Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 877
GGS:บทที่ 877 ต้องการอะไรกันแน่
หลังจากที่ดอกไม้ไฟเวทย์มนต์และใบยาสูบแห่งไชร์ได้เข้าสู่ตลาดอย่างเป็นทางการนั้น แน่นอนว่าเพียงเวลาอันสั้น ซูจิ้งก็ได้เงินมาอย่างมากมามหาศาล มหาศาลชนิดที่ว่ามหาเศรษฐีคนอื่นก็ยากที่จะตามเขาทันได้
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นสาระสำคัญของชีวิตเขาแต่อย่างใด ซูจิ้งยังคงจัดการขยะห้วงเวลาฯของเขาต่อไป แต่อย่างน้อยเขาได้คิดไว้แล้วว่าเขาจะทำอะไรต่อดี
ตอนกลางวันในขณะที่เขานั้นออกมาจากสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศเพื่อพักผ่อนนั้น ในช่วงที่กำลังกินอาหารกลางวันอยู่ เขาก็ได้ข่าวมาว่าฉือหยุนกำลังปฏิรูปเมืองขึ้นใหม่จนได้ชื่อว่าเมืองของเขาเป็นเมืองแห่งชาติของปีนี้
ความจริงนั้นนี่ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นข่าวที่แปลกใหม่อะไร นั่นก็เพราะในหลายๆเมือง แม้แต่เมืองจงหยุนนี้เองก็พยายามพัฒนาให้ได้ฉายานี้มาครอง
องค์การก่อสร้างของบางเมืองถึงกับพยายามสร้างสโลแกนและประกาศออกมาในทุกปีเพื่อให้เห็นความเอาจริงของพวกเขาในเรื่องนี้เลยทีเดียว
แน่นอนว่าไม่ใช่แค่เพียงเรื่องนี้ที่จะทำให้พวกเขาได้ฉายานี้มาครองมันต้องมีปัจจัยอย่างอื่นประกอบด้วย
ปีนี้ที่เมืองจงหยุนเองก็ได้มีการตั้งโครงการก่อสร้างต่างๆที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขานั้นพยายามอย่างหนักและตั้งใจมากกว่าปีก่อนมาก นอกจากนั้นยังได้รับการสนับสนุนและช่วยเหลือจากคนในเมืองแบบสุดๆ
การที่จะเป็นเมืองแห่งชาติของจีนได้นั้นต้องประกอบด้วยสโลแกนเมืองชั้นยอดและโดดเด่นชนิดที่ว่าเมืองอื่นๆนั้นไม่สามารถเทียบได้
นั่นหมายความว่าการได้มาซึ่งฉายานี้ถือได้ว่าเป็นเกียรติยศของชาวเมืองอย่างมาก มันเปรียบได้กับทุกคนอยู่ในเมืองอันทรงเกียรติและมีคุณค่าราวกับว่าได้เป็นเมืองที่เป็นตัวแทนของประเทศจีนเลยก็ว่าได้
ต่อให้ปีถัดไปไม่ได้มาก็ยังช่วยให้เมืองพัฒนาไปได้อย่างดีเยี่ยมอยู่ดี จึงถือว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อเมือง
หลังจากได้อ่านข่าวแล้วซูจิ้งได้มีความคิดดีๆบางอย่างออกมาในหัว เขาได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรหากงหลิงหมิงในทันที
เอาจริงๆเขาก็อย่างจะติดต่อไปยังชิหยินฮ่าวเลยมากกว่า แต่ด้วยเหตุที่ว่าเขาเป็นผู้แทนพรรคซึ่งแน่นอนว่าการแสดงว่ามีสายสัมพันธ์กับใครสักคนเป็นพิเศษถือเป็นเรื่องไม่ควร
“อาจิ้ง วันนี้คนใหญ่คนโตโทรหาฉันได้ยังไงกันเนี่ย ว่าแต่วันนี้มีเรื่องอะไรหรอถึงโทรมาได้” กงหลิงหมิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าฮ่าฮ่า เรื่องเล็กน้อยน่ะครับ ว่าแต่ผมได้เห็นข่าวแล้วว่าปีนี้เมืองจงหยุนของเราเองก็พลาดโอกาสการชนะใจฐานะเมืองแห่งชาติอีกแล้วหรอ”
“ใช่แล้วล่ะ นี่นายสนใจเรื่องนี้ด้วยเหรอ” กงหลิงหมิงพลางคิดไปว่าถ้าซูจิ้งต้องการสร้างโครงการอะไรสักอย่างรึเปล่า
ถึงแม้ว่าการจะถูกประเมินว่าเป็นเมืองแห่งชาติได้นั้นจะต้องดูจากปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความสวยงามของถนน อาคารสาธารณะ การตกแต่งเมือง พื้นที่สีเขียว จำนวนประชากร และอย่างอื่นอีกหลายอย่างก็ตาม
ซึ่งแน่นอนว่าเมืองจงหยุนแห่งนี้มีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ตามเกณฑ์แต่การสร้างใหม่นั้นก็เหมือนเป็นการตั้งโครงการมาเพื่อพัฒนาเมือง และนั่นก็เป็นการสร้างรายได้อย่างมหาศาลให้กับผู้คนเลยทีเดียว
แต่เรื่องแบบนี้สำหรับเขานั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเอ่ยออกไป ถึงแม้โครงการพวกนี้จะสร้างเงินและงานได้อย่างมหาศาลก็ตาม แต่กับซูจิ้งนั้นพวกเขาก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยสักนิด
นั่นก็เพราะเขาในตอนนี้นั้นมีธุรกิจไม่สิต้องเรียกว่าอุตสาหกรรมของตัวเองที่สร้างรายได้มหาศาล เพียงแค่ของขวัญของเขาเพียงชิ้นเดียวก็มีค่าเกินกว่าร้อยล้านหยวนเข้าไปแล้ว
นี่ยังไม่พูดถึงอุตสาหกรรมยาสูบที่เขานั้นเป็นผุ้ถือหุ้นอีก มันเป็นเรื่องแปลกจริงๆที่เขานั้นจะมาสนใจลงทุนในโครงการต่างๆที่อยู่ในเมืองบ้านนอกแบบนี้
เอาจริงๆเรื่องการเป็นผู้ถือหุ้นในอุตสาหกรรมยาสูบนี้ยังไม่มีใครรู้กัน แต่ตัวเขาที่เป็นคนของตระกูลหวังจึงไม่แปลกที่จะรู้เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
“ผมก็แค่สนใจนิดหน่อยน่ะครับ ตัวผมเองก็คิดได้ว่าเป็นคนของเมืองจงหยุนแห่งนี้เหมือนกัน แน่นอนว่าย่อมต้องการเห็นเมืองถูกพัฒนา” ซูจิ้งหัวเราะออกมาก่อนจะพูดออกมาต่อว่า “ถ้าผมจำไม่ไม่ผิดนั้นคุณน่าจะกำลังปรับปรุงลานกิจกรรมอยู่นี่นา คุณพอจะยกหน้าที่ในการปรับปรุงพื้นที่สวนฟางหลินให้ผมได้รึเปล่าล่ะ”
“ได้อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าการปรับปรุงลานนั่นจะต้องไปคุยกับสำนักก่อสร้างของเมืองก่อนก็ตาม แต่มันแค่เรื่องจิปาถะเล็กๆน้อยๆไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ แถมที่นั่นยังใช้ทุนปรับปรุงไม่เยอะด้วย” กงหลิงหมิงพูดออกมา
ลานกิจกรรมนี้ถือได้ว่าเป็นหน้าเป็นตาของเมืองจงหยุนแห่งนี้เลยก็ว่าได้ และยังถือได้ว่าได้รับความนิยมในระดับประเทศเลยทีเดียว
ภายในลานกิจกรรมประกอบด้วย สวนฟาลหลิน หอเกียรติยศ สวนต้นแอปริคอต หาแสดงผลงานไม้ และอื่นๆ
ซึ่งในตอนนี้ห้ามชาวเมืองเข้าใช้งานเพราะกำลังปิดปรับปรุงอยู่ซึ่งพื้นที่เหล่านี้เป็นพื้นที่ที่เป็นหน้าเป็นตาของชาวเมือง แน่นอนว่าไม่สามารถผิดพลาดได้แม้แต่น้อย
ถึงแม้ว่าโครงการนี้ไม่ใช่โครงการใหญ่ และเงินที่ต้องใช้เองก็ไม่ได้สูงอะไร แต่การที่สามารถตัดบริเวณที่ต้องปรับปรุงในพื้นที่สวนฟางหลินออก ก็สามารถนำเงินไปใช้ส่วนอื่นแทนถือว่าเขาต้องยินดีอย่างแน่นอน
“ถ้าไม่ว่าอะไรล่ะก็ผมจะขอปรับปรุงตามแบบของผมเอง และกับการที่ผมออกค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เองไม่คิดแม้แต่แดงเดียวเลย” ซูจิ้งพูดออกมา
“ไม่มีปัญหาครับ” คงหลิงหมิงเข้าใจในทันที ซูจิ้งนั้นไม่ได้สนใจที่ต้องการจะทำเงินจากโปรเจกแบบนี้ เขาเพียงแค่สนใจเพียงแค่การปรับปรุงเมืองนี้ให้ดีขึ้นก็เท่านั้นเอง
กงหลิงหมิงได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรไปยังสำนักงานโยธาของเมือง โดยเมื่อผอ.ของสำนักงานโยธาเมืองได้ยินแบบนั้นเองก็ได้นิ่งอึ้งไปพักใหญ่
แน่นอนว่าเขานั้นย่อมเห็นด้วยอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะคนอย่างซูจิ้งไม่มีทางต้องการเงินจากโครงการเล็กๆแบบนี้ แต่นี่เขาก็คิดไม่ถึงว่าตัวเขานั้นถึงขนาดยอมออกเงินเองเพื่อแลกกับการเป็นผู้ดูแลมีหรือที่เขาจะขัด
ตอนนี้ในใจของเขาเพียงแค่สงสัยซูจิ้งเท่านั้น นักธุรกิจใหญ่กลับมาสนใจในการปรับปรุงสวนเล็กๆอย่างสวนฟางหลินที่อยู่ในลานกิจกกรรมของเมือง แถมเป็นเพียงการปรับปรุงเท่านั้น เขาอยากจะทำอะไรกันแน่
“ถ้าแค่สวนตรงนั้นล่ะก็ เขาอยากจะทำอะไรก็ได้ครับตามสะดวก” ตอนนี้ผอ.สำนักงานโยธาได้มอบหมายสวนฟางหลินให้ซูจิ้งเป็นผู้ดูแลเรียบร้อยแล้ว
สำหรับกงหลิงหมิงและผอ.สำนักงานโยธานั้นไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เท่าไหร่นัก
แต่กับซูจิ้งนั้นดูเหมือนว่าเขาค่อนข้างจะสนใจอย่างมาก เขาได้ตรงไปยังสวนฟางหลินด้วนตนเองและทำการเดินไปดูรอบๆ
หลังจากนั้นเขาทำการวาดรูปสวนเพิ่อออกแบบสวนพร้อมทั้งสภาพแวดล้อมของสวย เขายังได้ชวนทีมวิศวกรที่ค่าตัวแพงมาดูและทำการประเมินราคา ก่อนจะดำเนินการทำตามแบบและซ่อมแซมในทันที
กระบวนการก่อสร้างนี้บอกได้เลยว่ารวดเร็วมาก
ณ สำนักงานกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศ หวังจ้าวและเฉิงหนานกำลังพยักหน้าให้กันพลางยิ้มทักทายให้กันเล็กน้อยโดยมีสาวน้อยคนหนึ่งที่สวมสูทสั่งตัดอยู่ข้างๆ
เมื่อหวังจ้าวได้เห็นสาวน้อยคนนี้จึงได้อึ้งไปพักนึงก่อนจะถามออกมาว่า “เอ่อออ นี่ไม่ใช่…”
“คนนี้เป็นพนักงานคนใหม่ของเราค่ะชื่อซูฉือ” เฉิงหนานพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“อาใช่จริงๆด้วย” หวังจ้าวขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะไปกระซิบที่ข้างหูของเฉิงหนานว่า “นี่เธอไม่ได้ดูข่าวรึไงช่วงนี้ถึงได้ไม่รู้จักเธอกัน ปูมหลังของเธอนั้นละเอียดอ่อนจนไม่น่าจะจ้างเธอมาเลยนะ”
หวังจ้าวนั้นได้เห็นข่าวของเธอแม้แล้วทำให้เขานั้นรู้จักซูฉือมาพอสมควร ซูฉือเคยเป็นสมาชิกของหน่วยพิเศษและได้รับสมยาว่าเป็นอัจฉริยะด้านคอมพิวเตอร์
อย่างไรก็ตามเธอยังปูมหลังอีกเรื่องหนึ่งที่วพิเศษกว่าใครนั่นก็คือเธอเป็นศัตรูกับตระกูลจ้าว ถึงแม้ตระกูลหวังจะไม่เคยกลัวตระกูลจ้าวแต่ก็ไม่ได้อยากท้าไฝว้เพียงเพราะคนนอกด้วยเช่นกัน
“เรื่องนี้ขัดไม่ได้ค่า อาจิ้งเป็นคนเสนอเองเลย” เฉิงหนานพูดออกมา
“ห้ะ อาจิ้งอ่ะนะ หมอนี่จะทำอะไรอีกล่ะเนี่ย” หวังจ้าวถามอออกมาแบบมึนๆ
“เรื่องนี้ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่นี่คือเขาบอกออกมาเลยว่าต้องการตัวเธอ” เฉิงหนานพูดออกมา
หวังจ้าวตอนนี้ยิ่งงงเข้าไปใหญ่ ทังสองคนมีความสัมพันธ์อะไรกันแน่ ต่อให้นามสกุลจะเหมือนกันแต่ก็เท่านั้น มีคนจีนมากมายที่นามสกุลเหมือนกันบนโลกใบนี้ และซูฉือเองก็ไม่ได้มาจากหมู่บ้านตระกูลซูในเมืองฉิงหยุนอีกด้วย
หวังจ้าวได้จ้องไปยังซูฉือสักพักจนเริ่มรู้สึกใจเต้นในทันทีที่เขานึกอะไรออกมาได้บางอย่าง
ตอนที่เขากลับไปเมืองหลวงในครั้งก่อนนั้น เจียงถิงหยวนได้มาที่บ้านตระกูลหวังเพื่อคุยกับซูจิ้งหลังจากนั้นก็ตรงไปบ้านข้างตระกูลจ้าวในทันที เรื่องนี้สมควรจะมีความเกี่ยวข้องกันอยู่
หลังจากนั้นยิ่งน่าแปลกกันไปใหญ่เพราะแทนที่ซูฉือจะซ่อนตัวอยู่ในต่างประเทศ แต่เธอกลับกลับมาบ้านอย่างเปิดเผยและถูกต้องตามกฎหมายโดยไม่เกรงกลัวตระกูลจ้าวเลยสักนิด
และแม้แต่ซูฉือจะกลับมาได้สองสามวันแล้วตระกูลจ้าวก็ยังไม่เคลื่อนไหวแต่ประการใด ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังไม่รวมถึงการที่เธอที่ควรตายไปแล้วยังมีชีวิตอยู่แบบนี้ได้อีก
“ถึงอย่างในตอนนี้อยู่ในเงื้อมมือของอาจิ้งแล้วรึเนี่ย หมอนี่ช่างเป็นคนที่ยื่นมือชี้ฝนท้าทายฟ้าจริงๆ” หวังจ้าวในตอนนี้รู้ดีว่าหากซูจิ้งตัดสินใจแล้วยากจะทัดทานได้
“เห้อ เอาเป็นในเมื่ออาจิ้งเป็นคนแนะนำมาก็รอฟังเขาว่าอีกทีก็แล้วกัน” หวังจ้าวพูดออกมา
ถึงแม้ว่าซูฉือคนนี้เป็นคนที่ไม่ควรจะยุ่งด้วย แต่ในเมื่อซูจิ้งนั้นมีขุมอำนาจและเข้มแข็งพอ เขาเองก็สมควรจะไม่เพียงแค่ทำเพื่อช่วยสาวน้อยคนนี้เฉยๆอย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้ดังนั้นหวังจ้าวจึงถามออกไปว่า “วันนี้อาจิ้งไม่เข้ามาเหรอ”
“ไม่เข้านะ เขาไปดูแลการก่อสร้างและปรับปรุงสวนฟางหลินที่ลานกิจกรรมเมืองน่ะ” เฉิงหนานพูดออกมา
“ห้ะ” หวังจ้าวเมื่อได้ยินดังนั้นถึงกับผงะก่อนจะถามออกมาว่า “เพื่อ?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาแค่บอกว่าอยากมีส่วนช่วยพัฒนาเมืองน่ะ” เฉิงหนานพูดจบก็ได้หัวเราะออกมา
เธอเองก็นึกสนุกเหมือนกันที่จะได้ดูว่าซูจิ้งนั้นจะออกแบบและปรับปรุงสวนออกมาอีท่าไหนกัน ถึงจะรู้ว่าการปรับปรุงสวนเล็กๆแบบนั้นกับซูจิ้งแล้วไม่ต่างจากการฆ่าไก่ด้วยมีดเชือดวัวก็ตาม
หวังจ้าวที่ได้ยินถึงกับกุมขมับ พลางคิดไปว่าตัวเองนั้นไม่มีทางเข้าใจซูจิ้งได้เลยจริงๆ
ทั้งๆที่คนทั้งเมือง ไม่สิคนทั้งประเทศกำลังจับจ้องมาที่เขา แต่เขานั้นกับทำเพียงแค่ทำงาน กิน ดื่มไปตามปกติราวกับไม่ได้มีอะไรพิเศษ
แถมตอนที่ทุกคนรู้ว่าซูจิ้งนั้นเสนอตัวไปปรับปรุงสวนนั้น ทุกคนต่างก็ทำหน้าโง่งมกันไปหมด