Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 897
GGS:บทที่ 897 ล่อลวง
ประวัติเกี่ยวกับซูจิ้งที่มีชาวเน็ตคนหนึ่งรวบรวมมาเพราะรำคาญข้อมูลผิดๆถูกๆที่คนอื่นเคยถามจนต้องโพสต์เอาไว้นั้นได้กลายเป็นกระทู้ในตำนานในทันที โดยกระทู้นี้ได้มีช่องคอมเม็นต์ยาวเป็นหางว่าวและยังไม่มีท่าทีที่จะหยุดลงแม้แต่น้อย
ทำให้มีชาวเน็ตจำนวนหนึ่งเกิดความอิจฉา ริษยาตาร้อน และรู้สึกเกลียดซูจิ้งขึ้นมาจนจับใจ มีหลายๆคนที่เตรียมจะสร้างเรื่องก่อกวนซูจิ้งเรียบร้อยแล้ว
แต่พอพวกนั้นนึกถึงเบื้องหลังอันลึกสุดหยั่งของซูจิ้งขึ้นมา ต่อให้คนที่มีหยักสมองน้อยขนาดไหนก็ตาม แน่นอนว่าไม่กล้ามีใครกล้าทำอะไรโฉ่งฉ่างอย่างแน่นอน
ซูจิ้งเองในตอนนี้ก็หาได้สนใจกระทู้ในตำนานที่ว่าแต่อย่างใด แต่เขากลับเลือกที่จะสืบสานตำนานของเขาต่อโดยไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นตำนานอะไรทั้งนั้น
เขาได้ทำการโทรหาเตียนจงยี่เพื่อคุยกันเรื่องการปลูกข้าวสีน้ำเงิน และเช่นเดิมเขานั้นยังคงตั้งใจที่จะเสนอส่วนแบ่ง70%เหมือนครั้งก่อน
“คุณซูครับ ผมขอพูดเลยครับว่าผมไม่ต้องการส่วนแบ่งการปลูกข้าวนี้หรอกครับ” เตียนจงยี่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อมยิ่งกว่าครั้งก่อนๆ
เขาเองก็ได้รับรู้เรื่องที่ซูจิ้งนั้นเป็นหุ้นส่วนในอุตสาหกรรมยาสูบจำนวน10%เหมือนกัน เรื่องนี้สร้างความตกตะลึงให้เขาไม่น้อยเลยทีเดียวและรู้สึกว่าตัวได้รับเกียรติจนน้ำตาของเขาไหลในทันทีที่รู้เรื่องนี้
ตอนแรกที่เขาร่วมมือกับซูจิ้งนั้น เขายังกลัวอยู่ว่าซูจิ้งนั้นจะแข็งแกร่งไม่พอที่จะต่อสู้กับซุนหยูเฮงได้ กลับกลายเป็นว่าเขาเองนั้นเป็นเพียงเต่าตาบอดในไหเท่านั้นเอง
ซูจิ้งนั้นมีอำนาจมากพอจนได้รับส่วนแบ่งในอุตสาหกรรมยาสูบจำนวน10%เลยนะ จะมีใครสักกี่คนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้กัน ซุนหยูเฮงน่ะหรอ มันก็แค่เสียงผายลมแค่นั้นเอง
ยิ่งไปกว่านั้นทั้งผลกำไรที่ได้จากดอกกุหลาบสีน้ำเงิน มะละกอเกล็ดงู และมะละกอหวานนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะได้ส่วนแบ่ง30%เท่านั้น แต่ผลกำไรที่ผ่านมานั้นถือได้ว่ามากเสียยิ่งกว่าเขาทำงานมาชั่วชีวิตซะอีก
ตราบใดที่เขานั้นยังได้รับความเชื่อใจและมีโอกาสได้ทำงานกับซูจิ้งอยู่อีกล่ะก็ ยังไงซะชีวิตนี้ก็ไม่มีทางตกต่ำอย่างแน่นอน
“ฉันจะให้นายจัดการเรื่องพวกนี้โดยไม่แบ่งเงินให้นายได้ยังไงกันเล่า เอาแบบนี้ 10% แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เขาเองก็รู้ถึงความคิดของเตียนจงยี่ดีเช่นเดียวกัน
แต่ตัวเขานั้นก็ไม่ใช่คนที่กดขี่ข่มเหงคนอื่นเป็นว่าเล่นขนาดนั้น อีกอย่างนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเชื่อใจให้คนของเขาไม่ให้หักหลังตัวเขาเองในอนาคตด้วยเช่นเดียวกัน
อย่างที่เขาว่ากันว่าหากอยากจะทำฟาร์มปศุสัตว์นั้นก็ควรต้องเริ่มจากการให้อาหารให้เป็นเสียก่อน ต่อให้เตียนจงยี่ไม่ต้องการสักแดงเดียว ถึงยังไงเขาก็ควรจะให้เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจสักหน่อยก็ยังดี
“ได้ครับ แค่นั้นก็พอแล้ว” เตียนจงยี่พูดออกมาด้วยความเลื่อมใสจนหมดใจ
“งั้นเราก็มาเจอหน้าแล้วเซ็นสัญญากันหน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะให้นายลองลิ้มชิมรสข้าวสีน้ำเงินของฉัน แล้วนายจะรู้ว่านายพลาดโอกาสดีไปขนาดไหน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม และนี่เองก็ได้ชนะใจเตียนจงยี่ได้เต็มๆไปเลย
เขามั่นใจได้ในทันทีว่าเมื่อเตียนจงยี่ได้กินข้าวสีน้ำเงินนี่แล้วล่ะก็ต้องเร่งรีบทำการตลาดได้อย่างรวดเร็วอย่างแน่นอน
“ได้ครับ ว่าแต่เรื่องที่ดินที่จะใช้ปลูกนี่พอดีผมมีคนรู้จักคนหนึ่ง เธอนั้นมีที่ที่เหมาะกับการปลูกข้าวมากๆอยู่จำนวนมากเลย แต่ตัวเธอนั้นมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนมันเป็นพื้นที่เขตอุตสาหกรรม ผมเลยจะถามว่าคุณซูจะให้ผมจัดการเรื่องนี้เลยเป็นคุณซูเองเป็นคนคุยดีครับ”
“นายพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไมล่ะนั่น หรือว่าฉันรู้จักเธออย่างงั้นเหรอ” ซูจิ้งถามออกมาด้วยความสงสัย
“เอาจริงๆผมก็ไม่รู้จักเธอหรอกครับ และผมไม่แน่ใจด้วยว่าคุณจะรู้จักเธอด้วยรึเปล่า แต่เธอเอ่ยถึงคุณในตอนที่ผมไปหาแปลงปลูกผลผลิตของพวกเราก่อนหน้านี้ พอคุณบอกว่าจะปลูกข้าวผมเลยคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมานะ”
ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันแต่ซูจิ้งที่ได้ฟังเสียงของเตียนจงยี่ในตอนนี้เขาถึงรู้สึกว่าหมอนี่กำลังเขินๆยังไงบอกไม่ถูก
ซูจิ้งนิ่งเงียบคิดไปสักพักก่อนจะพูดออกมาว่า “ได้ บอกไปว่าเดี๋ยวผมไปพบเธอเอง”
เย็นวันนั้นซูจิ้งได้ขับรถปอร์เช่ของเขาไปจอดที่หน้าภัตตาคารอาหารชั้นสูงแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีเตียนจงยี่ยืนรอเขาที่ประตูอยู่ก่อนแล้ว และข้างๆเขานั้นมีชายหนุ่มรูปหล่อยืนอยู่ข้างๆ
เมื่อเขาเห็นซูจิ้งก้าวเดินลงจากรถก็ได้รีบตรงเข้าไปพูดคุยในทันทีโดยบอกว่า “คุณซู เธอรอคุณอยู่ที่ชั้นสองครับ”
“งั้นไปกันเถอะ ส่วนเรื่องสัญญาของเราสองคนเดี๋ยวค่อยเซ็นหลังจากนี้ก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมา
“ได้ครับ เรื่องของผมไม่ต้องรีบร้อนหรอก คุยเรื่องธุระกับเธอก่อนดีกว่า” เตียนจงยี่พูดออกมา
ทันทีที่ซูจิ้งขึ้นไปชั้นสองนั้นก็ได้รู้สึกถึงความผิดปกติในทันที ตอนผ่านชั้นหนึ่งมาเองเขาก็รู้สึกแปลกๆได้เช่นเดียวกัน มันเหมือนกับว่าที่ชั้นหนึ่งนั้นมีลูกค้าอยู่เต็มจนล้นแต่ชั้นสองกับไม่มีใครเลยสักนิด
เขาเองเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาว่า “วันนี้ภัตตาคารนี้ปิดชั้นสองงั้นเหรอ”
“ไม่ใช่ว่าปิดชั้นสองหรอกครับแต่เป็นปิดร้านเลยต่างหาก ร้านอาหารทั้งตึกนี้มีผู้หญิงคนนั้นเป็นเจ้าของ
เพื่อเป็นการต้อนรับคุณเธอเลยปิดร้านที่ชั้นสองทั้งวันเพื่อต้อนรับคุณโดยเฉพาะ” เตียนจงยี่พูดเสร็จแล้วก็ได้หัวเราะออกมาเล็กน้อย
“ห้ะ ต้องทำกันขนาดนี้เลยเหรอ” ซูจิ้งถึงกับพูดไม่ออกในทันที เขาเองในตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกว่าเตียนจงยี่และหนุ่มรูปหล่อที่อยู่ข้างๆมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ
แถมออร่าที่ทั้งสองแผ่ออกมานั้นมันบ่งบอกว่าทั้งสองกำลังแอบซ่อนอะไรบางอย่าง แต่อย่างน้อยเท่าที่เขาดูไปแล้วก็ไม่น่าจะใช่เรื่องประสงค์ร้ายแต่อย่างใด
ถึงแม้ซูจิ้งจะรู้สึกแปลกใจขนาดไหนแก่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา เขายังขึ้นบันได้ไปชั้นสองอยู่ดี เมื่อไปถึงประตูก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า “ยินดีต้อนรับค่ะคุณซู”
ซูจิ้งได้ทำการเดินเข้าไปยังห้องโถง ในระหว่างนั้นเขาได้กลิ่นหอมของดอกไม้อ่อนลอยมาเตะจมูก ที่นั่นมีสาวสวยอายุประมาณ 30 และ 40 ปีนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ข้างหลังเธอเองก็มีชายหนุ่มหน้าตาดีที่อยู่ชุดสูทยืนอยู่จำนวนหนึ่ง
“คุณซู ได้ยินชื่อเสียงของคุณมานานแล้ว ในที่สุดก็ได้เจอสักที” หญิงสาวที่นั่งโต๊ะได้ลุกขึ้นต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์
เธออยู่ในชุดเดรสสั้นสีดำผ่าอกเผยให้เห็นผิวขาวเนียนและร่องลึกที่น่าเย้ายวน เผยให้เห็นสัดส่วนที่น่าจับตามองเมื่อรวมกับชุดสีดำและผิวขาวยิ่งทำให้เห็นราวกับรอยเด่นอยู่กลางอากาศเลยทีเดียว
ในส่วนกระโปรงของเธอเองก็ผ่าข้างขึ้นมาถึงสะโพก แสดงให้เห็นเรียวขาและบั้นท้ายที่ขาวเนียนจนแทบจะเห็นชั้นในเธอได้เลย
ใบหน้าของเธอเองก็ดูดีเลยทีเดียวถึงแม้จะดูอายุมากไปนิดแต่ก็ถือได้ว่าดูแลผิวพรรณได้ดีและยังดีมีเสน่ห์อยู่ ถึงแม้อายุจะขนาดนี้แล้วแต่การที่เธอสวมใส่เสื้อผ้าแบบนี้ก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดแต่อย่างใด
แถมยังดูมีเสน่ห์กว่าผู้หญิงอายุน้อยกว่าด้วยซ้ำต่อให้ไม่ได้แสดงท่าทางเซ็กซี่ออกมาก็เป็นที่จับตามองของชายหนุ่มได้อย่างง่ายดาย
ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่เขาได้เห็นเตียนจงยี่และชายหน้าหล่อข้างๆแอบมองอยู่บ่อยครั้ง
“สวัสดีครับคุณเฟิง ยินดีที่ได้พบครับ” แม้กับซูจิ้งเองก็อยากที่จะอดจ้องเธอไม่ได้แต่สายตาของเขานั้นเร็วเกินกว่าที่ใครจะสังเกตได้
“เป็นฉันมากกว่าค่ะ คุณซูอาจจะยังไม่รู้แต่ว่าฉันนั้นเป็นลูกค้าตัวยงของผลิตภัณฑ์จากบริษัทเวชภัณฑ์ซือหยาเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นแป้งเสริมความงาม แป้งเสริมทรวงอก แป้งกระชับสัดส่วน แถมฉันยังมีชุดกระชับสัดส่วนที่คุณขายรุ่นแรกด้วยนะ
นอกจากนี้ฉันยังเป็นแฟนของสินค้าตัวอื่นๆของคุณด้วยนะของทุกอย่างล้วนเป็นของดีๆทั้งนั้นเลย นี่จึงเป็นเหตุผลที่ฉันนั้นอยากพบคุณมานานแล้ว” เฟิงเย่เหม่ยได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มและยื่นมือออกมาอย่างอ่อนช้อยเพื่อขอจับมือทักทาย
ซูจิ้งนั้นประหลาดใจในทันทีที่ได้ยิน เขานั้นไม่คิดว่าจะเป็นลูกค้าเก่าแก่ของเขาเอง แถมเธอยังใช้แม้แต่ผงเสริมทรวงอกด้วย แต่ด้วยอายุของเธอนี่จะเสริมไปทำไมกันล่ะนั่น ถ้าจะถามไปตรงๆก็คงจะไม่ใช่เรื่องล่ะนะ
ซูจิ้งยื่นมือออกไปเพื่อทำการจับมือทักทายในทันที แต่หลังจากที่ได้จับมือนั้น เฟิงเยว่เหม่ยกลับไม่เพียงแค่จับมือเท่านั้น เธอได้ทำการลูบไล้ไปที่ฝ่ามือของซูจิ้งเป็นไปในเชิงชู้สาวเสียมากกว่า
“นี่…” ซูจิ้งเองก็ไม่เคยโดนยั่วแบบนี้มาก่อนเหมือนกันเลยไม่แน่ใจว่านี่เป็นการยั่วยวนจากอีกฝ่ายหนึ่งรึเปล่า เขาหันไปมองหน้าเตียนจงยี่ที่แกล้งมองไปทางอื่นพลางผิวปากในทันที
เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้หมอนี่ถึงมีน้ำเสียงแปลกๆตอนโทรศัพท์คุยกันและมองเขาด้วยท่าทีแปลกๆตอนเดินขึ้นบันได
ต้องบอกตรงๆเลยว่าตั้งแต่ซูจิ้งนั้นพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นที่นิยมในสังคมโลกแล้วนั้น มีเด็กสาวมากมายที่ต้องการอ่อยเขาและเขาเองก็พูดได้เลยว่าแทบจะเห็นมาแล้วเกือบทุกรูปแบบ
แต่นี่เป็นครั้งแรกสำหรับเขาเลยที่มีคนอ่อยเขามาแบบหมัดตรงขนาดนี้ หากเป็นคนอื่นก็คงโดนตกไปในทันที แต่ตัวเขานั้นมีคู่หมั้นแล้ว และชีวิตคู่ของเขาก็ดีแบบสุด สำหรับเขาแล้วการได้มาเจอเรื่องแบบนี้คือนรกชัดๆ
ถึงจะว่ามาแบบนั้นแต่เขามาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อทำธุรกิจ การเจอสถานการณ์แบบนี้แล้วเผ่นหนีเองก็ไม่ใช่สไตล์ของเขาเลยสักนิด
หากเขาไม่เล่นด้วยแน่นอนว่าเธอย่อมทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วดั่งคำที่ว่าถ้าไม่หุงข้าวให้สุกก็ไม่มีทางได้กิน
เป็นไปได้ว่าเมื่อเธอเห็นเขาไม่สนใจก็อาจจะนั่งคุยเรื่องธุรกิจกันดีๆก็ได้ คิดได้ดังนั้นซูจิ้งจึงยังคงนั่นลงต่อไป