห้าแสนหยวน หากต้องวาดหนึ่งร้อยรูปก็จะได้เงินกว่าห้าสิบล้านหยวน
เพียงนึกตามนี้หลายๆคนก็แทบอยากจะออกไปเรียนรู้การวาดภาพเขียนพู่กันจีนแบบซูจิ้งบ้างในทันทีเพราะหาเงินได้เยอะมาก
แต่ก็อีกนั่นแหละ ผู้คนส่วนใหญ่เองก็รับรู้แต่สิ่งที่อยากจะเห็นเท่านั้น ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยสักนิด
ในการก้าวเดินไปบนเส้นทางที่เรียกกันว่าวิถีชีวิตนั้น ผู้คนต่างก็มุ่งหวังไปที่จะไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดเหนือกว่าใครๆในสังคมทั้งในด้านชื่อเสียงและเงินทอง
แน่นอนว่าการจะขึ้นไปอยู่เหนือผู้ใดได้ก็จำเป็นที่จะต้องมีคนที่กินได้เพียงแค่เศษขนมปังและน้ำซุปไปวันๆแค่นั้นเอง
ในวงการภาพเขียนพู่กันจีนเองก็ไม่ต่างกัน หลายๆคนทำได้เพียงวาดภายเขียนเหล่านี้เป็นงานอดิเรกเท่านั้น บางคนที่ใจรักแต่ก็ไม่มีปัญญาแม้แต่จะซื้ออุปกรณ์เลยก็มีอยู่มากมาย
การที่ภาพเขียนของซูจิ้งขายได้ราคาแพงนั้น นั่นไม่ได้มาเพียงเพราะเขานั้นสามารถวาดภาพได้สวยวิจิตรพิศดารเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่ราคาที่สูงกว่าปกตินี้ยังมาจากชื่อเสียงที่เขาสั่งสมมาช่วยเสริมหนุนให้ราคาพุ่งเกินไป
หลังจากที่ซูจิ้งได้รับคำขอมาแล้ว เขานั้นยังไม่ได้เริ่มวาดในทันทีแต่อย่างใด
เขาได้ทำการทบทวนบทเรียนทั้งหมดที่เขาได้ซึมซับเอาไว้ในช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่ได้เรียนรู้
นอกจากนั้นเขายังได้นำสมุดบันทึกที่ได้มาจากห้วงเวลาฯเทพตะวันตกมาเปิดดูอย่างช้าๆ อ่านตั้งใจ ตั้งแต่ต้นจนจบ หลังจากนั้นเขาจึงได้เปิดดูรูปและวีดิโอของคำขอแรก
คำขอแรกนี้ต้องการให้วาดภาพผู้หญิงคนหนึ่งที่อายุประมาณ 30 ปี น่าตาพอใช้ได้ ที่น่าจะกำลังใส่ชุดกระโปรงยาวอยู่
หลังจากสังเกตทุกอย่างแล้ว ซูจิ้งได้ทำการวาดภาพโดยไม่ได้หันกลับไปมองรูปภาพของเธออีก
เพียงไม่ถึงยี่สิบนาทีดี ภาพวาดของเธอก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว
ความเร็วของซูจิ้งในตอนนี้ยังเร็วกว่าตอนที่แสดงให้เชิงกูยี่และเชิงชิเหยาดูมากมายนัก
ถ้าพวกเขามาเห็นล่ะก็ต้องอึ้งจนทำอะไรไม่ถูกไปพักใหญ่อย่างแน่นอน
หลังจากวาดภาพแรกเสร็จไปแล้ว ซูจิ้งได้วาดภาพอื่นต่อในทันที โดยภาพที่สองเร็วกว่าภาพแรก ภาพที่สามเร็วกว่าภาพที่สอง หรือจะกล่าวได้ว่ายิ่งซูจิ้งวาดภาพเหมือนเหล่านี้มากเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งวาดได้เร็วขึ้นเท่านั้น
และถึงแม้ว่าเขาจะวาดได้เร็วขนาดนี้ แต่คุณภาพงานของเขานั้นไม่ได้ลดทอนลงไปเลยซักนิด
ที่เขารับวาดภาพแบบนี้ไม่ใช่เพียงเพราะต้องการได้รับเงินอย่างเดียวเท่านั้น
เขาต้องการใช้วิธีการนี้ในการฝึกฝนฝีมือของตัวเองไปด้วย
ถึงแม้ว่ารูปเหล่านี้จะไม่ได้งดงามเท่ากับรูปของฉือชิงก็ตาม
ยังไงซะเมื่อเทียบกับภาพวาดของเชิงชิเหยาแล้ว คุณภาพของภาพพวกนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย
หลังจากวาดไปได้ยี่สิบภาพวาด ซูจิ้งก็ได้หยุดมือลง เขาเมื่อจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
เขายังคงนั่งลงอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้ขยับไปไหน หลังจากนั้นซูจิ้งจึงได้วาดภาพต่อไป
คราวนี้เขานั้นไม่ได้วาดภาพตามคำสั่งที่เขาได้รับมา ซูจิ้งได้วาดภาพของรูปปั้นที่เขาเก็บมาได้จากขยะห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ เขาได้คร่ำเคร่งในการวาดรูปนี้ไปกว่าสองชั่วโมงจึงได้เสร็จสิ้นลง
หลังจากเปรียบเทียบคุณภาพกับภาพวาดของฉือชิงแล้วกลายเป็นว่าภาพนี้กลับสวยงามยิ่งกว่าภาพของฉือชิง ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งความรู้สึกและแก่นแท้ของภาพยังให้ความรู้สึกดีกว่ามาก
ถึงแม้ว่าคนทั่วไปหากมองผ่านๆอาจจะไม่ได้สังเกต แต่เมื่อเทียบกันแล้วจะพบว่าภาพนี้กับภาพวาดเหมือนฉือชิงนั้นอยู่คนละระดับกันเลย
ซูจิ้งไม่ได้วาดสาวงามต่อ ตอนนี้เขาได้นำหัวใจพระสูตรและพระพุทธฉบับต้นตำหรับออกมา เขาจ้องมองอย่างตั้งใจไปซักพักก่อนที่จะเริ่มการคัดลอก
ฉบับแรกซูจิ้งล้มเหลวกลางทาง
ฉบับที่สองล้มเหลว
ฉบับที่สามล้มเหลว
จนกระทั่งในฉบับที่สี่ ในที่สุดซูจิ้งก็เข้าใจแนวคิดที่แฝงเอาไว้ในหัวใจพระสูตรและพระพุทธจนได้ และเขาก็ได้ทำการคัดลอกออกมาได้ในที่สุด
ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับต้นฉบับเลยก็ตาม แต่ฉบับที่ซูจิ้งคัดลอกออกมาสำเร็จนี้ยังดีกว่าฉบับที่ขายให้ซุนหยูเฮงมากมายนัก
ขนาดฉบับคุณภาพต่ำขนาดนั้นยังขายได้เป็นล้านเลย
แน่นอนว่าฉบับนี้ เขาจะต้องขายได้มากกว่าหลายเท่าอย่างแน่นอน แต่เขาก็ตั้งใจว่าจะไม่วาดออกมามากเกินไปนัก ไม่งั้นราคาคงจะตกลงตามกลไกราคา
แต่ก็ยังมีอีกวิธีทีจะวาดออกมาได้หลายรูปเพียงขายทำเงินนั่นก็คือการวาดพระพุทธในรูปปางต่างๆ
เช่นเดียวกับรูปเหมือนที่เขาได้วาดเอาไว้ แต่ละคนก็มีความแตกต่างกันไป ทั้งรูปร่าง ท่าทาง นั่นทำให้แต่ละภาพถือได้ว่ามีเพียงหนึ่งเดียว และนั่นไม่ได้ทำให้ราคาค่าวาดภาพของเขานั้นลดลงรวดเร็วนัก
ในตอนที่ซูจิ้งได้ให้เสี่ยวไป๋(หนูขาวหนึ่งเดียวผู้มีสแตนด์)ซ่อมแซมตำราทางพทุธทั้งหลายนั้น
เมื่อเขามาดูทีหลังก็พบว่า มีบางแผ่นที่มีรูปพระพุทธที่อยู่ในรูปปางต่างๆกันไปหลายปาง ต่อให้ไม่มีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะของเขา แต่อย่างน้อยๆก็น่าจะนำมาเป็นแบบในการวาดภาพของเขาได้เป็นอย่างดี
รูปพระพุทธปางแรกมีใบหน้าสามหน้าหกมือสองมือบนกำลังยกภูเขา สองมือล่างหยิบแผ่นหนังขึ้นมาอ่าน และสองมือกลางได้จับกระบี่เอาไว้ทั้งสองมือ มีผ้าปิดตาหนึ่งข้าง มีทรงผมตั้งตรงราวกับกองเพลิง หน้าผากสะท้อนแสงท้าทายสวรค์ ราวกับว่าเป็นโรโรโนอาโซโลเวอร์ชั่นแดนมิคสัญญีก็ว่าได้
แม้ดูเผินๆแล้วจะคล้ายกับองค์พระอจละก็ตามแต่ก็ไม่ได้เหมือนซะทีเดียว แต่ภาพนี้ให้ความรู้สึกในการเยียวยาจิตใจมากกว่าพระอจละที่ปัดเป่าความคิดเลวร้ายที่อยู่ในจิตใจ
รูปพระพุทธปางที่สองนั้นมีกายที่เต็มไปด้วยสีน้ำเงินและเข้มไล่ไปจนเกือบดำ
มีใบที่โกรธเกรี้ยวราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ทั้งหมดหกใบหน้า หกมือ และหกเท้า
องค์พระนั่งอยู่บนอาสนะอย่าขมึงขึงขัง พร้อมทั้งแบกเปลวไฟอยู่กลางหลัง
มือแต่ละข้างถืออาวุธที่แตกต่างกันไปได้แก่ หอก ง้าว ธนู ดาบ ไม้เท้า ลูกศร แส้เหล็ก และอาวุธอื่นๆ ดูดุดันราวกับผู้รักษากฎเกณฑ์แห่งสวรรค์ โลก และนรกภูมิ
นี่สมควรเป็นองค์พระวิทยาราชา(พระวิทยาราช,เมียวโอ,ราชาแห่งความหวาดกลัว)
พระวิทยาราชาเป็นองค์พระที่สั่งสอนเกี่ยวเรื่องของกงกรรมกงเกวียนและจิดวิญญาณไร้สิ้นสุด
ใครก็ตามที่ปฏิเสธการรู้แจ้งจะถูกบังคับด้วยความน่าเกรงขามจนต้องหวาดกลัวจนกว่าจะรู้แจ้งได้ ด้วยการแสดงใบหน้าที่โกรธจนผู้นั้นเกรงกลัวจึงต้องรีบรู้แจ้งให้จงได้
ใช้ความโกรธข่มขู่จนทำให้ผู้คนหวาดกลัวไม่กล้าหลงผิดไปกับอำนาจมัวเมาของภูติผีปีศาจและวิญญาณร้ายไปในทางที่ผิดออกไปจากวิธีแห่งพุทธ
ในราชวงศ์หมิงนั้นพระวิทยาราชาได้ชื่อว่าเป็นองค์พระที่คอยต่อกรกับกิเลศและตัณหาทั้งปวง สามารถต่อกรกับปีศาจทั้งในโลกมนุษย์และยมโลก
องค์พระวิทยาราชานี้เป็นองค์พระที่มีศักดิ์รองลงมาจากพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์เป็นลำดับที่สาม
ความจริงนั้นทางพระพุทธศาสนาได้มีการสั่งห้ามไม่ให้ทำการจัดทำรูปหล่อและซื้อขายองค์พระพุทธอย่างเด็ดขาด
แต่ด้วยการที่พระโพธิสัตว์นั้นไม่เห็นด้วยเนื่องจากถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในการเผยแพร่พุทธศาสนา
จึงทำให้เหล่าดวงวิญญาณผู้หลงงมงายในเรื่องเหล่านี้เมื่อรับทราบความจริงจึงรวมตัวกันก่อให้เกิดปีศาจร้ายที่ไม่มีใครสามารถปราบได้ลง
และนี่ทำให้เกิดพระวิทยาราชาปางแห่งปัญญานี้ขึ้นมาเพื่อกำราบวิญญาณร้ายและไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก
นอกจากนี้ซูจิ้งยังพบพระปางรูปต่างๆได้แก่ พระวิทยาราชาขี่ม้า พระวิทยาราชาเศียรไฟใหญ่ พระวิยาราชาใบหน้ายิ้มแย้ม พระวิทยาราชาใบหน้าดีใจ พระวิทยาราชาใบหน้าหัวเราะ พระวิทยาราชาใบหน้าเกือบรู้แจ้ง พระวิทยาราชาใบหน้าเคร่งขรึม และพระวิทยาราชาใบหน้านิ่งเฉย
เมื่อนำไปรวมกับพระอจละที่วัดหลานเล่อก่อนหน้านี้แล้ว จึงถือได้ว่ามีปางปงค์พระทั้งหมดสิบรูปด้วยกัน
ซูจิ้งได้ทำการโทรหาเสี่ยวไจ๋เพื่อให้เตรียมที่เอาไว้สำหรับรูปปั้นพระวิทยาราชาทั้งเก้าปาง
เขาได้ตรงที่วัดหลานเล่อ และได้แขวนภาพวาดขององค์เพราะทั้งเก้าไว้โดยรอบองค์พระอจละเพื่อที่จะให้เหล่าผู้มาศรัทธาได้สักการะบูชากันได้ง่ายขึ้น
พร้อมทั้งบอกเสี่ยวไจ๋ไปว่ารูปขององค์พระวิทยาราชาทั้งเก้านี้เขายินยอมให้ซื้อได้
เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่ววัด เจ้าอาวาสซูหยุนและปรมาจารย์เชิงหยาน และพระรูปอื่นๆตรงเข้าไปยังหอขององค์พระอจละเพื่อดูรูปวาดองค์พระวิทยาราชาทั้งเก้า
ทันทีที่เห็นทุกคนต่างตกตะลึงไปตามๆกัน