Genius Doctor Black Belly Miss - ตอนที่ 1949 -1951
ตอนที่ 1949 นกนางแอ่นกลับรัง (1)
จวินอู๋เสียคิดแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ให้อาจารย์ข้าไป”
“เยี่ยนปู้กุย?” ฉูหลิงเย่ชะงักไปเล็กน้อย
จวินอู๋เสียพยักหน้า “เจ้าบอกให้เขามาที่นี่ก่อนนะ”
ฉูหลิงเย่พยักหน้า หลังจากนั้นไม่นาน เยี่ยนปู้กุยก็ถูกเรียกให้เข้ามาในห้อง
ละทิ้งชีวิตยากจนข้นแค้นไปได้แล้ว หลังจากได้ลูกศิษย์เศรษฐีอย่างจวินอู๋เสียมา เยี่ยนปู้กุยก็หมดห่วงไปเยอะ
“อู๋เสีย เจ้าให้ข้ามานี่มีเรื่องอะไรงั้นหรือ?” เยี่ยนปู้กุยนั่งลงอย่างผ่าเผยตรงหน้าจวินอู๋เสีย นิสัยตรงไปตรงมาของเขาไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
จวินอู๋เสียมองเยี่ยนปู้กุยอย่างประเมินอยู่เงียบๆ ว่ากันตามตรง นางไม่เคยสังเกตหน้าตาของเยี่ยนปู้กุยอย่างละเอียดมาก่อน สิ่งที่ทิ้งความประทับใจไว้มากที่สุดนอกจากรูปร่างสูงใหญ่และเสียงหัวเราะแบบเปิดเผยแล้ว ก็มีเพียงหนวดเคราบนใบหน้าของเยี่ยนปู้กุยเท่านั้น
พอวันนี้มาดูให้ดีๆแล้ว จวินอู๋เสียก็พบว่าเยี่ยนปู้กุยไม่ได้หยาบอย่างที่เห็น ตากับคิ้วของเขาห้าวหาญดูดี ไม่หยาบเลยสักนิด จมูกโด่ง ถ้าปิดหนวดเครานั่นแล้วมองแค่ตากับคิ้ว ก็เป็นผู้ชายที่หล่อเหลากำยำคนหนึ่ง แต่พอมีหนวดเคราบนใบหน้าแล้ว ก็ทำให้รู้สึกว่าคนผู้นี้ค่อนข้างหยาบคาย
เมื่อถูกลูกศิษย์ตัวน้อยจ้องมองถึงขนาดนี้ เยี่ยนปู้กุยก็ทนไม่ไหว เขากระแอมในลำคอและมองจวินอู๋เสียอย่างเคอะเขินเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นว่า “จ้องข้าทำไม? ทำคนเขาอายหมดแล้ว”
“………..” จวินอู๋เสียเงียบ นางไม่สามารถเชื่อมโยงเยี่ยนปู้กุยที่อยู่ตรงหน้านางกับซูหย่าได้เลยจริงๆ นางอดรู้สึกไม่ได้ว่าเวลาที่สองคนนี้ยืนอยู่ด้วยกัน มันทำให้นางนึกถึงหนังการ์ตูนเรื่องหนึ่งในชาติก่อนของนาง โฉมงามกับเจ้าชายอสูร
แม้ว่านั่นจะเป็นสิ่งที่นางคิดอยู่ในใจ แต่จวินอู๋เสียก็ไม่ลืมความหมกมุ่นของซูหย่า
“อาจารย์ ท่านเคยเป็นคนของอาณาจักรกลางใช่ไหม?”
“นั่นเป็นเรื่องนานหลายปีมาแล้ว ตอนนี้ข้าเป็นคนของอาณาจักรล่าง” เยี่ยนปู้กุยกล่าวอย่างร่าเริง
“ข้าจำได้ว่าอาจารย์เป็นคนของวิหารแห่งชีวิตใช่ไหม?” จวินอู๋เสียถามอีกครั้ง
“อืม” เยี่ยนปู้กุยพยักหน้า สงสัยว่าทำไมจู่ๆลูกศิษย์ของเขาถึงได้สนใจเรื่องนี้ขึ้นมา
“แล้วทำไมตอนนั้นอาจารย์ถึงได้จากไปล่ะ? หรือว่าจะเป็นเหมือนพ่อแม่ของพวกเฉียวฉู่?” จวินอู๋เสียมองไปที่เยี่ยนปู้กุย
เยี่ยนปู้กุยผงะไปเล็กน้อย เขาหลุบสายตาลงต่ำ พยายามซ่อนความรู้สึกสูญเสียในแววตาเอาไว้
“ข้าจากไปทำไมไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกแล้ว ข้าไปจากอาณาจักรกลางนานแล้ว เรื่องในอดีตก็ปล่อยให้มันเป็นอดีตเถอะ พูดถึงมันอีกก็ไม่มีความหมายอะไร”
“ในอาณาจักรกลางไม่มีใครที่อาจารย์เป็นห่วงเลยหรือ?” จวินอู๋เสียมองไปที่เยี่ยนปู้กุยอย่างแน่วแน่ ผู้หญิงอย่างซูหย่า ชายใดในใต้หล้าจะไม่ชอบหรือชื่นชมนาง?
เยี่ยนปู้กุยนิ่งเงียบ ดูเหมือนไม่อยากนึกถึงเรื่องนั้น เขาเงียบอยู่นาน เมื่อโดนจวินอู๋เสียจ้องมองอย่างแน่วแน่ เขาก็ไม่สามารถปัดหัวข้อนี้ออกไปได้ จึงพูดช้าๆว่า “อาจารย์เจ้าก็เป็นคนเหมือนกัน เป็นคนก็ย่อมมีความรู้สึก แม้ว่าข้าจะไปจากอาณาจักรกลาง แต่ข้าก็อยู่ที่นี่มาหลายปี ในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกผูกพัน แต่คนที่นี่ที่ข้าจำได้มีไม่มาก ถึงมีข้าก็ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นยังอยู่รึเปล่า แทนที่จะบอกว่าเป็นคนที่ข้ากังวลถึง น่าจะพูดว่าเป็นคนที่ข้าติดค้างอยู่มากกว่า”
เป็นครั้งแรกที่เสียงร่าเริงของเยี่ยนปู้กุยฟังดูเศร้าและหดหู่เช่นนี้
จวินอู๋เสียเห็นทุกปฏิกิริยาที่เยี่ยนปู้กุยแสดงออกมา การได้พบกับจวินอู๋เหยาทำให้จวินอู๋เสียได้รู้ว่าอะไรคือความรู้สึก อะไรคือความรัก ในอดีตนางอาจจะไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้นางเห็นความคิดถึงในดวงตาของเยี่ยนปู้กุยเหมือนกับที่นางเคยเห็นในดวงตาของซูหย่า
ตอนที่ 1950 นกนางแอ่นกลับรัง (2)
จวินอู๋เสียสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็เอ่ยปากช้าๆว่า “ตั้งแต่ข้าก้าวเท้าเข้าสู่อาณาจักรกลาง ใจของข้าก็มุ่งแต่จะทำลายสิบสองวิหารเท่านั้น เพื่อการนั้นข้ากับพวกเฉียวฉู่ได้เข้าร่วมงานชุมนุมเทพยุทธ์ และตามคาด พวกเราทุกคนได้รับเลือกให้เข้าสำนักธาราเมฆ”
“ฮ่า เฉียวฉู่เล่าเรื่องนั้นให้ข้าฟังแล้ว” เยี่ยนปู้กุยพูดพลางหัวเราะ
แต่จวินอู๋เสียไม่พลาดที่จะสังเกตเห็นประกายแปลกๆในแววตาของเยี่ยนปู้กุยตอนที่นางเอ่ยถึง “สำนักธาราเมฆ”
“ในสำนักธาราเมฆข้าได้คารวะคนผู้หนึ่งเป็นอาจารย์ คนผู้นั้นมีนิสัยแปลกๆและไม่ได้ใส่ใจข้านักในตอนแรก เป็นเพราะอาจารย์ใหญ่ขอให้นางสอนข้า นางจึงรับข้าไว้อย่างไม่เต็มใจ ผ่านไปสักพักนางก็ค่อยๆยอมรับข้าเป็นศิษย์ นางบอกข้าว่านางไม่อยากรับลูกศิษย์อีกแล้วในชีวิตนี้” จวินอู๋เสียพูดด้วยเสียงไม่ยินดียินร้ายใดๆ ราวกับว่านางกำลังพูดถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับนาง
เยี่ยนปู้กุยตกอยู่ในภวังค์เมื่อได้ยิน ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“นางมีรูปโฉมงดงาม แต่ติดเหล้าเป็นชีวิตจิตใจ อารมณ์ร้อน แต่ปกป้องศิษย์อย่างที่สุด เวลาคนอื่นข่มเหงข้าแม้เพียงเล็กน้อย นางจะทวงความยุติธรรมให้ด้วยตัวเอง นางเคยพูดว่าศิษย์ของนางต้องไม่ถูกคนอื่นข่มเหงรังแก หากถูกคนรังแก ต้องสู้กลับ หากสู้เองไม่ได้ นางจะช่วยสู้ อาจารย์ ท่านว่านางเป็นอาจารย์ที่ดีหรือไม่?” จวินอู๋เสียพูดจบก็มองไปที่เยี่ยนปู้กุยซึ่งนั่งนิ่งเงียบ
มือของเยี่ยนปู้กุยที่ถือเหยือกเหล้าสั่นเล็กน้อย ราวกับพยายามข่มใจอย่างหนัก
“ใช่ คนที่ปกป้องศิษย์ถึงขนาดนั้นย่อมเป็นอาจารย์ที่ดี” ไม่รู้ทำไมเสียงของเยี่ยนปู้กุยจึงฟังดูแหบพร่าเล็กน้อย
“อาจารย์ซูหย่าเป็นคนดี และดีกับข้ามาก แต่ข้ารู้ว่าใจนางยึดติดอยู่กับอะไรบางอย่าง นางบอกว่านางอยู่ที่สำนักธาราเมฆเพื่อรอใครบางคน เป็นคนที่ทำให้นางผิดหวัง” จวินอู๋เสียกล่าวเรียบๆ
เยี่ยนปู้กุยยกมือขึ้นกุมหน้าผาก เงามืดบดบังใบหน้าของเขา
“นางไม่ควรรอ ใครบางคนนั้นไม่สามารถกลับไปได้อีกแล้ว ไม่มีหน้ากลับไปหานางอีก”
“ทำไมล่ะ? ถ้าเป็นเพราะวิหารแห่งชีวิต วิหารแห่งชีวิตก็ถูกทำลายไปแล้ว ทำไมถึงกลับไปเจอไม่ได้?” จวินอู๋เสียไม่เข้าใจ นางให้เฟยเหยียนตรวจสอบทุกอย่างเกี่ยวกับวิหารแห่งชีวิตตอนที่เขาอยู่ในวิหารมังกร แต่ก็ไม่พบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเยี่ยนปู้กุยเลย
ตามหลักเหตุผลแล้ว ถ้าเยี่ยนปู้กุยกับวิหารแห่งชีวิตมีความบาดหมางอะไรต่อกัน เครือข่ายข่าวสารของวิหารมังกรก็ไม่น่าจะพลาดไปได้ ตอนนี้วิหารแห่งชีวิตได้หายไปแล้ว แม้ว่าเยี่ยนปู้กุยจะยังรู้สึกกระดากใจอยู่ แต่ก็ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องกังวลอะไรอีกต่อไป
เยี่ยนปู้กุยส่ายหน้า
“อู๋เสีย ข้าเข้าใจเจตนาดีของเจ้า แต่เรื่องนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิด เหตุผลไม่ใช่เพราะข้ากับวิหารแห่งชีวิตมีเรื่องอะไรกันหรอก แม้ว่าวิหารแห่งชีวิตจะถูกทำลายไปแล้ว ข้าก็ยังไม่กล้าไปหานางอยู่ดี เจ้าไม่เข้าใจ หากข้าไปอยู่ข้างกายนาง ก็มีแต่จะนำหายนะไปให้นาง หรือแม้กระทั่ง…… ข้าอยู่ที่อาณาจักรกลางนานๆไม่ได้ อีกไม่นานข้าก็จะไปแล้ว”
น้ำเสียงของเยี่ยนปู้กุยเต็มไปด้วยความรู้สึกหมดหนทาง เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมองจวินอู๋เสียแล้วกล่าวว่า “อู๋เสีย ข้ามองออกว่าจวินอู๋เหยามีความสำคัญต่อเจ้ามาก หากเจ้าเชื่อข้าในฐานะอาจารย์ ก็ออกจากอาณาจักรกลางไปพร้อมกับจวินอู๋เหยาให้เร็วที่สุด กลับไปที่อาณาจักรล่างซะ ที่ไหนก็ได้ อย่าอยู่ที่นี่ต่อ อาณาจักรกลางอันตรายเกินไปสำหรับจวินอู๋เหยา!”
คำพูดของเยี่ยนปู้กุยทำให้จวินอู๋เสียตกใจ นางคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจวินอู๋เหยา
“อาจารย์ ที่ท่านพูด……หมายความว่ายังไง?”
เยี่ยนปู้กุยกัดฟัน ท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เหมือนเขากังวลอะไรอยู่
“ข้าไม่เคยคิดร้ายต่อเจ้า พวกเจ้าแก้แค้นเรียบร้อยแล้ว ก็อย่าอยู่ที่นี่ต่อเลย อาณาจักรกลางไม่ใช่สถานที่ที่ดี”
ตอนที่ 1951 นกนางแอ่นกลับรัง (3)
จวินอู๋เสียขมวดคิ้วมองเยี่ยนปู้กุย คำพูดของเยี่ยนปู้กุยทำให้นางรู้สึกถึงอันตราย
ต้องมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เยี่ยนปู้กุยไม่กล้าไปพบซูหย่า และไม่กล้าอยู่ในอาณาจักรกลาง และเหตุผลนั้นก็เกี่ยวข้องกับจวินอู๋เหยาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
“อาจารย์ ท่านรู้ตัวตนของจวินอู๋เหยา” จวินอู๋เสียไม่ได้ถาม แค่ยืนยันการคาดเดาของตัวเอง
เยี่ยนปู้กุยยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “คนของอาณาจักรกลางมีใครบ้างไม่รู้จักดวงตาสีม่วงคู่นั้น? แม้ว่าจะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่พอเห็นดวงตานั่นก็บอกได้แล้วว่านั่นคือจักรพรรดิแห่งความมืด”
“ตอนนั้นจักรพรรดิแห่งความมืดสิ้นได้อย่างไร? อาจารย์รู้ใช่ไหม?” จวินอู๋เสียแน่ใจว่าเยี่ยนปู้กุยต้องรู้อะไรบางอย่าง แม้ว่าดูจากอายุของเขาแล้ว เขาไม่น่าจะรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่คำพูดของเขาทำให้จวินอู๋เสียรู้สึกเช่นนั้น
เรื่องของจวินอู๋เหยา จวินอู๋เสียไม่ได้ถามอะไรมากนัก แต่คำพูดของเยี่ยนปู้กุยทำให้นางรู้สึกถึงอันตราย นางจึงอดถามไม่ได้
เยี่ยนปู้กุยรู้ดีว่าเขาไม่ควรพูดมากไปกว่านี้ แต่เมื่อเห็นสายตากังวลของจวินอู๋เสีย เขาก็ทำใจแข็งต่อไปไม่ได้
“จักรพรรดิแห่งความมืดไม่ได้สิ้น เขาแค่ถูกปิดผนึกพลังและถูกขังไว้ที่ไหนสักแห่งในอาณาจักรล่าง อู๋เสีย เจ้ารู้ไหมว่าพลังที่แท้จริงของจักรพรรดิแห่งความมืดแข็งแกร่งมากเพียงใด?”
“พลังที่แท้จริง?” จวินอู๋เสียผงะไปเล็กน้อย หมายความว่าตอนนี้จวินอู๋เหยาไม่ได้มีพลังทั้งหมดของเขางั้นหรือ?
เยี่ยนปู้กุยกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกว่าจวินอู๋เหยาตอนนี้ก็แข็งแกร่งมากแล้ว แข็งแกร่งกว่าอะไรทั้งหมดที่เรารู้จัก แต่ข้าอยากจะบอกเจ้าว่าจวินอู๋เหยาตอนที่เป็นจักรพรรดิแห่งความมืด ตอนที่พลังของเขาอยู่ในจุดสูงสุด แค่ฝ่ามือเดียวก็สามารถสังหารทุกคนในเก้าอารามและสิบสองวิหารได้ นั่นคือพลังที่แท้จริงของเขา”
ดวงตาของจวินอู๋เสียเบิกกว้างเล็กน้อย จวินอู๋เหยาที่แข็งแกร่งถึงขนาดนั้น ใครกันที่สามารถจับเขาและผนึกพลังของเขารวมทั้งขังเขาเอาไว้ในถ้ำมืดที่ไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวันนั่นได้?
“ตอนนั้นจักรพรรดิแห่งความมืดถูกคนวางแผนทำร้าย จวินอู๋เหยาที่ข้าเคยเห็น แม้ว่าจะได้พลังบางส่วนคืนมาแล้ว แต่เทียบกับตอนที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วยังอีกห่างไกล เขาในตอนนี้ถ้าถูกคนพวกนั้นเจอเข้าล่ะก็ พวกเขาจะจับเขาไปโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้นอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นพาจวินอู๋เหยาไปจากอาณาจักรกลางซะ” เยี่ยนปู้กุยแนะนำอย่างจริงใจ
ความคิดของจวินอู๋เสียหมุนติ้วจากสิ่งที่ได้ยิน ดูเหมือนจะจับประเด็นสำคัญบางอย่างได้แล้ว
“อาจารย์ ที่ท่านจากไปในตอนนั้นก็เป็นเพราะคนกลุ่มเดียวกันนี้หรือ?”
เยี่ยนปู้กุยพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
“อู๋เสีย นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะไปแตะต้องได้ แม้แต่จักรพรรดิแห่งความมืดยังถูกโค่นล้ม เจ้าต้องไม่ข้องเกี่ยวกับพวกเขาเด็ดขาด”
จวินอู๋เสียตะลึงงันไปเล็กน้อย
ทันใดนั้น ร่างสูงโปร่งก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของนางและโอบจวินอู๋เสียที่ร่างกายเย็นเล็กน้อยไว้ในอ้อมกอด ดวงตาสีม่วงของเขามองไปที่เยี่ยนปู้กุยซึ่งตัวแข็งไปแล้วอย่างไม่พอใจ
“จักรพรรดิแห่งความมืด” เยี่ยนปู้กุยใจสั่นสะท้าน
จวินอู๋เหยาหรี่ตามองเยี่ยนปู้กุย แล้วพูดว่า “ถ้าเจ้าไม่ใช่อาจารย์ของเสี่ยวเสียเอ๋อร์ เจ้าตายไปแล้ว”
เยี่ยนปู้กุยเย็นวาบไปทั้งร่าง รังสีกดดันจากจวินอู๋เหยาทำให้เขาหายใจไม่ค่อยออก เขารู้ดีแก่ใจว่าคำพูดของจวินอู๋เหยาไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
“หากไร้กำลังปกป้องคนที่ตนรัก ก็เท่ากับเป็นคนไร้ประโยชน์” จวินอู๋เหยามองเยี่ยนปู้กุยอย่างเย็นชา คำพูดที่เยี่ยนปู้กุยบอกกับจวินอู๋เสียทำให้เขาเกิดจิตสังหารขึ้นมา
เรื่องพวกนั้นไม่ใช่สิ่งที่จวินอู๋เสียควรรู้ในตอนนี้
แววตาของเยี่ยนปู้กุยสั่นไหว รู้ว่าตนพลั้งปากพูดมากไปแล้ว
“ใครอยากจับท่านงั้นหรือ?” จวินอู๋เสียเงยหน้าขึ้นมองจวินอู๋เหยา เงาของเขาสะท้อนอยู่ในแววตาของนาง