Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 871
GGS:บทที่ 871 เตรียมการไว้หมดแล้ว
คืนนั้น กว่างานเลี้ยงจะเลิกก็ล่วงเลยไปจนถึงตอนสี่ทุ่มเข้าไปแล้ว แขกเหรื่อที่มาก็ค่อยๆทยอยกลับไปทีละคนสองคน
ซูจิ้งเองก็ไม่ได้กลับไปแต่อย่างใด เขาได้เดินตามหวังซวนจี้ หวังเจิ้ง หวังจ้าว และหวังซือหยา ไปยังที่ไหนสักที่ หวังจุ่นเองก็ได้เดินไปยังห้องหนึ่ง และมีบอดี้การ์ดสองคนคอยยืนเฝ้าระวังอยู่ข้างประตู
หวังซวนจี้พูดออกมาว่า “อาจิ้ง นายรู้รึเปล่าว่าฉันเรียกนายมาคุยเรื่องอะไร”
“น่าจะเป็นปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจากใบยาสูบนี่ใช่รึเปล่าครับ” ซูจิ้งถามออกมา
“ดูเหมือนว่านายเองก็เตรียมรับมือไว้แล้วเหมือนกันสินะ” หวังซวนจี้พยักหน้ารับก่อนที่จะพูดออกมาต่อว่า
“นายเองก็อย่าได้ประมาทเป็นอันขาด ใบยาสูบของนายได้ถือได้ว่าดีสูงเทียมฟ้าเลยก็ว่าได้ นายเองก็สร้างช่องทางธุรกิจมากมายก่อนหน้านี้มาก็เยอะ
แต่ไม่มีอันไหนเลยที่เทียบได้กับช่องทางธุรกิจชิ้นนี้ได้เลยสักอย่าง เดียว ตราบใดที่นายถือครองสายพันธุ์ใบยาสูบนี้อยู่ล่ะก็อันตรายจะถาโถมเข้ามาอย่างแน่นอน
และหากนายไม่ยอมที่จะปล่อยมือจากสายพันธุ์จากใบยาสูบนี้ ฉันกลัวว่าจะมีแต่คนกดดันนายในทุกทาง จนต้องยอมปล่อยมือไป
แต่ไม่ว่านายนั้นจะตัดสินใจแบบไหน พวกเราตระกูลหวังนั้นจะสนับสนุนนายอย่างเต็มที่
แต่หากให้ฉันเสนอล่ะก็ ฉันขอเสนอเป็นให้นายยอมขายเมล็ดพันธุ์ให้กับประเทศ ซึ่งนอกจากจะหลีกเลี่ยงเรื่องอันตรายทั้งหลายแล้ว
เหตุนี้จะทำให้นายมีอนาคตไม่สิ้นสุด และอาจถึงขั้นกลายเป็นผู้กอบกู้ประเทศของเราเลยก็ได้”
ซูจิ้งนั้นรู้ดีว่าหวังซวนจี้นั้นรู้ดีว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หากว่าเขานั้นไม่แข็งแกร่งพอก็อาจจะยื้อเรื่องนี้ไว้ไม่ได้นานนัก แถมยังถือได้ว่ามีความสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดเรื่องขึ้นได้สูงมาก
ซูจิ้งเองก็เงียบไปพักใหญ่ก่อนจะพูดออกมาว่า “ถ้าไม่เข้าถ้ำเสือก็ไม่มีทางได้ลูกเสือหรอกครับ ผมก็รู้ดีว่าเรื่องนี้อันตรายอย่างที่สุด และยากเย็นเทียมฟ้า
แต่ผมเองก็อยากจะลองดูสักหน อย่างน้อยๆก็รอจนกว่าทางองค์การยาสูบจะตัดสินใจได้แล้วถึงตอนนั้นค่อยว่ากันอีกที”
แน่นอนว่าเขานั้นไม่เคยคิดอยู่แล้วว่าผอ.องค์การยาสูบอย่างหลี่เจิ้งนั้นจะมีอำนาจพอที่จะเปิดประตูหลังบ้านเพื่อให้เขาเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตามหลี่เจิ้งก็เลือกที่จะนำเรื่องนี้ไปคุยตรงๆกับผู้มีอำนาจในเรื่องนี้ เมื่อทั้งองค์การยาสูบและผู้บริหารบริษัทยาสูบรับรู้ถึงความสุดยอดของใบยาสูบนี้ แน่นอนว่าพวกเขานั้นย่อมต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน
ยิ่งพวกเขารู้ว่าใบยาสูบนี้สุดยอดแค่ไหน เขาเองก็จะสามารถคุยได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
“ในเมื่อนายนั้นตัดสินใจว่าจะลองดูทั้งๆที่มีความเสี่ยง ฉันเองก็คงจะไม่ห้ามนาย แต่หลังจากที่องค์การใบยาสูบตัดสินใจแล้วนั้น นายเองก็ต้องคิดดีๆก่อนทำอะไรล่ะ”
หวังซวนจี้พูดออกมาตามประสาคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานนับแรมปี เขารู้อย่างกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นดี
แต่จากการคำนวณด้วยวิถีแห่งใต้หล้าของซูจิ้งนั้น ใบยาสูบนี้จะไม่มีทางตกไปอยู่ในเมืองขององค์การใบยาสูบของรัฐอย่างแน่นอน แต่ยังไงซะเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
นั่นก็เพราะว่าต่อให้รวมพลังทั้งตระกูลหวังก็ไม่มีทางทัดทานอำนาจขององค์การยาสูบของรัฐและบริษัทยาสูบได้อยู่ดี
นั่นก็เพราะว่าเค้กชิ้นนี้ใหญ่เกินกว่าที่ภาครัฐจะยอมปล่อยให้ตระกูลใดสักตระกูลถือครองไว้ได้ หากถูกจับตาจากประเทศ ใครจะไปต่อกรไหวกัน
ถึงจะรู้ดีขนาดนั้นแต่ซูจิ้งนั้นก็ยังอยากลองดูสักตั้ง สำหรับเขาแล้วเรื่องนี้มันยากเกินกว่าที่จะปล่อยวางออกไปได้โดยที่ยังไม่ได้ลองดูสักหน
บางทีในที่สุดแล้วเขาอาจจะได้รับประสบการณ์ที่เขานั้นอยากลองเจอมานานอย่างการเป็นลูกวัวเพิ่งคลอดแล้ววิ่งเข้าหาปากเสืออย่างไม่กลัวตายก็เป็นได้
“ผมเข้าใจแล้วครับ ผมเองก็ได้คาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้วเหมือนกัน” ซูจิ้งพยักหน้ารับ
“ดี อ้อแล้วก็คืนนี้นายค้างที่นี่ไปก่อนก็แล้วกัน ฉันได้ให้แม่บ้านเตรียมห้องไว้ให้นายแล้ว” หวังซวนจี้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ได้ครับ” ซูจิ้งไม่เคยทัดทานความปรารถนาดีอยู่แล้ว นี่เองก็ถือเป็นการดีที่จะเชื่อมสายสัมพันธ์กับตระกูลหวัง
อีกอย่าง เขาเองก็ยังไม่เสร็จเรื่องที่เมืองหลวง หากตระกูลหวังไม่ชวนเขาค้างคืนเขาก็คงต้องไปหาโรงแรมนอนอยู่ดี
หลังจากที่ซูจิ้ง หวังจ้าว และหวังซือหยา เดินออกจากห้องหนังสือ หวังซวนจี้ได้หันไปพูดกับหวังจุ่นว่า “เจ้าส่งคนไปคุ้มกันครอบครัวและคนสนิทของเขาทั้งหมด”
หวังจุ่นพยักหน้ารับและได้รีบทำการยกหูโทรศัพท์เพื่อโทรออกไปในทันที พวกเขารู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขานั่นก็หารู้ไม่ว่าพวกเขานั้นก็เป็นเพียงน้ำตาลไอซ์ซิ่งที่โรยด้วยหน้าเค้กอีกทีหนึ่ง
นั่นก็เพราะว่าซูจิ้งได้เตรียมการก่อนมาที่นี่ไว้หมดแล้ว เทียบกับการเตรียมการของซูจิ้งแล้ว การสิ่งคนจำนวนเล็กน้อย ไม่สิต่อให้ส่งกองกำลังพิเศษไปก็ตาม เมื่อเทียบกับวิธีการของเขาแล้ว ไม่ต่างจากน้ำหยดลงหิน
หวังซวนจี้ยังพูดออกมาอีกว่า “จับตาดูความเคลื่อนไหวของทางองค์การยาสูบและบริษัทยาสูบเอาไว้ให้ดี หากมีอะไรไม่ชอบามาพากลให้รีบหยุดซูจิ้งไว้ทันที”
หวังเจิ้งได้พยักหน้ารับอย่าแข็งขัน เขานั้นคาดผลเอาไว้แล้วว่าอีกไม่กี่วันต่อให้ไม่จับตาดูพวกนั้นไว้ล่ะก็ ยังไงซะต้องมีใครสักคนหาทางติดต่อเข้ามาทางเขาอยู่แล้ว
สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือการที่ผู้มีอำนาจสูงสุดขององค์การยาสูบอย่างรัฐบาลจะลงมือด้วยตัวเอง
ภายใต้การนำของหวังจ้าว ซูจิ้งได้มาถึงห้องของเขาซึ่งอยู่ข้างๆห้องของหวังจ้าว หลังจากวุ่นมาทั้งวัน หวังจ้าวได้เดินกลับเข้าห้องเพื่ออาบน้ำและพักผ่อน
หลังจากซูจิ้งได้ปิดประตูไปแล้ว เขาได้หยิบโทรศัพท์เพื่อโทรไปคนจำนวนสี่คน
นะปลายสายในตอนนี้ ทั้งสี่คนล้วนแล้วแต่เป็นคนที่สามารถสั่นคลอนเมืองหลวงและประเทศนี้ได้อย่างง่ายดาย แม้แต่หวังซวนจี้เองหากรู้ว่าซูจิ้งโทรหาใครแล้ว เขาเองอาจจะตั้งถึงกับหน้าซีดและเกรงกลัวซูจิ้งเลยก็ได้
เมื่อซูจิ้งโทรคุยกับทั้งสี่คนเสร็จแล้ว เขาได้โทรหาซูฉือเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย ไป๋ฮิตูได้ไปถึงตัวเธอเรียบร้อยแล้ว ตราบใดที่ไป๋ฮิตูอยู่เคียงข้าง ซูฉือจะไม่วันตกอยู่ในอันตรายใดๆอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้หาได้ยั่งยืนไม่ วิธีการนี้ก็เหมือนการบ่งหนองไม่เอาหนามออก การที่จะให้คนอย่างไป๋ฮิตูนั้นไปเสียเวลาคอยอารักขาเป็นบอดิการ์ดส่วนตัวแบบนี้ เขานั้นไม่มีทางยินยอมอยู่แล้ว มันน่าเสียดายเกินไป
เขาเองนั้นความจริงก็อยากจะช่วยเธอแปลงโฉมใบหน้าซะใหม่ให้รู้แล้วรู้รอดไป เอาชนิดที่เธอก็ยังจำตัวเองไม่ได้เลยก็ยังได้
แต่ว่ายังไงซะซูฉือนั้นไม่ได้ผิดอะไรเลยสักนิด แต่เป็นเจ้าซือหลงที่เป็นคนเริ่ม แล้วทำไมเธอจะต้องเป็นคนหนีราวกับเป็นคนผิดแบบนี้ไปได้ แล้วกลายเป็นคนผิดเชิดฉายอยู่ในสังคม เฉพาะเรื่องนี้เท่านั้นที่เขาไม่ยินยอม
ก่อนหน้านี้เขานั้นยังไม่พร้อมที่จะจัดการตระกูลจ้าวจึงจำเป็นที่จะต้องให้ซูฉือนั้นคอยวิ่งวุ่นหลบอย่างหวาดระแวง แต่ตอนนี้สถานการณ์ทุกอย่างนั้นเปลี่ยนไปแล้ว
หลังจากซูจิ้งเปิดใช้วิถีแห่งใต้หล้าคำนวณทุกอย่างอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เขาก็ได้เข้าไปอาบน้ำและเอนกายนอนหลับอย่างสบายอารมณ์
เช้าวันถัดมา มีรถปอร์เช่คันหนึ่งได้มาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูบ้านตระกูลหวัง โดยชายร่างเพรียวบางก้าวลงมาจากรถ เขานั้นได้บอกชื่อของตัวเองต่อบอดี้การ์ดตรงหน้าประตู สักพักหวังหลี่ที่รู้เรื่องได้รีบมาก่อนใครเพื่อน
“พี่เจียง พี่มาที่นี่ทำไมกันล่ะ” หวังหลี่นั้นค่อนข้างเคารพคนตรงหน้าพอสมควร ถึงแม้ว่าตระกูลหวังไม่ใช่ตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ตระกูลเล็กกิ๊กก๊อกแต่อย่างใด
หวังหลี่เองก็ถือได้ว่ามีศักดิ์เป็นคุณชายคนหนึ่งเช่นเดียวกันและมีน้อยคนนักที่เขานั้นจะมองเห็นอยู่ในสายตา อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับสถานะของเจียงถิงหยวนที่อยู่ตรงหน้าแล้วยังถือได้ว่าห่างไกลนัก
นั่นก็เพราะว่าพ่อของชายหนุ่มร่างเพรียวคนนี้มีทั้งยศถาและบรรดาศักดิ์สูงอย่างมาก
และตัวเขาเองนั้นก็ยังมาความสามารถไม่น้อยไปกว่าผู้เป็นพ่อเลย สำหรับคนในอายุรุ่นราวคราวเดียวกันก็ถือได้ว่าเป็นยอดคนของรุ่นเลยก็ว่าได้
“ฉันมาหาพี่จิ้งน่ะ” เจียงถิงหยวนพูดออกมา
“พี่จิ้ง หมายถึงลุงสี่ของผมซูจิ้งน่ะหรอ” หวังลี่ถามออกไปด้วยความมึนงง
“ใช่” เจียงถิงหยวนพยักหน้ารับ
หวังหลี่ในตอนนี้แสดงสีหน้าออกมาด้วยความโง่งม เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไม่ใช่ว่าลุงสี่พึ่งเคยมาที่เมืองหลวงนี่ไม่ใช่หรอ แล้วทำไมเขาถึงได้รู้จักเจียงถิงหยวนได้กัน
ยิ่งไปกว่านั้นเจียงถิงหยวนเองก็แก่กว่าลุงสี่ของเขาอีกนี่นา สำหรับซูจิ้งแล้วสถานะของเขาในเมืองหลวงไม่น่าจะถือว่ามีอะไรเลยสักนิด
แล้วทำไมเจียงถิงหยวนถึงได้มาหาพร้อมแสดงความนอบน้อมถึงขนาดนี้กันได้ หวังหลี่ในตอนนี้ไม่เข้าใจจริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เขาเองก็ทำได้แค่เพียงพูดออกไปด้วยความนอบน้อมว่า “เชิญเข้ามาก่อนครับ ผมขอไปเชิญลุงสี่ให้ออกมาหาอีกที” พูดเสร็จหวังหลี่ก็ได้เดินนำทางมายังห้องรับแขกแล้วให้เจียงถิงหยวนนั่งรอ
เสร็จแล้วหวังหลี่ ได้รีบไปตามซูจิ้งมาในทันที ระหว่างทางเขาได้พบหวังจ้าวที่พึ่งจะตื่นนอน เมื่อหวังจ้าวได้เห็นสภาพลุกลี้ลุกลนของหวังหลี่จึงได้ถามออกมาว่า “หลี่น้อยเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมีท่าทีเร่งร้อนขนาดนี้เนี่ย”
“เจียงถิงหยวนมาหาลุงสี่ครับ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะมาคุยเรื่องอะไรนะ” หวังหลี่รีบตอบออกมาในทันที
“นี่ปัญหาถึงกับมาเยือนถึงในบ้านเลยหรอเนี่ย” หวังจ้าวได้ขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที พลางคิดว่านี่น่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับพันธุ์ใบยาสูบของซูจิ้งแน่ๆ
แต่ทันใดนั้นเขาก็คิดได้ว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง นั่นก็เพราะว่าพ่อของเจียงถิงหนวนนั้นไม่น่าจะมีเอี่ยวในเรื่องนี้ได้
“เท่าที่ดูผมว่าเขาน่าจะมาหาเป็นการส่วนตัวนะ เพราะว่าเจียงถิงหยวนนั้นดูเหมือนว่าจะนอบน้อมต่อลุงสี่ไม่น้อยเลยทีเดียวตอนที่เขาถามหาลุงสี่เมื่อกี้นี้ เขายังเรียกลุงสี่ว่าพี่จิ้งด้วยนะ” หวังลี่พูดออกมา
“พี่จิ้ง? ไม่ใช่ว่าเขานั้นแก่กว่าอาจิ้งไม่ใช่รึ” หวังจ้าวยิ่งฟังยิ่งรู้สึกแปลกใจพิกล เขานั้นเงียบไปนานก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“น่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เข้าไปลากลุงสี่ของแกให้ลุกขึ้นแล้วให้เขารีบไปพบเจียงถิงหยวนซะ ฉันเองจะไปรับหน้าไว้ก่อน”