Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 843
GGS:บทที่ 843 ลือเลื่องอีกครั้ง
“พระเจ้า ภาพวาดพระพุทธพวกนี้ช่าง…” เจ้าอาวาสซูหยุนที่กำลังตะลึงอยู่กับภาพวาดพระวิทยาราชาทั้งเก้าที่อยู่รอบองค์พระอจละ
“นี่มัน…สีหมึกยังดีสดใหม่อยู่เลย นี่คุณซูวาดเองอย่างนั้นหรอ” ปรมาจารย์เชิงหยานพูดพลันหันหน้าไปหาเสี่ยวไจ๋ พระรูปอื่นเองก็หันไปมองเสี่ยวไจ๋เช่นเดียวกัน
“ใช่แล้วครับ อาจารย์ซูจิ้งเป็นผู้วาดภาพพวกนี้” เสี่ยวไจ๋พยักหน้ารับ พอคิดแล้วทำให้พระทุกรูปที่ได้ยินมีความรู้สึกบางอย่างขึ้นในใจ พวกเขาเผลอหายใจสั้นๆออกมาในทันที ถึงแม้ว่ารูปวาดพระวิทยาราชาเหล่านี้จะมีความขลังไม่เทียบเท่าองค์พระอจละและตำราหัวใจพระสูตรและพระพุทธแม้แต่น้อย แต่ยังไงซะภาพเหล่านี้ก็ยังถือได้ว่ามีมนต์ขลังกว่าศาสนวัตถุที่พวกเขาเคยเห็นผ่านตามา
อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ต่อให้คนธรรมดามาเห็นก็ยังรับรู้ความรู้สึกนี้ได้
พวกเขาเองก็ได้ศึกษาอยู่ในวิถีแห่งพุทธมาหลายพรรษาแล้วแต่ก็ยังไม่เคยได้เห็นภาพวาดปางระพุทธที่ลักษณะเช่นนี้มาก่อน
ก่อนหน้านี้ซูจิ้งเพียงนำองค์พระพุทธที่ไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อนนั่นก็สร้างตื่นตะลึงได้มากพอแล้ว แต่นี่เขาสามารถวาดภาพพระพุทธที่ไม่เคยมีการบันทึกไว้อีก
นี่หมายความว่ายังไงกันแน่ พวกเขาถูกเรียกว่าปรมาจารย์ในศาสนาพุทธแห่งนี้ แต่เมื่อเทียบกับพระพุทธทั้งสิบที่ซูจิ้งอัญเชิญมานั้น พวกเขาบอกได้เลยว่าเมื่อเทียบกันแล้วถือได้ว่าพวกเขายังอ่อนด้อยนัก
ตอนที่พวกเขาได้เห็นภาพวาดของซูจิ้งก็แค่คุยกันไปลอยๆว่าถ้าหากซูจิ้งวาดรูปพระพุทธให้ก็คงดี ไม่คิดว่าซูจิ้งจะวาดมาให้จริงๆแถมเป็นองค์พระที่ไม่เคยปรากฎที่ไหนมาก่อนอีก
“ในตอนนี้ที่นี่มีพระโลกบาลทั้งสิบองค์แล้ว ในตอนแรกที่ซูจิ้งขอหอเพื่อให้อัญเชิญองค์พระอจละมาที่นี่และบอกว่าห้ามย้ายไปไหน
อาตมาก็คิดเพียงว่าเขานั้นต้องการเพียงสร้างมนต์ขลังและต้องการให้ดูอลังการเฉยๆ ไม่คิดว่าเขาจะวาดภาพพระวิทยาราชาอีกเก้าองค์และอัญเชิญมาที่นี่อีก” เจ้าอาวาสบ่นพึมพำออกมาราวกับคุยกับตัวเองอยู่
พอคิดว่าซูจิ้งนั้นนำภาพพระวิทยาราชาทั้งเก้านี้มาแขวนเอาไว้โดยที่พวกเขานั้นไม่ได้ร้องขอแต่อย่างใดแบบนี้ เจ้าอาวาสและเพราะลูกวัดเองก็ไม่ได้มีข้อโต้แย้งแต่อย่างใด
นั่นก็เพราะ อย่างแรก หลังจากที่ทางวัดเป็นหุ้นส่วนของซูจิ้ง พวกเขาก็ได้ถือว่ายกให้หอแห่งนี้เป็นซูจิ้งที่เป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจ
อย่างที่สองพระวิทยาราชาทั้งเก้านี้สมควรจะสร้างชื่อเสียงและแรงศรัทธาต่อวัดหลานเล่อได้เป็นอย่างดี ไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่านี้
“เสี่ยวไจ๋ ปกป้องดูแลพระทั้งสิบองค์นี้ให้ดี อย่าได้เผลอไผลเป็นอันขาด” ปรมาจารย์เชิงหยานพูดออกมา
“ทราบแล้วครับ เอ่อ… แต่ว่าอาจารย์ซูจิ้งบอกว่าไว้ว่า ภาพวาดพระวิทยาราชาทั้งเก้านี้หากมีผู้สนใจต้องการนำกลับไปสักการบูชา อาจารย์ซูยินยอมที่จะขายครับ” เสี่ยไจ๋พูดออกมา
“ว่าไงนะ” พระทุกรูปที่ได้ยินต่างตกตะลึง เป็นปกติสำหรับพวกเขาอยู่แล้วว่าไม่เห็นด้วยกับการซื้อขายศาสนวัตถุอย่างแน่นอน
“อาจารย์ซูได้กล่าวเอาไว้ก่อนกลับไปว่า หากภาพวาดพระรูปไหนถูกขายไป เขาก็จะวาดขึ้นมาแทนที่ เขาจะไม่ยอมให้สถานที่แห่งนี้ขาดองค์พระทั้งสิบไปอย่างแน่นอน”
คำพูดของเสี่ยวไจ๋ที่ได้พูดออกมานี้ได้ทำให้ปรมาจารย์เชิงหยานและเจ้าอาวาสนั้นยอมรับได้ในทันที ก็จริงที่ภาพวาดองค์พระวิทยาราชาทั้งเก้านี้ไม่เคยปรากฎที่ไหนมาก่อนบนโลกใบนี้
แต่ในเมื่อผู้วาดภาพเหล่านี้คือซูจิ้ง หากเขาต้องการจะขายก็สมควรแล้วเพราะนั่นเป็นเรื่องของเขา
และที่สำคัญยิ่งกว่าเขายังรับปากว่าจะว่ามาทดแทนทันทีที่ถูกขายออกไป ถือว่าไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อหอองค์พระอจละแห่งนี้แม้แต่น้อย
เช้าวันถัดมา ทันทีที่วัดหลานเล่อเปิด ผู้เข้าสักการะได้มุ่งไปยังหอองค์พระอจละเป็นแห่งแรก
ตอนนี้หอแห่งนี้ถือว่าเป็นจุดเด่นของวัดแห่งนี้เลยก็ว่าได้ ผู้คนมากมายต่างก็เข้าที่นี่เพียงเพื่อต้องการได้สักการะองค์พระอจละเท่านั้น
นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ผู้เข้าสักการะเจ้าได้เห็นพระโลกบาลทั้งสิบ ทันทีที่ผู้เข้าสักการะได้เห็นต่างก็ประหลาดใจ ดวงตาส่องสว่างในทันทีเมื่อเห็นภาพวาดพระราชวิทยาทั้งเก้า
เปรียบได้ดั่งนักวาดภาพที่ได้เห็นสาวงามในร่างเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้า
“ทำไมถึงได้มีภาพวาดอีกเก้าภาพด้วยหล่ะ คนที่แนะนำมาไม่เห็นบอกไว้เลย”
“น่าจะยังไม่รู้นะเพราะเมื่อวานฉันเองก็ได้มาสักการะเหมือนกันยังไม่เห็นมีอยู่เลย”
“ภาพวาดพระพุทธทั้งเก้านี่ช่างดูมีมนต์ขลังจริงๆ วันนี้ถือได้ว่าคุ้มค่าแล้วที่ได้มาสักการะองค์พระทั้งสิบในคราวเดียว”
“ฮ่าฮ๋า นี่ต้องเป็นโชคชะตาแน่ๆ”
“หมดเวลาแล้วท่านผู้เจริญ โปรดรีบจุดธูปสักการบูชาด้วย” พระที่ดูแลได้กล่าวเตือนออกมา
“ช่างรวดเร็วจริง พวกเราพึ่งจะเข้ามาเองนะ”
“ได้พบองค์พระโลกบาลทั้งสิบในคราวเดียวนี่ช่าง…”
“ท่านอาจารย์ ท่านช่วยเพิ่มเวลาให้หน่อยไม่ได้หรือ”
เหล่าผู้เข้าสักการะในตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย พวกเขานั้นรู้สึกสุขใจที่ได้เห็นองค์พระโลกาบาลทั้งสิบในคราเดียวแบบนี้จริงๆ
แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเสียดายที่เวลาช่างผ่านไปไวเหลือคณานัก นั่นก็เพราะผู้เข้าสักการะมัวแต่ตกตะลึงจนแทบจะลืมทำการสักการบูชาในทันทีที่เห็นจนเวลาล่วงเลยผ่านไปก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามในที่สุดแล้ว ผู้เข้าสักการะกลุ่มแรกก็จำต้องออกไปแต่โดยดีทันทีที่เห็นพระผู้ดูแลหอไม่อนุญาต
เห็นดังนั้นพวกเขาเองก็ไม่อยากทำให้พระผู้ดูแลมีปัญหาจึงทำได้เพียงรีบจุดธูปสักการะและออกไปด้วยใจที่ไม่อยาก และแน่นอนว่าพวกเขาตั้งปณิธานเอาไว้ว่าต้องกลับมาอีกครั้งให้จงได้
ผู้เข้าสักการะกลุ่มถัดไป ทันทีที่เข้ามาก็ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน
ไม่นานข่าวเรื่องที่วัดหลานเล่อในตอนนี้มีการอัญเชิญภาพพระวิทยาราชาทั้งเก้ามาแขวนไว้ในหอองค์พระอจละจนกลายเป็นหอโลกาบาลทั้งสิบได้กระจายออกไปอย่างรวดเร็วทั้งในโลกอินเตอร์เนตหรือแม้แต่ทีวี
วัดหลานเล่อในตอนนี้ได้เป็นที่นิยมอย่างมาก แม้แต่ช่องทางสื่อสารของวัดทางโลกอินเตอร์เน็ตอย่าง บาร์ และไมโครบลอค นั้น ในตอนนี้มีผู้คนติดตามจนยอดผู้ติดตามเต็มไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่เข้าสักการะและเยี่ยมชมวัดหลานเล่อในแต่ละวันตอนนี้แน่นขนัดทุกวันจนต้องจองคิวกันล่วงหน้าไปหลายวัน
ชายวัยกลางคนที่ร่างท้วมที่ฉีดน้ำหอมจนฟุ้งในที่สุดก็ได้มีโอกาสเข้ามาไปยังหอโลกาบาลทั้งสิบ
เขานั้นไม่ได้พูดอะไรออกมา ใบหน้าของเขาในตอนนี้แสดงออกถึงความเลื่อมใสจนเห็นได้ชัด
เมื่อได้เห็นพระวิทยาราชาทั้งเก้าแล้วใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความสุขออกมาในทันที เขาเดินเข้าไปคุกเข่าลงตรงภาพวาดพระวิทยาราชาใบหน้านิ่งและทำการคุกเข่าสักการะบูชา
ความจริงเขานั้นเคยมาที่นี่ก่อนหน้านี้แล้วหนหนึ่ง เขาในตอนนั้นมีความคิดที่จะฆ่าตัวตายอยู่
แต่ด้วยการที่เขานั้นได้มีโอกาสเข้ามาสักการะภาพวาดพระวิทยาราชาใบหน้านิ่งนี้ทำให้เขานั้นมีความกล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับเรื่องเลวร้ายอีกครั้ง
ทำให้เขาในตอนนี้ประสบความสำเร็จในธุรกิจของตัวเองจนได้ ในตอนนี้เขานั้นได้จ่ายหนี้สินของตัวเองจนเกือบหมดแล้ว แถมความสัมพันธ์กับภรรยาที่ก่อนหน้านี้เกือบจะหย่าร้างกันก็ดีขึ้นตามลำดับ
ในตอนนี้เขาเองก็เห็นแต่อนาคตที่สดใสรออยู่ข้างหน้า นี่จึงทำให้ตัวเขานั้นดูมีความเลื่อมใสศรัทธามากกว่าผู้เข้าร่วมสักการบูชาคนอื่นๆ
ถัดออกไปอีกสองเบาะรองคุกเข่านั้นก็ได้มีชายค่อนข้างอ้วนวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ เขานั้นดูตัวรูปร่างเตี้ยแต่สันทัดและมีผิวที่เข้มคล้ำ
คนๆนี้ก็คือเตียนจงยี่คนที่เป็นหุ้นส่วนของซูจิ้งในการดำเนินงานด้านการเกษตร
ในเกือบจะทุกๆวัน เขานั้นจะเข้ามาสักการะบูชายังหอพระแห่งนี้เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงพร้อมครอบครัวตามข้อตกลงที่เขาเคยได้ทำไว้กับซูจิ้ง
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาได้ยินมาว่ามีการอัญเชิญภาพพระวิทยาราชาทั้งเก้ามาไว้ยังหอแห่งนี้ และเขาเองก็ต้องมาทูระแถวนี้พอดี จึงอดใจไม่ได้ที่จะรีบมาเพื่อให้เห็นเป็นบุญตาสักหน่อย ยังไงซะเขาก็ถือว่าคุ้มค่าอยู่แล้ว
เสี่ยวไจ๋ที่กำลังเช็ดพื้นอยู่ในหานั้น เขาเองก็ได้เห็นผู้เข้าสักการะที่มีจำนวนมากแบบนี้ในทุกๆวัน ส่วนใหญ่เขาเห็นผู้เข้าสักการะมาทำการสักการะภาพวิทยาราชาใบหน้านิ่งมากที่สุด
เขาจึงตัดสินใจพูดออกมาด้วยเสียงอันกังวานว่า “ขอโทษที่ส่งเสียงดังนะประสก อาตมามีเรื่องจะแจ้งให้ทราบเอาไว้ อาจารย์ของอาตมาได้แจ้งเอาไว้ว่าสำหรับภาพวาดพระวิทยาราชาทั้งเก้านี้หากมีผู้ต้องการจริงๆก็สามารถขอซื้อไปบูชาได้ หากต้องการก็ได้โปรดเขียนชื่อและราคาและลงนามกำกับไว้ ในหนึ่งเดือนใครก็ตามที่ให้ราคาสูงที่สุดจำได้พระวิทยาราชาภาพที่ต้องการไป”
เสี่ยวไจ๋พูดออกมาเสร็จก็ได้ทำความสะอาดพื้นต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่กับผู้เข้าสักการะนั้นบังเกิดบรรยากาศที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ความรู้สึกตอนนี้เหมือนกับเสี่ยวไจ๋ได้หย่อนระเบิดเวลต่อหน้าทุกคนแล้วไปนั่งกินข้าวรอดูอยู่ข้างๆ
“ว่าไงนะ ปล่อยให้ซื้อจริงหรอ”
“นี่ท่านจะบอกว่ายินดีที่จะขายจริงๆหรอ”
“ท่านอาจารย์โปรดอย่าล้อเล่นเลย” ชายอ้วนวัยกลางคนยืนขึ้นและพูดออกมาด้วยท่าทางตื่นเต้นยินดี
“ใช่แล้ว ท่านต้องพูดเล่นแน่ๆ คุณซูยินดีที่จะขายภาพวาดเหล่านี้จริงๆหรอ” แม้แต่เตียนจงยี่ก็ยืนขึ้นทันทีที่ได้ยิน
“พระไม่พูดปดหรอกนะ ท่านอาจารย์ซูจิ้งได้บอกอาตมาไว้ว่าใครที่ให้ราคาสูงที่สุดท่านก็พร้อมที่จะขาย” เสี่ยวไจ๋เองก็ได้พยักหน้าและพูดย้ำออกมาอีกครั้ง ทำให้มีการเสนอราคากันจนเสียงดังออกไปยังข้างนอกเลยทีเดียว
ผู้เข้าสักการคนอื่นเองที่ได้ยินแทบจะอยากแซงแถวเข้ามาในทันที
“ถ้ายอมขายจริงๆผมขอซื้อภาพนี้”
“ผมต้องการภาพนี้ ผมต้องการภาพใบหน้าโกรธนี้ ห้ามแย่งผมนะ”
“ฉันต้องการภาพขี่ม้านี้”
ทุกๆคนในตอนนี้ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นจนแห่กันแย่งเข้าไปเสนอราคากันอย่างรวดเร็ว บางคนเขียนเริ่มที่หนึ่งหมื่นหยวน คนถัดมาเขียนราคาที่สามหมื่นหยวน
ชายร่างอ้วนก็ได้เข้ามาในทันที เขาทำการประเมินราคาอยู่ในใจ เขาคิดว่าภาพวาดพระวิทยาราชาเหล่านี้สมควรมีมูลค่าสูง หากเขาจะจ่ายก็ควรจะจ่ายก็ต่อเมื่อเขาพร้อมแล้วเท่านั้น แต่ด้วยในตอนนี้เขายังมีหนี้สินอยู่จึงยังไม่อาจที่จะทุ่มได้เต็มที่ในตอนนี้
“เอานะ อีกนิดเดียวหนี้ก็จะหมดแล้ว ยังไงซะการลงทุนครั้งนี้คิดยังไงก็คุ้มค่า อย่างมากก็กินแกลบอีกซักหน่อยไม่ก็ขายรถไปซักคันก็แค่นั้นเอง”
คิดได้ดังนั้นชายอ้วนวัยกลางคนจึงได้ตรงไปเขียนชื่อและจำนวนเงินลงบนกระดาษที่วางอยู่ค้างรูปภาพวิทยาราชาที่เขาชอบที่สุดด้วยจำนวนเงินห้าแสนหยวน
แต่ทันทีที่เขาออกมา เตียนจงยี่ได้ตรงไปที่ภาพพระวิทยาราชาใบหน้านิ่งต่อจากชายอ้วน แล้วลงเงินไว้ที่สามล้านหยวนในทันที เอาจริงๆเขาได้ลงราคานี้กับภาพพระวิทยาราชาทั้งเก้าภาพไปเรียบร้อยแล้ว
ทันทีที่ชายอ้วนเห็นตัวเลขสุดท้ายเขารีบหันควับไปมองเตียนจงยี่ในทันที พร้อมทั้งค่อยเหลือบไปมองตัวเลขบนกระดาษเสนอราคาแผ่นอื่นทำให้เขาในตอนนี้ยืนนิ่งไป
ด้วยราคาขนาดนี้ทำให้เขานั้นถึงกับพูดไม่ออกนั่นก็เพราะว่าตอนแรกเขาก็คิดว่าห้าแสนหยวนที่เขาเสนอนั้นถือว่าราคาสูงแล้ว แต่นี้เตียนจงยี่เพียงคนเดียวกับใส่ราคาทุกภาพอยู่ที่สามล้านหยวน
ไม่เพียงแค่ชายอ้วนคนเดียวเท่านั้นที่พูดไม่ออก แม้แต่คนอื่นเองก็ไม่ต่างกัน มีคนหนึ่งนิ่งอยู่นานก่อนจะใส่ราคาเสนอไว้ที่หนึ่งแสนสองหมื่นหยวนแต่ก็ถูกเตียนจงยี่เขียนราคาสามล้านหยวนไปแทบจะในทันทีเช่นเดียวกัน
ตอนนี้พวกเขาได้แต่ทำใจยอมรับแล้วว่าต่อให้ยอมขายจริงแต่ก็ยังยากที่จะได้มาครอบครองได้ คงมีแต่ต้องรวยพอเท่านั้นที่จะได้ครอบครองภาพวาดเหล่านี้ได้
ข่าวการขายภาพวาดพระวิทยาราชาได้เผยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วบนอินเตอร์เน็ต นี่ทำให้ผู้อาวุโสหวู่รีบมาที่วัดหลานเล่อในทันทีที่ได้ยินข่าวนี้ ไม่ใช่แค่นั้น แม้แต่ถังฮ่าว อาวุโสซี่ และนักสะสมคนอื่นๆเองกว่าครึ่งเมือง ไม่สิต้องบอกว่านักสะสมทั้งประเทศต้องเคลื่อนไหวในทันที
พวกเขาในตอนนี้เปรียบได้ดั่งผึ้งงานที่กำลังถูกนางพญาเรียกหา พวกเขารีบขับรถมาจากทั่วทุกสารทิศเพียงเพื่อตรงมายังวัดเล็กๆที่ตั้งอยู่ชายขอบประเทศอย่างวัดหลานเล่อ
นี่ทำให้ราคาของภาพวิทยาราชาทั้งเก้าที่ถูกเขียนไว้โดยเตียนจงยี่ในราคาสามล้านหยวนนั้นถูกเกทับภายในวันเดียว