Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 865
GGS:บทที่ 865 จับตามอง
เช้าวันถัดมา ซูจิ้ง หวังซือหยา และหวังจ้าวได้นัดพบกันในเมือง หวังจ้าวได้นำภรรยาและลูกชายของเขาที่ชื่อว่าหวังรุ่ยมาด้วย
เมื่อหวังรุ่ยได้เห็นซูจิ้งแล้วเขานั้นได้แสดงท่าทางมีความสุขออกมาพลางเรียกเขาว่าลุงแทบทุกคำเรียกจนทำให้ซูจิ้งอยากจะแช่งชักหักกระดูกอยู่ในใจ เขานั้นโตและสูงขึ้นมากพร้อมมีลักษณะนิสัยที่ร่าเริงและดูดีมีชีวิตชีวา
ทุกคนได้ขึ้นไปนั่งบนรถลินคอร์นยาวพิเศษที่เตรียมเอาไว้ เมื่อขึ้นไปบนรถ หวังซือหยาได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า
“อาจิ้ง ช่วงนี้นายเด่นดังเลยนะเนี่ย ทั้งเพลงหมัดศิลปะการป้องกันตัว และเพลงหลงลืมแอ่งน้ำน้อยในบึงใหญ่ได้รับความนิยมไปทั่วแม้แต่พวกเด็กมหาลัยก็ยังเอาไปใช้กันเลย
ไหนจะเรื่องดอกไม้ไฟเวทย์มนต์ที่ได้รับความนิยมแบบสุดจนตอนนี้นายการเป็นคนมีชื่อเสียงในระดับสองไปแล้วนะ ดูเหมือนว่าชื่อของนายจะได้ขึ้นไปอยู่ในระดับหนึ่งในไม่ช้านี้แล้ว”
หวังรุ่ยเองเมื่อได้ยินดังนั้นถึงกับตกใจจนเบิกตากว้าง
เขานั้นอยู่โรงเรียนประจำและโรงเรียนของเขาเองอยู่ๆก็มีการเปลี่ยนแปลงเพลงและท่าทางประกอบตอนออกกำลังกายด้วยเพลงหมัดออกกำลังกายยามเช้าจริงๆ
และอย่างน้อยๆเด็กเก้าในสิบก็ชอบเพลงหมัดนี้มาก แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้มีสาเหตุมาจากลุงซูของเขา ตอนนี้เขานั้นได้นับถือลุงซูของเขา ตอนแรกเขาก็นึกว่าลุงซูคนนี้เป็นเพียงแค่คนดังธรรมดาซะอีก
เจียงซิวหยิงหรือก็คือภรรยาของหวังจ้าวเอง ก็ได้จ้องมองไปยังซูจิ้งด้วยสายตาตกตะลึงไม่ต่างกัน
นั่นก็เพราะว่าในตอนแรกเธอเพียงคิดว่าซูจิ้งนั้นใช้อำนาจของสามีเธอในการพัฒนาธุรกิจจนโดดเด่นขึ้นมาได้ ด้วยการที่เขาสามารถรักษาโรคเบื่ออากหารของลูกเธอได้ เธอเลยมีความพอใจในตัวน้องชายนอกสายเลือดของสามีเขาคนนี้อยู่พอสมควรจึงไม่ได้คิดอะไรเรื่องนี้มากมาย
แต่จากการที่ได้ฟังๆบทสนทนาดูเมื่อครู่ เธอเองก็เริ่มเอะใจแล้วว่าไอ้คนที่คอยเกาะคนอื่นจนร่ำรวยเด่นดังนี่ไม่น่าจะใช่ซูจิ้งแล้วล่ะ
น่าจะเป็นสามีของเธอมากกว่าที่มองเห็นในความสามารถของซูจิ้ง และช่องทางหาเงินมากมายจากเขาจึงหาทางเกาะหนึบไม่ยอมไปไหน
นี่ยังไม่รวมถึงการเขานั้นมีอินทรีย์ทอง หมาป่าสงคราม ช่วยพ่อตาของเธอ ช่วยคนจากกองเพลิง ช่วยคนจากเครื่องบินที่โดนจี้ ไหนจะเรื่องอื่นๆอีก
เรื่องเหล่านี้ยิ่งทำให้เธอรู้สึกแปลกกับซูจิ้งมากขึ้นเรื่อยๆและเธอเองที่เป็นคนอ่านคนได้อย่างแม่นยำแต่กลับอ่านซูจิ้งไม่ออกเลยสักนิด
เธอเองก็เคยถามหวังจ้าวเรื่องของซูจิ้งเหมือนกันแต่เขานั้นไม่ได้คิดมากเรื่องพวกนั้น เขาบอกเธอเพียงว่าซูจิ้งนั้นคือเด็กผู้วิเศษสำหรับตระกูลหวังอย่างแท้จริง คนแบบนี้อ่านให้ตายก็เหนื่อยแรงเปล่า
“ก็ตามนั้นล่ะนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฉันได้ฟังจากพี่สามแล้วนะว่านายอยากจะทำธุรกิจด้านยาสุบใช่รึเปล่า” หวังซือหยาถามออกมา
“ใช่แล้วล่ะ” ซูจิ้งพยักหน้ารับ
“นายก็น่าจะรู้นะว่าธุรกิจยาสูบนั้นเป็นธุรกิจที่ถูกรัฐดูแลเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น” หวังซือหยาพูดออกมา
“เรื่องนั้นฉันบอกเขาไปแล้วล่ะ แต่เขาเองก็บอกว่าอยากจะลองดูสักตั้ง” หวังจ้าวพูดออกมา
“ฮ่าฮ่า ของมันยังไม่แน่นอนนี่นา หากยังไม่เริ่มแล้วถูกบอกว่าทำไม่ได้แล้วล้มเลิกไปเลยมันก็ไม่ใช่แนวทางของฉันน่ะสิ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“พี่หลี่เจิ้งนั้นคืนนี้เขาน่ะมาแน่นอน นายเองก็เข้าไปคุยกับเขาได้เลย แต่ว่าฉันเองก็อยากบอกอะไรนายเพิ่มอีกสักอย่าง ตระกูลจ้าวกับตระกูลซุนนั้นถือได้ว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลในองค์การยาสูบของรัฐ
ตอนนี้พวกเรานั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับตระกูลจ้าว หากนายต้องการจะขอแบ่งเค้กชิ้นนี้ล่ะก็ฉันว่าอย่าดีกว่า
ถึงแม้ว่าพวกเรานั้นมีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลซุนก็ตาม แต่ถ้าเป็นเรื่องนี้ล่ะก็มันก็เหมือนนายเข้าไปท้าสู้กับซุนหยูเฮงซึ่งแน่นอนว่าตระกูลซุนย่อมไม่เห็นด้วย ดีไม่ดีไม่เพียงไม่ช่วยแต่อาจจะเตะตัดขานายซะด้วยซ้ำ” หวังซือหยาพูดออกมาอย่างจริงจัง
“เอาน่า ฉันก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว อย่ากังวลไปเลย หากฉันจะทำล่ะก็ฉันก็จะทำเท่าที่ฉันทำได้โดยไม่นำพาให้เกิดความเสี่ยงใดๆอย่างแน่นอน” ซุจิ้งพูดออกมา
นี่แสดงให้เห็นว่าซูจิ้งตั้งใจแน่วแน่แล้วว่ายังไงเขาก็จะลองดู ซึ่งหวังซือหยาและหวังจ้าวเองก็ไม่รู้จะโน้มน้าวซูจิ้งยังไงอีก ได้แต่มองซูจิ้งเงียบๆเท่านั้น
สำหรับทั้งสองคนที่พยายามกันปัญหาออกจากซูจิ้งตามคำสั่งของพ่อพวกเขา แต่ซูจิ้งเองนั้นแม้ปากจะบอกว่าระวังแต่เขาเองก็ยังอยากจะลอง เขานั้นเปรียบได้ดั่งลูกวัวพึ่งคลอดที่ไม่รู้จักเสือสิงห์กระทิงแรดเลยจริงๆ
ทั้งหมดได้ตรงไปยังสนามบินและได้นั่งเครื่องบินไปด้วยกัน พวกเขาได้พูดคุยกันอย่างสนุกสนานตลอดทางที่ไปทำให้ไม่ได้เป็นการเดินทางที่น่าเบื่อเลยสักนิด
มีเพียงเรื่องเดียวที่ทำให้ซูจิ้งรู้สึกเซ็งๆนิดหน่อย นั่นก็เพราะมีใครหลายๆคนที่เจอเขาแล้วอยากจะมาขอถ่ายรูป บางคนก็ต้องการขอลายเซ็นของเขา นี่ทำให้เขานั้นรู้สึกรำคาญอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
หลังจากมาถึงยังเหมืองหลวง พวกเขาได้ออกมาจากสนามบิน ที่นั่นพวกเขาได้เห็นชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งกำลังถือป้ายที่เขียนไว้ด้วยตัวอักษรอันใหญ่โตว่า หวังจ้าว หวังซือหยา และซูจิ้ง
ชายคนนี้ซูจิ้งก็เคยเจอมาแล้วหนหนึ่ง เขาก็คือหวังลี่ ลูกชายของหวังจุ่น และเขาก็ถือได้ว่าเป็นคนหนุ่มที่สุดของตระกูลหวัง เขานั้นเหมือนจะอาสามารับพวกเขาเองเลย
เมื่อซูจิ้งและหวังหลี่ได้หันมาสบสายตากัน เขาได้วิ่งเข้ามาหาแล้วพูดออกมาว่า
“สวัสดีครับลุงสาม สวัสดีครับคุณป้า สวัสดีครับลุง…” เมื่อได้เห็นสายตาอันเชือดเฉือนของซูจิ้ง เขานั้นได้กระตุกคำพูดตัวเองไปเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกมาว่า “อ่า…สวัสดีครับพี่จิ้ง”
“พี่ไปเรียกลุงซูจิ้งว่าพี่ได้ยังไงอ่ะ ตามศักดิ์แล้วพี่ต้องเรียกเขาว่าลุงจิ้งสิไม่ใช่เรียกพี่จิ้งอย่างนั้น” หวังรุ่ยแสดงท่าทีคัดค้านหัวชนฝา
“เอ็งจะบ้าหรอ ถ้านับตามศักดิ์นี่ฉันสิต้องเรียกนายว่าลุงไม่ใช่นายเรียกฉันว่าพี่” หวังหลี่เองก็จ้องไปยังหวังรุ่ยแบบเคืองๆ ลนหาที่จริงๆไอ้เด็กนี่
“ไม่จริงอ่ะ พวกเราควรเรียกเขาว่าลุง” หวังรุ่ยพูดออกมาอย่างจริงจัง
“หลี่น้อยเห็นไหมว่าขนาดรุ่ยน้อยยังฟังดูมีเหตุผลกว่าเธออีก” หวังซือหยาหัวเราะออกมา
“ป้าไม่ต้องมาหัวเราะใส่ผมเลยนะ พี่จิ้งอายุมากกว่าผมแค่สี่ไม่ก็ห้าปีเอง แล้วผมจะไปหาญกล้าเรียกเขาว่าลุงเนี่ยนะ” หวังหลี่พูดออกมาด้วยท่าทางพูดไม่เข้าคายไม่ออก
“ต่อให้เราไม่พูดถึงเรื่องนี้ แต่ถ้าพ่อนายได้ยินล่ะก็เขาก็ต้องบอกนายแบบนี้เหมือนกัน” หวังจ้าวพูดออกมาในขณะหันไปชำเลืองมองซูจิ้งพลางส่งยิ้มให้
“ก็ได้ก็ได้ ลุงสี่” หวังหลี่นั้นขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับหวังจ้าวเพราะดูๆไปแล้วพูดยังไงเขาก็ไม่ฟัง
เอาจริงๆถึงแม้ว่าเขาอาจจะถูกซูจิ้งจ้องแบบกินเลือดกินเนื้อขนาดไหน แต่เมื่อนึกถึงความน่ากลัวของพ่อของเขาแล้วเลยต้องเรียกออกมา
ลุงสี่ของเขาเองในตอนนี้ทำหน้าแบบเซ็งเป็ดแบบสุดๆ
ในขณะที่กำลังเกิดเหตุการณ์เกี่ยงศักดิ์ลำดับนับญาตกันอยู่นี้ได้มีเสียงที่ไม่ไกลจากตรงนี้สักเท่าไหร่ดังลั่นออกมาว่า “ซูจิ้ง!!!”
“ห้ะ ซูจิ้ง ไหน ไหน เขาอยู่ที่ไหน”
“นั่นไง อยู่ตรงนั้น”
“พระจ้าวช่วย นั่นพี่จิ้งจริงๆนี่”
หลายๆคนในตอนนี้เริ่มสังเกตเห็นซูจิ้งแล้ว และเริ่มมาออกันอยู่โดยรอบ ถึงแม้เขานั้นจะไม่เคยก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงแต่อย่างใด
แต่เขาเองในตอนนี้กลับขึ้นอยู่ในอันดับของรายการดาราระดับสองไปแล้วซึ่งถือได้ว่าเขามีชื่อเสียงมากๆ ชนิดที่ดาราระดับสองคนอื่นๆเองก็เทียบไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้นซูจิ้งเองก็เปรียบได้ดั่งตำนาน นั่นก็เพราะเขามีแฟนคลับที่ศรัทธาในตัวเขามากกว่าดาราทั่วไปมากนัก นั่นก็เพราะเหล่าแฟนคลับของเขาต่างก็เห็นซูจิ้งเป็นพระเจ้าประจำใจของพวกเขาไปแล้ว
“รีบๆเลย เดี๋ยวจะไม่ได้ไปไหนกันพอดี” หวังจ้าวรีบพูดออกมา
“รถอยู่ที่ประตูครับ” หวังหลี่รีบพูดออกมา
ทุกคนในตอนนี้รีบฝ่าฝูงชนออกไปในทันที และรีบออกจากสนามบินกันอย่างไว
ข่าวที่ซูจิ้งมาที่เมืองหลวงนี้ได้กระจายออกไปไวประดุจความเร็วแสงในโลกอินเตอร์เน็ตจนเป็นที่รู้กันทั่วแทบจะทั้งเมืองหลวงแล้ว
จนกลายเป็นว่ามีคนตั้งข้อสันนิฐานได้ในที่สุดว่าเขานั้นมาทำอะไรที่นี่ งานเลี้ยงวันเกิดของหวังซวนจี้ผู้ที่เป็นผู้นำตระกูลหวังนั้นถูกจัดขึ้นในวันนี้
ซูจิ้งเองก็มีศักดิ์เป็นถึงคุณชายสี่ของตระกูลหวัง แน่นอนว่าเขาเองต้องมาเข้าร่วมอยู่แล้ว
เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ไม่เพียงจะสร้างความตกตะลึงให้แฟนคลับของเขาในเมืองหลวงแล้ว ข่าวนี้ยังไปกระตุ้นให้เหล่าตระกูลต่างๆในเมืองหลวงให้อยู่กันไม่สุข
โดยเฉพาะเหล่าตระกูลใหญ่แล้ว การมาของซูจิ้งนั้นถือได้ว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆสำหรับพวกเขา
“อาจิ้งมาที่เมืองหลวงงั้นหรอ” เฉียนหยินหนิงที่กำลังเดินอยู่ข้างกับคนในตระกูลอีกคนหนึ่งไปพลางเล่นโทรศัพท์ไปพลางก็ตกใจจนเผลอพูดออกมา
ถึงแม้ว่าบ้านหลักตระกูลเฉียนนั้นไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวงก็จริง แต่สำหรับตระกูลเฉียนนั้นถือได้ว่าเมืองหลวงเป็นฐานที่มันของตระกูล
แถมพวกเขายังเป็นตระกูลใหญ่ที่ไม่ด้อยไปกว่าตระกูลหวังเลยสักนิด นอกจากนี้ยังมีคนในตระกูลอีกหลายคนลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่
“ถ้าอย่างนั้นเขาเองก็ควรจะเข้าร่วมงานวันเกิดผู้นำตระกูลหวังด้วยสินะ” ผู้อาวุโสเฉียนที่อยู่ข้างๆพูดออกมาด้วยสายตาเรืองรอง
“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นค่ะ” เฉียนหยินหนิงพยักหน้ารับ
“ถ้าอย่างนั้นหลานลองโทรไปหาเขาแล้วชวนมาที่บ้านเราหน่อยสิ” ผู้อาวุโสเฉียนพูดออกมา
“ได้ค่า… หนูจะลากเขามาบ้านเราให้ได้เลย” เฉียนหยินหนิงหัวเราะล่าก่อนที่จะโทรไปหาซูจิ้งในทันที
…
“ซูจิ้งมาที่เมืองหลวงจริงๆด้วย” ซุนหยูเฮงทันทีที่เห็นข่าวนี้ก็ได้สบถออกมา เขานั้นได้ไปทำธุรกิจในที่ต่างๆจึงไม่ค่อยได้กลับมาที่เป่ยจิง(ปักกิ่ง)นี่สักเท่าไหร่นัก
การที่เขาอยู่ที่นี่ในวันนี้เป็นเพราะจะมาอวยพรวันเกิดหวังซวนจี้เช่นเดียวกัน นั่นก็เพราะว่าความสัมพันธ์ระหว่างตระกุลซุนและตระกูลหวังนั้นยงคงดีอยู่
อีกอย่างหากเขายากจะเข้าหาหวังซือหยาได้อีกครั้งนั้น งานเลี้ยงวันเกิดของหวังซวนจี้นี้ถือเป็นที่ที่ดีที่สุดแล้ว
แต่เมื่อเขานึกถึงเรื่องของซูจิ้งทีไรแล้ว เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะกัดฟันด้วยความโกรธ
ในขณะเดียวกัน จ้าวซือเฟิงแห่งตระกูลจ้าวเองก็ได้เห็นข่าวนี้ ถึงกับคิ้วขมวดและคิดอะไรอยู่พักใหญ่ เขารีบปิดประตูล็อคในทันทีก่อนที่จะทำการโทรศัพท์ออกไป
ความจริงแล้วตระกูลจ้าวไม่ได้มีเรื่องอะไรที่ต้องจัดการซูจิ้งเลย แต่กับจ้าวซือเฟิงแล้วเขานั้นยังไม่เคยลดละความสงสัยและคอยสืบสวนเรื่องเกี่ยวกับซูจิ้งอยู่บ่อยครั้ง
ตระกูลต่างๆในเมืองหลวงในตอนนี้ต่างก็พูดคุยเกี่ยวกับการมาถึงของซูจิ้งในครั้งนี้ หลายๆคนเองก็อยากไปเห็นกับตาว่าชายคนนี้วิเศษวิโสมาจากไหนกันแน่
นั่นก็เพราะไม่เพียงเขาจะสามารถช่วยหวังซวนจี้ได้แล้ว เขายังช่วยกิจการของตระกูลหวังจนได้ผลประโยชน์แบบที่จะเรียกได้ว่าไม่สิ้นสุดเลยก็ว่าได้
นอกจากว่าเขาจะเป็นคุณชายสี่แห่งตระกูลหวังแล้ว เขายังถูกนับถือให้เป็นปรมาจารย์ได้ต่างๆอย่าง เทพฝึกสัตว์ เทพโรงครัว จ้าวแห่งโกะ จ้าวแห่งยุทธ เทพกู่เจิ้ง และเทพนักเขียนภาพพู่กันจีน อีก
พวกเขาเองจึงอยากเห็นสักครั้งกับตาตัวเอง