อยากกินไหมล่ะ - ตอนที่ 749
หนูอยากจะกินข้าวแช่
เสี่ยวเฉินรอคอยข้าวแช่ของหยวนโจวด้วยความคาดหวัง แต่ก็ไม่ต้องรอให้นานเนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่าข้าวแช่นั้นสามารถเตรียมขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
“พี่เสี่ยวเฉิน ข้าวแช่ได้แล้วค่ะ ทานให้อร่อยนะคะ” โจวเจียกล่าวตอนที่เธอมาถึงพร้อมถาดที่บรรจุอาหารไว้บนนั้น
“ขอบใจนะ” เสี่ยวเฉินกล่าวขอบคุณเธอแล้วช่วยยกอาหารออกจากถาด
“ด้วยความยินดีค่ะ” โจวเจียส่ายหน้าพร้อมยิ้ม
ข้าวแช่ก็เหมือนชื่อที่เรียกนั่นแหละ เป็นข้าวที่ผ่านการแช่มาแล้ว ข้าวขาวที่แช่อยู่ในน้ำถ้วยหนึ่งที่ยกมาเสิร์ฟให้เสี่ยวเฉินนั้นดูไปแล้วเหมือนข้าวต้มถ้วยหนึ่งไม่มีผิด นอกจากนี้ยังมีน้ำเปล่าหนึ่งแก้วกับลูกกวาดสองลูกด้วย
“ฉันจะกินข้าวก่อนล่ะนะ” เสี่ยวเฉินไม่กินลูกกวาดเพื่อกระตุ้นความอยากอาหารก่อนอย่างที่เธอมักจะทำอยู่เสมอ แต่เธอกลับเริ่มกินข้าวทันที
อันที่จริงแล้ว ข้าวแช่ไม่ง่ายเท่าข้าวต้มหรอก ข้าวต้องต้มในน้ำเสียก่อนจึงจะยกมาเสิร์ฟได้
ส่วนข้าวที่นำมาใช้นั้นก็เป็นเสี่ยวเฉินเองที่ขอให้ใช้ข้าวค้างคืน เพียงแต่อาหารจานนี้ต้องทำด้วยข้าวค้างคืนถึงจะมีรสชาติอย่างที่ควรจะมี
น้ำในถ้วยเป็นสีขาวน้ำนมในขณะที่เมล็ดข้าวเปล่งประกายโปร่งแสง ส่วนไอควันชั้นบางๆกำลังลอยวนเหนือถ้วย
“ดูน่ากินจริงๆเลย” เสี่ยวเฉินรำพึงขณะที่หยิบช้อนขึ้นมาแล้วเริ่มกิน
ช้อนที่เธอใช้เป็นช้อนลายครามที่สลักดอกบัวสีม่วงเอาไว้ตรงกลางช้อนให้ความสวยงามและบอบบางไปในที
เมื่อเธอตักข้าวขึ้นมาคำหนึ่งก็สามารถเห็นจุดสีน้ำเงินสวยงามบนข้าวได้ แน่นอนว่าเธอย่อมไม่สนใจเรื่องนี้แล้วยัดข้าวเข้าปากทันที
ข้าวแช่ไม่เหมือนกับข้าวต้ม ดังนั้นเมล็ดข้าวจึงไม่จำเป็นต้องหุงจนเละ ฉะนั้นรสชาติอาหารจานนี้จึงเป็นเพียงการรวมกันอย่างง่ายๆของน้ำเดือดกับข้าวขาวธรรมดาเท่านั้น พูดง่ายๆก็คือไม่มีรสชาติอะไรเลย
แต่ข้าวแช่ถ้วยนี้ที่หยวนโจวเตรียมขึ้นกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นของข้าว เมื่อเข้าปากก็จะส่งกลิ่นหอมหวานเล็กน้อย
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่านี่คือความหวานที่กระจายไปทั่วหลังจากเคี้ยวเมล็ดข้าวแล้ว
“ฟู่ ฟู่” เสี่ยวเฉินเป่าข้าวร้อนๆก่อนที่จะกินต่อ
ข้าวแช่ของหยวนโจวเป็นข้าวแช่บริสุทธิ์ที่ปราศจากสารปรุงแต่งอาหารใดๆทั้งสิ้น ตามปกติแล้วเมื่อทำที่บ้านก็ต้องมีอาหารที่รับประทานโดยไปต้องอุ่นควบคู่กันไปด้วย แต่เสี่ยวเฉินก็ไม่ได้สั่งอะไรอีก เธอยังคงกินต่อไป ขณะที่กินอยู่นั้น ความเร็วของเธอก็เพิ่มขึ้น
ข้าวแช่ถ้วยหนึ่งค่อนข้างน้อย เสี่ยวเฉินใช้เวลาไม่นานก็จัดการจนเกลี้ยง หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว เสี่ยวเฉินก็ออกไป
ตึก ตึก ตึก เสี่ยวเฉินเดินไปยังอพาร์ทเมนต์ที่เช่าไว้ จู่ๆเธอก็ลูบท้องแล้วพึมพำขึ้นมาว่า “ฉันยังไม่อิ่มเลย”
ความรู้สึกราวกับไม่ได้กินอะไรเลยหลังอาหารจะเป็นอันตรายต่อคนที่พยายามลดน้ำหนัก ส่วนเสี่ยวเฉินนั้น ไม่เพียงเธอยังคงรู้สึกหิวเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าข้าวแช่จะกระตุ้นความอยากอาหารของเธอเข้าให้แล้วทำให้เธอรู้สึกอยากทานอาหารอีก
พักนี้เธองานยุ่งมาก ดังนั้นเธอจึงไม่ขยับเขยื้อนไหวติงราวกับศพหลังเวลางาน แม้แต่ในวันหยุด เธอก็ยังเอาแต่นอนอยู่บนเตียงทั้งวัน คราวที่แล้วเธอถึงกับเจริญอาหารเมื่อได้รับโบนัสหลังจากคำสั่งซื้อเสร็จสมบูรณ์ลงแล้ว
แล้วหลังจากนั้นเธอก็เจริญอาหารเมื่อได้เจอพี่ๆน้องๆที่ไม่ได้เจอกันเสียนาน ส่วนหลังจากนั้น… เธอก็ไม่ได้นึกถึงพวกเธออีก อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องเดียวที่เธอจำได้ในช่วงปีใหม่ ในตอนนั้น เธอค่อนข้างเจริญอาหารมากทีเดียวเมื่อได้ทานอาหารที่มารดาของเธอเป็นคนเตรียมขึ้นมา
เธอโดนมารดาจ้องจับผิดเพราะยังไม่มีแฟน มารดาของเธออ้างว่าเธอกินเยอะราวกับหมูแต่ก็ยังไม่มีประโยชน์เท่าหมูเลยเสียด้วยซ้ำไป
ใช่แล้ว นั่นก็คือมารดาบังเกิดเกล้าของเธอเอง
ขณะที่เธอเดินอยู่นั้น เสี่ยวเฉินก็เริ่มคิดถึงมารดาของเธอขึ้นมา ก่อนจะทันได้รู้ตัว เธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทร
บนหน้าจอขึ้นคำว่า “แม่” หลังจากเสียงสัญญาณดังขึ้นหลายต่อหลายครั้งก็มีคนรับสาย
“โทรมาทำไมดึกดื่นป่านนี้? เลิกงานแล้วหรือไง?” สตรีวัยกลางคนถาม คนผู้นี้ก็คือมารดาของเสี่ยวเฉินนั่นเอง
“ไม่มีอะไรหรอก หนูเพิ่งทานอาหารมื้อค่ำเสร็จ แม่กินข้าวหรือยัง?” เสี่ยวเฉินถาม
“แกคงออกไปกินข้าวนอกบ้านอีกแล้วสินะ บอกแล้วไงว่าอาหารข้างนอกมันทั้งแพงแถมไม่ดีต่อสุขภาพอีก อย่ากินเยอะเกินไปเสียล่ะ แกควรจะทำอาหารกินเองบ้างนะ เป็นลูกผู้หญิงไม่ควรจะขี้เกียจนะ ดูแกสิ ถ้าแกเป็นผู้ชายจะหาผู้หญิงอย่างแกมาเป็นแฟนไหมล่ะ?” คำพูดยาวเหยียดพรั่งพรูออกมาทันทีที่มารดาของเธอได้ยินเรื่องอาหาร
“…” ทีแรกเสี่ยวเฉินมีคำพูดมากมายที่อยากจะบอกมารดาของเธอ แต่ตอนนี้มันปลาสนาการหายไปจนสิ้นแล้ว เสี่ยวเฉินสงสัยจริงๆว่าเธอเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาจากถังขยะที่ไหนสักแห่งหรือเปล่านะ
“เปล่านะ หนูเลิกงานดึกก็เลยไม่รู้สึกอยากทำอาหารต่างหากเล่า” เสี่ยวเฉินตอบสั้นๆราวกับเธอรู้สึกเหนื่อยมากเสียเหลือเกิน
“จริงๆเลย ไม่มีลูกผู้หญิงคนไหนขี้เกียจได้เท่าแกอีกแล้ว ในเมื่อเลิกงานดึกก็ควรจะรีบกลับบ้านไปเสีย ฉันยังได้ยินเสียงรถอยู่ใกล้ๆตัวแกอยู่เลยนะ ทำไมถึงออกมาเดินคนเดียวดึกๆดื่นๆป่านนี้ในเฉิงตูล่ะ? รีบกลับไปซะ” มารดาของเสี่ยวเฉินยังคงเซ้าซี้ต่อไป
ก่อนที่เสี่ยวเฉินจะทันได้พูดอะไรอีก มารดาของเธอก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้แล้วพูดต่อไปว่า “ทำไมแกโทรมาหาฉันดึกดื่นป่านนี้เล่า? มีอะไรหรือเปล่า?”
เธอถามไปเรื่อยเปื่อยและกำลังจะวางสายหากไม่มีเรื่องสำคัญ
เสี่ยวเฉินเงียบไปนานก่อนที่จะพูดความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงออกมา “ไม่มีอะไรหรอก จู่ๆหนูก็คิดถึงข้าวแช่ของแม่ขึ้นมาเสียดื้อๆ ก็ไม่ได้กินมาตั้งนานแล้วนี่นา”
“เรื่องนั้นง่ายจะตาย ตอนแกกลับมา ฉันจะทำข้าวแช่กับเนื้อผัดเกี้ยมไฉ่ให้แกกินเอง” มารดาของเธอกล่าว
“เยี่ยมไปเลย หนูจะกลับบ้านช่วงประเพณีแข่งเรือมังกรนะ” เสี่ยวเฉินตอบพลางพยักหน้า
“ได้สิ อย่าลืมกลับมาช่วงประเพณีแข่งเรือมังกรล่ะ แล้วก็อย่าออกไปไหนคนเดียวดึกๆดื่นๆอีก มันไม่ปลอดภัยนะได้ยินไหม?” มารดาของเธอเซ้าซี้ต่อไป
“อืม หนูรู้แล้ว เอาล่ะ รถมาแล้ว หนูจะวางสายแล้วนะ” เสี่ยวเฉินกล่าว
“ก็ได้ งั้นฉันจะทำข้าวแช่กับหมูผัดเกี้ยมไฉ่ให้แก่กินตอนกลับมาก็แล้วกันนะ ฉันจะกลับไปดูรายการทีวีต่อล่ะ จุ๊บๆ” มารดาของเธอกล่าว
เสี่ยวเฉินบอกลาแล้ววางสาย เธอค่อนข้างตกตะลึงจนพูดไม่ออกที่ได้ยินมารดาพูดว่า “จุ๊บๆ” กับเธอ
“ไม่ได้กินข้าวแช่มานานแล้วจริงๆ ฉันคิดว่าข้าวแช่ของเถ้าแก่หยวนน่าจะอร่อยกว่าข้าวแช่ของแม่นะ ข้าวของเถ้าแก่หยวนคุณภาพยอดเยี่ยมมากเกินไปแล้ว แต่ยังไงฉันก็ยังตั้งตารอคอยอาหารของแม่อยู่ดีนั่นแหละ” เสี่ยวเฉินพึมพำก่อนที่จะไปขึ้นรถ
ตัวเธอเองก็ไม่ทราบว่าทำไมถึงได้อยากเอ่ยคำพูดตั้งมากมายที่อยากเอ่ยกับมารดาถึงได้เหลือแค่เพียงคำเดียวว่า “หนูอยากกินข้าวแช่” ไปเสียได้
วันนี้หยวนโจวไม่ได้ยุ่งง่วนอยู่ในครัวหลังมื้อค่ำ แต่เขากลับนั่งตรงทางเข้าเพียงลำพังพลางจ้องมองเจ้าบรอธที่กำลังเดินขึ้นๆลงๆบนถนน บางครั้งเจ้าบรอธก็จะนั่งลงตรงหน้าหยวนโจว
“ต้วนต้วน ช้าลงหน่อยสิ” หญิงสาวผมยาวกล่าวขณะวิ่งกับเจ้าสุนัขตัวใหญ่ยักษ์ที่ถูกล่ามเอาไว้
ในเวลานี้เจ้าบรอธนั่งเต๊ะอยู่ข้างหยวนโจว เมื่อเห็นแบบนั้น เจ้าสุนัขตัวใหญ่ยักษ์ก็หยุดตัวลงตรงหน้าเจ้าบรอธแล้วมองด้วยความสงสัย
“เถ้าแก่หยวน วันนี้ทำไมถึงมานั่งข้างนอกล่ะคะ?” หญิงสาวผู้นั้นหยุดทักทายหยวนโจวเมื่อเห็นเขาอยู่ตรงนั้น เธอหยุดวิ่งหลังจากสุนัขของเธอหยุดตัวลง
“ไม่มีอะไรหรอก แค่พักผ่อนน่ะ” หยวนโจวตอบขณะที่กำลังนั่งตัวตรงแน่ว
“โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!” ขณะที่หญิงสาวกำลังพูดคุยอยู่นั้น เจ้าสุนัขตัวใหญ่ยักษ์ที่ถูกเธอล่ามเอาไว้ก็เห่าใส่เจ้าบรอธ
เจ้าบรอธยังคงไม่สนใจแถมยังไม่ชายตามองเจ้าสุนัขตัวนี้เสียด้วยซ้ำ มันนั่งหลังตรงแน่วอย่างเงียบๆต่อไป
“เจ้าบรอธ แกก็อยู้ด้วยหรอกเหรอนี่? เจ้าบรอธ นี่คือต้วนต้วนนะเป็นสุนัขสายพันธุ์อลาสกัน มาลามิวท์ แกอยากเป็นเพื่อนกันหน่อยไหมล่ะ?” ขณะที่เจ้าสุนัขตัวใหญ่ยักษ์กำลังกระชากสายจูงไปหาเจ้าบรอธ หญิงสาวไม่ทางเลือกได้แต่มองหยวนโจวอย่างขอโทษขอโพยก่อนจะคุยกับเจ้าบรอธ
เมื่อเห็นเจ้าสุนัขแสนไร้เดียงสาอีกตัวยังพยายามที่จะเป็นเพื่อนกับเจ้าบรอธต่อไป หยวนโจวจึงรอดูท่าทีตอบสนองของเจ้าบรอธด้วยสีหน้าที่สงบนิ่งโดยสิ้นเชิง