Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 885
GGS:บทที่ 885 ความจริง
ชื่อเสียงของรูปปั้นนางฟ้าแห่งแอตแลนติสนี่ขึ้นสูงอย่างมาก เพียงแค่พูดชื่อนี่ก็กลายเป็นเรื่องพูดคุยได้ยาวนานเลยทีเดียว
ตอนนี้มีหลายๆประเทศพยายามอ้างความเป็นเจ้าของเพราะถือว่าประเทศของตัวเองนั้นน่าจะอยู่ใกล้ดินแดนที่สาบสูญแห่งนี้มากที่สุด และยังอ้างอีกว่าของพวกนี้น่าจะถูกนำมาจากทะเลในดินแดนของตนเอง
แต่เรื่องพวกนี้กลับถูกตีตกไปหมด แถมคนที่ออกมาตีตกเรื่องนี้ยังเป็นคนที่คอยมาหาเรื่องซูจิ้ง ทั้งๆที่ซูจิ้งยังไม่ได้ออกมาทำอะไรเลยด้วยซ้ำ
นั่นก็เพราะว่าทุกคนในประเทศต่างก็ถือว่าซูจิ้งคือตัวแทนของประเทศแล้วในตอนนี้
ในขณะเดียวกันหลายๆประเทศยินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อจะได้ของพวกนี้กลับไปและราคาในตอนนี้เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่แปดร้อยล้านเข้าไปแล้ว และยังคงเพิ่มสูงขึ้นแบบไร้ที่สิ้นสุด
อีกเรื่องหนึ่งคือการที่ซูจิ้งนั้นบอกไปว่าเขาได้สมบัติพวกนี้มาจากใต้ทะเลลึก และนั่นกลายเป็นหลักฐานอย่างดีว่าของๆซูจิ้งอยู่ในเขตน่านน้ำสากล ของที่พบย่อมตกเป็นของเขาไปโดยปริยาย
สำหรับเรื่องราคาที่แต่ละประเทศเสนอมานั้น ซูจิ้งตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าแต่ละประเทศจะเสนอราคามาสูงขนาดไหนเขาก็ไม่ยอมขาย
เขาในตอนนี้คิดจะเปิดพิพิธภัณฑ์ของตัวเองเพื่อจัดแสดงสมบัติจากดินแดนแอตแลนติสและสมบัติอย่างอื่นที่เขาคิดว่าไม่อยากจะขายออกไป
นั่นก็เพราะว่าไม่เพียงจะเป็นการเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์ขยะห้วงเวลาฯได้แล้ว เขายังได้รับเงินกลับมาจากการขายบัตรค่าเข้างานด้วย
ความจริงแล้วซูจิ้งอยากจะส่งของทุกอย่างออกขายในงานประมูลของเขาให้หมดเลยทีเดียว แต่ก็มีของบางอย่างที่ไม่ควรปล่อยให้ไปอยู่ในมือของใครก็ไม่รู้ อย่างเช่นภาพสาวงาม ตำราวิถีแห่งใต้หล้า ตำราวิถีมังกร หัวใจพระสูทและพระพุทธ และของอย่างอื่น
ของที่ไม่น่าจะขายได้โดยง่ายเลยต้องเก็บไว้ดีกว่าอย่างหัวกะโหลกและโครงกระดูกมนุษย์ปักกิ่งที่เขายกให้ภาครัฐไปนั่นก็ไม่ได้ถือว่าขายแต่อย่างใด
รูปปั้นนางฟ้าแห่งเมืองแอตแลนติสนี้ที่ได้ว่าเป็นของมีค่าและหายากแบบสุดหยั่งถึง แน่นอนว่าการขายนั้นถือได้ว่าไม่คุ้มค่าอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าจากมุมมองของทางฝั่งซูจิ้งแล้ว ของพวกนี้ไม่ได้มาจากแอตแลนติสแต่อย่างใด ของพวกนี้เป็นหนึ่งในขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศที่เขาได้มา
เพียงแต่พวกมันดันมาจากห้วงเวลาที่มีอารยธรรมที่มีความเป็นศิลป์มากหน่อยเท่านั้นเอง แน่นอนว่าการที่จะตีค่าว่ารูปปั้นนี้มาจากแอตแลนติสก็ไม่ได้แปลกแต่อย่างใด
นั่นก็เพราะว่าอย่างน้อยๆมูลค่าทั้งทางโบราณคดีและศิลปะไม่ได้ด้อยไปกว่าสมบัติแห่งเมืองแอตแลนติสของจริงชิ้นอื่นๆเลยสักนิด
และแน่นอนว่าย่อมไม่สามารถตีค่าเป็นเงินได้ เช่นเดียวกันวีนัสของฝรั่งเศส และเดวิดของอิตาลีที่ต่อให้ต้องเกิดสงครามทั้งสองประเทศก็ไม่ยอมขายเช่นเดียวกัน
ซูจิ้งเป็นผู้เดียวที่รู้ว่าของเหล่านี้แท้จริงแล้วมันมาจากที่ใดกันแน่ รูปปั้นนี้คือรูปปั้นของเผ่าเอลฟ์ที่เสี่ยวไป๋ใช้
สแตนด์ซ่อมแซมมาให้
เผ่าพันธุ์เอลฟ์นั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่แทบจะไม่แก่เฒ่าและถือได้ว่าเป็นศิลปินขั้นเซียนเลยก็ว่าได้
ตามที่ซูจิ้งคาดเอาไว้ว่ารูปปั้นนี้สมควรจะสร้างความตกตะลึงให้กับทั้งโลกได้ไม่เพียงแค่ศิลปินเท่านั้น
ด้วยอายุกว่าหนึ่งหมื่นสองพันปีนี้ถือได้ว่าเกินกว่าประวัติศาสตร์ที่มนุษยชาติจะจดบันทึกว่า แต่กับเหล่าเอลฟ์แล้วก็เพียงแค่ชั่วพริบตา
อ่างน้ำนั่นเขาก็ได้มาจากห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริงด้วยเช่นเดียวกัน แต่เขานั้นก็ไม่ได้แน่ใจว่ามันมาจากพวกเอลฟ์
นี่คือเหตุผลที่เขานำออกมาในช่วงที่เหล่านักโบราณคดีกำลังสับสนและเหล่าผู้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับแอตแลนติสต่างก็คิดว่าดินแดนนั้นมีอารยธรรมเกี่ยวกับเครื่องทองแดงเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว
ส่วนภาพวาดนั้นเขานั้นได้เห็นลายเซ็นกำกับแล้วเขารู้ได้ในทันทีที่เห็นเลยว่าภาพนี้ควรเป็นภาพพระราชวังของราชาเอเวอร์เดล
แต่ส่วนลายมือนี้ถูกเขาตัดออกไปด้วยเหตุที่เขานั้นคิดว่าหากทำอย่างนี้แล้วจะทำให้ทุกคนคิดว่าภาพนี้เป็นส่วนหนึ่งของแอตแลนติสง่ายกว่า เพราะยังไงซะก็ไม่มีคนรู้อยู่แล้วว่าแอตแลนติสหน้าตาเป็นยังไง
เขานั้นยอมเสียเวลาเพราะเขารู้ดีว่าหากอยู่ๆเขานั้นพูดออกมาว่าของเหล่านี้มาจากแอตแลนติสนั้นคงจะยากที่มีคนมาเชื่อเขาได้
นอกจากนั้นอาจทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ถูกนำมาย้อนเล่นงานเขาได้ในภายหลังซึ่งนั่นจะทำให้เขานั้นเสียเวลามากกว่าการมาทำแบบนี้ ดีไม่ดีเสียมากกว่าได้อีกด้วย
นี่คือเหตุผลที่เขานั้นจงใจที่จะขอเป็นผู้ปรับปรุงสวนฟางหลินแห่งนี้ด้วยตัวเอง ที่เหลือก็แค่รอให้สาธารณะชนทั้งหลายเป็นผู้ก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ เขาก็แค่ค่อยชักจูงให้เหตุการณ์ไปในทางที่เขาต้องการให้ได้ก็พอ
จนในที่สุดแล้วการชวนเชื่อในครั้งนี้ก็ประสบผลสำเร็จชนิดที่ไม่มีใครกล้าพูดออกมาว่าเขานั้นแค่ทำการโฆษณาสมบัติของเขา
นั่นก็เพราะว่ายังไงซะสมบัติทั้งสามชิ้นนี้มาจากดินแดนที่สาบสูญ หากเขาไม่ยอมปล่อยออกมามีหรือจะมีใครมารู้ว่ามีของแบบนี้อยู่ในโลก
แต่ก็ยังมีเรื่องที่ทำให้เขานั้นต้องปวดหัวอยู่อีก
“อาจิ้ง นายไปเจอที่ตั้งของแอตแลนติสจริงๆหรอ พาฉันไปดูหน่อยสิฉันอยากเห็นมากๆเลย” ฉือชิงได้โทรหาซูจิ้งพร้อมทำเสียงออดอ้อนและตื่นเต้นนิดๆ
“ไม่หรอก ฉันแค่เจอของบางส่วนเท่านั้นเอง ฉันไม่ได้เจอที่ตั้งของแอตแลนติสหรอกนะ” ซูจิ้งอธิบายออกมา
“เป็นไปได้รึเปล่าว่าจะมีหลักฐานหรือซากโบราณสถานอยู่แถวๆนั้น”
“ก็อาจจะนะ ฉันลองให้ฮู่น้อยว่ายดูแถวนั้นอยู่เพื่อว่าจะเจออะไรเหมือนกัน”
หลังจากวางสายของฉือชิงไป ฉินซู่หลานก็ได้โทรเข้ามา น้ำเสียของเขาก็ตืนเต้นไม่น้อยเช่นเดียวกัน
“พี่จิ้ง พี่เป็นคนเจอหลักฐานการคงอยู่ของแอตแลนติสจริงๆสินะ ผมคิดแล้ว่าพี่นั้นเปรียบได้ดั่งสายน้ำที่…”
“เข้าเรื่องเลยเว้ยเฮ้ย รีบตัดเข้าเรื่องเลยอย่าได้พูดเวิ่นเว้อ ไม่งั้นฉันวางละ”
“พี่จิ้ง ผมขอไปยลโฉมรูปปั้นนางฟ้าแห่งเมืองแอตแลนติสแบบใกล้ๆได้รีเปล่า ผมดูในรูปถ่ายแล้วรูปปั้นนั้นสวยงามมากๆ ว่าแต่พี่เจอที่ตั้งของแอตแลนติสเลยรึเปล่า พอจะพาผมไปดูหน่อยได้ไหมครับ พี่จิ้ง ได้โปรดเถอะน้า…. ผมจะยอมทำที่พี่บอกทุกอย่างเลยขอแค่ได้ไปดูที่นั่น ไม่ว่าพี่จะใช้เยี่ยงวัวหรือม้า…”
หลังจากเสร็จเรื่องกับฉินซูหลานไป กงหลิงหมิงก็ได้โทรมาหา
“อาจิ้ง นายเนี่ยน้า…คราวนี้ฉันโดนนายหลอกไปเต็มๆเลย ตอนแรกฉันก็คิดว่านายทำเพื่อเมืองของเราเพื่อที่จะแข่งเพื่อแย่งชิงเมืองแห่งชาติซะอีก”
“ฮ่าฮ่า เอาน่าท่านผู้ว่าการ การที่ผมทำนี่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ช่วยสร้างชื่อเสียงให้เมืองหรอกเหรอครับ
ตอนนี้ก็มีคนมาเยี่ยมชมสวนฟางหลินที่ลานกิจกรรมกันอย่างล้นหลามแล้วนี่นา แน่นอนว่าเรื่องในครั้งนี้ทำให้ชื่อเสียงของเมืองจงหยุนเพิ่มขึ้นสูงเลยนี่นา” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ก็จริงอยู่ที่ตอนนี้ลานกิจกรรมของเมืองจงหยุนนั้นมีคนนิยมจนเรียกว่าลุกเป็นไฟได้เลย พวกเขานั้นเหมือนกับอยากจะได้มาสัมผัสบรรยากาศของดินแดนแห่งแอตแลนติส
ตอนนี้ต่อให้นายนำรูปปั้นออกไปแล้วแต่พวกเขานั้นก็คงมาอยู่ดี เอาตรงๆนะ เรื่องในครั้งนี้ฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าดีกับเมืองจงหยุนรึเปล่า”
“แล้วนี่ผอ.สำนักโยธาเขาไม่ได้ว่าอะไรมาบ้างหรือครับ”
“ก็ไม่เชิงนะ เขาเพียงแค่รู้สึกเสียดายเฉยๆ เอ้อถามหน่อยสิรูปปั้นแอตแลนติสที่ตอนนี้ทั่วโลกกำลังจับตามองอยู่นั้น นายตั้งใจจะทำอะไรกับมันเหรอ”
“ผมว่าจะเปิดพิพิธภัณฑ์ของตัวเองแล้วนำพวกมันไปเก็บไวในนั้นน่ะ”
“ก็ดีนะ หากเสร็จแล้วฉันจะไปดูอย่างแน่นอนถึงแม้จะไม่ได้เห็นใกล้ๆแบบนี้อีกแล้วก็ตาม ว่าแต่นายเจอพวกมันที่ไหนกันล่ะ แล้วพื้นที่โดยรอบตรงที่เจอสภาพเป็นยังไงบ้าง”
“….” ซูจิ้งนั้นเริ่มคิดออกมาแล้วว่าจะมีสักคนไหมที่ไม่ถามว่าเขานั้นไปเจอมาจากไหนหรือว่าที่ตั้งของแอตแลนติสอยู่ตรงไหนกันแน่
เรื่องนี้ยังคงวนเวียนต่อไป
ทั้งซูหยา ซูเซิ่นเชวี่ย และเย่ฉิงต่างก็โทรหาเขา
แม้แต่หวังซือหยา หวังจ้าว หวังซวนจี้ ก็โทรหาเขาเรื่องนี้
หลิวฉิง จูเจียนฮัว เป็งหมิง ก็โทรหา
หลินฮ่าว เสี่ยวรุ่ย และ ฉือเล่ย ก็ไม่เว้น
คนในหมู่บ้าน ซูเจิ้นฮง จ้างเมิงเซียง ซูเหลียง ซูเสี่ยวหลิน และคำอื่นๆพากันมาถามถึงหน้าบ้าน
บอกได้เลยว่าใครก็ตามที่เป็นเพื่อนและค่อนข้างสนิทกับเขานั้น ต่างก็ถามเรื่องเดียวกันนี้เหมือนกันทุกคน
ด้วยความรำคาญซูจิ้งนั้นจึงได้ตัดสินใจสร้างช่องทางสื่อสารเรื่องนี้ขึ้นมาเฉพาะในไมโครบลอค วีแชต และQQ ของเขาเพื่ออธิบายเรื่องทุกอย่างในคราวเดียวแต่ก็หาได้แก้ปัญหาได้ไม่
หนำซ้ำมีคนกระหน่ำโทรมายิ่งกว่าเดิมซะอีกจนโทรศัพท์แทบจะไหม้เลยทีเดียว
ในหมู่คนที่ถามเรื่องแอตแลนติสนั้นมีคนที่ถามเกี่ยวกับที่ตั้งหรือไม่ก็สถานที่ที่เขาได้ของพวกนี้มาไม่น้อยเลยทีเดียว
ซูจิ้งนั้นไม่ได้รู้เลยว่าคนเหล่านี้มีความรู้สึกยังไง เอาจริงๆถ้าเป็นตัวเขาเมื่อได้ยินย่อมต้องอยากเห็นกับตาเป็นธรรมดาแต่ในเมื่อทุกอย่างคือเรื่องโกหกเขาเองก็ทำได้แค่แต่เรื่องไปเพิ่มเติมเท่านั้น
เอี้ยป๋อ โจวซิเหยียนและเหล่านักโบราณคดีชาวต่างชาติต่างก็ต้องการถามซูจิ้งเกี่ยวกับเรื่องที่ตั้งของแอตแลนติส พอซูจิ้งอธิบายออกมา พวกเขาก็ยังต้องการเห็นสภาพพื้นที่ที่ได้เก็บของพวกนี้มา
ซูจิ้งนั้นไม่มีทางเลือกอื่นจึงได้ทำการเปิดแผนที่ขึ้นมา ดีที่เขาได้เตรียมตัวมาแล้วล่ะดับหนึ่งในเรื่องนี้ เขาได้ชี้จุดๆหนึ่งในน่านน้ำสากลที่มีความเป็นไปได้มากพอที่ควรจะมีหลักฐานของแอตแลนติสอยู่ที่นั่น
เมื่อเหล่านักโบราณคดีเห็นดังนั้นจึงได้รีบสั่งการให้มีการเตรียมตัวสำรวจกันในทันที พวกเขานั้นทำให้ซูจิ้งต้องรู้สึกผิดไปนิดนึง