อยากกินไหมล่ะ - ตอนที่ 750
เรื่องของคนสองคน
“โฮ่ง!” เจ้าอลาสกัน มาลามิวท์เห่าใส่เจ้าบรอธอีกครั้งก่อนที่จะถูไถกับหัวของเจ้าบรอธ
เจ้าบรอธยังเงียบและเอาแต่มองเจ้าอลาสกัน มาลามิวท์อย่างเย็นชาและไม่สนใจ
เมื่อเจ้าอลาสกัน มาลามิวท์และหญิงสาวเห็นเช่นนี้ พวกเขาก็ชักจะตื่นเต้นขึ้นมาเสียแล้ว ส่วนหยวนโจวนั้น เขารู้สึกเหมือนถูกใครทำร้ายมาก็ไม่ปาน เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่าสายตาก่อนหน้านี้เปี่ยมไปด้วยความดูถูกดูแคลน
“นี่มันสุนัขปีศาจหรือไงกันเนี่ย? มันรู้จักมองคนอื่นด้วยความดูถูกดูแคลนจริงๆด้วยเหรอ?” หยวนโจวยังคงรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ทั้งๆที่ในใจกลับด่าว่าอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน ทั้งที่เป็นแค่สุนัขพันธุ์มอลทีสแท้ๆ แต่เจ้าบรอธกลับกล้าดูถูกดูแคลนเจ้าอลาสกัน มาลามิวท์เชียวเหรอ?
หยวนโจวเงียบไปขณะที่หญิงสาวแนะนำเจ้าหมาทึ่มให้เจ้าบรอธได้รู้จัก
เจ้าบรอธก็ยังไม่สนใจอีกตามเคย สิ่งนี้ทำให้เจ้าอลาสกัน มาลามิวท์อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไปและอ้าขากรรไกรพยายามที่จะกัดเจ้าบรอธ ในที่สุดเจ้าบรอธก็แสดงพลังอันร้ายกาจและน่าเกรงขามอย่างหาที่เปรียบมิได้ออกมา “โฮ่ง!” อันเสียงเห่าที่เทียบได้กับเสียงกู่ร้องคำรามของพยัคฆ์เลยก็ว่าได้
ในที่สุดเสียงเห่าครั้งนี้ก็สยบเจ้าอลาสกัน มาลามิวท์ลงได้ มันทิ้งตัวลงกับพื้นแล้วไม่ขยับเขยื้อนไหวติงอีกเลย เมื่อหญิงสาวกระตุกสายจูงมันก็ซวนเซมาหลบอยู่ข้างหลังเธอดูท่าทางจะหวาดกลัวเอามากๆเลย
หญิงสาวรู้สึกอึดอัดใจกับเจ้าสิ่งนี้มาก
“เจ้าบรอธเป็นแค่สุนัขตัวเล็กๆ แต่แกเป็นสุนัขตัวใหญ่ออกขนาดนั้น แกโง่หรือไง? แถมเจ้าบรอธยังดูไม่อยากจะกัดแกเสียด้วยซ้ำไป” หญิงสาวเริ่มตำหนิเจ้าอลาสกัน มาลามิวท์
“อืม เจ้าบรอธเคยกัดใครหรอกครับ” หยวนโจวเสริมพลางมองเจ้าอลาสกัน มาลามิวท์ที่กำลังหวาดกลัว
“ฉันรู้สาเหตุแล้วค่ะ เถ้าแก่หยวน เป็นเพราะเจ้าบรอธฉลาดมากส่วนเจ้าต้วนต้วนของฉันโง่เกินไปน่ะสิคะ” หญิงสาวกล่าวด้วยท่าทีอับอายก่อนที่จะเดินจากไปพร้อมเจ้าอลาสกัน มาลามิวท์
หลังจากพวกเขาจากไปแล้ว เจ้าบรอธก็ต้องมองไปทางหยวนโจวทันที จากสายตาของมัน เจ้าบรอธดูเหมือนอยากจะบอกว่า “ถึงฉันจะไม่กัดคน แต่ฉันกัดสุนัขด้วยกันนะเว้ยเฮ้ย” หยวนโจวอดที่จะส่ายหน้าไม่ได้ ดูเหมือนว่าเจ้าสุนัขทึ่มตัวนั้นก็ไม่ได้โง่เลยสักนิด…
วันนี้ลูกค้าสองคนที่ไม่ได้มาเยือนเสียนานได้มาถึงร้านหยวนโจว เป็นบุรุษและสตรีที่จับมือกัน
“โอ? หลังจากงานแต่งงานช่วงก่อนปีใหม่ก็ไม่ได้เจอพวกคุณเลย นึกว่าพวกคุณย้ายไปแล้วเสียอีก” หลิงหงกล่าว
ทั้งคู่ย่อมเป็นคู่แต่งงานใหม่อย่างกั๋วรุ่ยกับฉินหลัวอยู่แล้ว บรรดาลูกค้าคนอื่นๆอาจจะไม่ค่อยประทับใจกับชื่อของพวกเขานัก แต่พวกเขาก็เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในฐานคู่รักที่คุยกันไม่รู้จักจบจักสิ้นในขณะที่ไม่ค่อยจะคุยกับคนอื่นสักเท่าไหร่นัก
ครั้งหนึ่งหลิงหงเคยถามกั๋วรุ่ยอยู่คำถามหนึ่ง เพราะคำถามนั้นจึงทำให้กั๋วรุ่ยค่อนข้างนับถือหลิงหงมากทีเดียว เมื่อเขาได้ยินหลิงหง เขาก็ตอบทันทีว่า “พวกเรามัวแต่ยุ่งง่วนกับการรีโนเวทบ้านใหม่และก็งานอยู่น่ะครับ”
กั๋วรุ่ยเปลี่ยนน้ำเสียงของตัวเองแล้วเสริมขึ้นว่า “ทันทีที่พวกเรามีเวลาว่าง พวกเราก็รีบมาเลยครับ”
หลิงหงพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก เขายังคงกินต่อไประหว่างที่กั๋วรุ่นกับฉินหลัวนั่งลงแล้วเริ่มสั่งอาหารหลังจากถึงคิวของพวกเขาแล้ว
“หมูสองไฟกับอาหารเช็ตข้าวผัดไข่ แล้วก็ข้าวห่อใบบัวกับหญ้าจินหลิงครับ” กั๋วรุ่ยสั่งอาหารแล้วชำระเงิน
ฉินหลัวก็เหมือนเช่นเคย เธอเงียบพร้อมยิ้มอยู่ตลอดเวลา เมื่อนั่งอยู่ข้างๆกั๋วรุ่ย ดูเหมือนเธอจะไม่ได้สั่งอะไรเลย แต่อันที่จริงแล้วทุกอย่างที่กั๋วรุ่ยสั่งมาล้วนแล้วแต่เป็นอาหารที่เธอชอบอยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่จำเป็นต้องจดหรือชี้ไม้ชี้มือบอกอาหารที่อยากกินเลย
“ทำไมถึงไม่เห็นพี่เฉินเว่ยเลยล่ะ?” กั๋วรุ่ยถาม
“ฉันคิดว่าวันนี้บริษัทใหญ่ของเขาคงจะมาตรวจ ในฐานที่เป็นหัวหน้าแผนกรักษาความปลอดภัย เขาต้องยุ่งมากแน่ๆ” พี่วั่นตอบก่อนที่จะถามว่า “ถามหาเขาทำไมเหรอ? ถ้ามีเรื่องด่วนอะไร ฉันมีเบอร์เขานะ แต่ต้องบอกมาก่อนว่าตามหาเขาทำไม ยังไงก็ไม่เหมาะที่ฉันจะเที่ยวแจกเบอร์โทรศัพท์ของเขาไปเที่ยวนะ”
“ครับ ผมตามหาเขาเพราะมีเรื่องน่ะครับ” กั๋วรุ่ยไม่มีเจตนาที่จะปิดบังซ่อนเร้นแต่อย่างใด เขาเสริมขึ้นมาว่า “ก่อนหน้านี้พวกเราไปถ่ายรูปที่แหลมไห่เจียว ช่างภาพฝีมือดีทีเดียว แต่พวกเรากลับรู้สึกเหมือนมีอะไรขาดหายไปจากภาพน่ะสิครับ หลังจากนั้นเราก็เลยปรึกษากัน พวกเราตัดสินใจว่าจะถ่ายภาพใหม่ครับ”
พี่วั่นพยักหน้าแล้วรอให้กั๋วรุ่ยพูดต่อ เธอไม่ได้ไปร่วมงานแต่งงานของพวกเขา ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าเฉินเว่ยเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวในงานแต่งงาน
ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมกั๋วรุ่ยจึงไม่เชิญเพื่อนสนิทของเขามาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ไม่มีใครในร้านหยวนโจวรู้สักคน
“เราสองคนคิดว่าจะถ่ายรูปแต่งงานชุดใหม่โดยมีร้านอาหารเป็นฉากหลังครับ” กั๋วรุ่ยจงใจบอกให้รู้ถึงความตั้งใจของเขา
มีรูปแต่งงานทั้งในร่มและกลางแจ้ง แต่ไม่ว่าจะเป็นในร่มหรือกลางแจ้ง ร้านหยวนโจวก็ดูจะไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมสักเท่าไหร่นัก ดังนั้นสิ่งนี้จึงไม่เพียงแต่กระตุ้นความสงสัยของพี่วั่นเท่านั้นแม้แต่หลิงหงที่กำลังยุ่งง่วนกับการกินก็สนใจขึ้นมาเสียแล้ว
“ถ่ายรูปแต่งงานที่ร้านหยวนโจวงั้นเหรอ? นายคิดอะไรอยู่เนี่ย?” หลิงหงถาม
“ลองนึกดูสิ พวกเราเจอกันครั้งแรกในร้านนี้ จากนั้นพวกเราก็รู้จักกันแล้วก็ตกหลุมรักกันในร้านนี้อีก ทั้งสามขั้นตอนสำคัญของการตกหลุมรักล้วนเกิดขึ้นที่นี่ทั้งสิ้น ดังนั้นผมจึงรู้สึกชอบร้านนี้และบรรดาลูกค้าทั้งหลายยังไงล่ะครับ ไม่ว่าพวกเขาจะรู้หรือไม่ แต่พวกเขาต่างก็เป็นประจักษ์พยานในเรื่องราวความรักของเรา นี่เป็นสถานที่เหมาะสมที่สุดในการถ่ายรูปแต่งงานชุดที่สองของเราเชียวล่ะ” กั๋วรุ่นอธิบายอย่างชัดเจน
หลิงหงประเมินว่า “เด็กอย่างพวกนายนี่มันช่างไอเดียบรรเจิดเสียจริง”
“นายรู้อะไรไหม? นี่ก็คือความโรแมนติกยังไงล่ะ” พี่วั่นเห็นด้วยกับเหตุผลนี้เป็นอย่างยิ่ง เธอพูดต่อไปว่า “ถ้าครึ่งหนึ่งของชีวิตในอนาคตของฉันเป็นคนที่ฉันรู้จักจากร้านนี้ ฉันก็จะมาถ่ายภาพที่นี่เหมือนกัน”
“แหงอยู่แล้ว แต่เธอก็ต้องหาครึ่งหนึ่งของชีวิตให้ได้เสียก่อนนะ” อู๋ไห่ขัดคอขึ้นโดยไม่ตั้งใจ เขาจดจ่ออยู่กับการกินเงียบๆต่อไป
“อู๋! ไห่!” พี่วั่นรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาทันที เธอตะโกนชื่อเขาออกมาด้วยสีหน้าดุร้าย อู๋ไห่ที่ยังกินต่อไปรู้สึกสันหลังเย็นเฉียบ เขารีบเงยหน้ามองพี่วั่นที่กำลังเหลือบมองเขาอย่างสุภาพอ่อนโยน
อู๋ไห่รู้สึกได้ว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังสีหน้าสุภาพอ่อนโยนคือเจตนาสังหาร ในทุกสถานการณ์ การหนีมักจะเป็นทางออกที่ปลอดภัยที่สุด ดังนั้นอู๋ไห่จึงแสดงความสามารถในการกินอย่างรวดเร็วในที่สุดก่อนจะรีบเผ่นหนีออกจากร้าน
หลิงหงเป็นคนที่เห็นพี่วั่นเปลี่ยนสีหน้าจากดุร้ายเป็นสุภาพอ่อนโยนด้วยตาตนเอง เขาสรุปอยู่ในใจว่าผู้หญิงช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ความเร็วที่ผู้หญิงสามารถเปลี่ยนสีหน้าของพวกเธอนั้นช่างเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆแถมพวกเธอยังมีความสามารถพิเศษในการปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองอีกด้วย เขาขอสาบานว่าจะไม่เข้าไปข้องแวะกับผู้หญิงอีกแล้ว
เนื่องจากการขัดคอของอู๋ไห่ ทุกคนจึงลืมเรื่องที่จะถ่ายรูปแต่งงานที่ร้านนี้ไปแล้ว พวกเขาต้องปรึกษาหารือกับหยวนโจวแทนที่จะเป็นเฉินเว่ย
พี่วั่นยื่นเบอร์โทรศัพท์ของเฉินเว่ยให้กั๋วรุ่ย เนื่องจากกั๋วรุ่ยเป็นคนที่ค่อนข้างใจร้อนอยู่แล้ว เขาจึงโทรหาเฉินเว่ยเมื่อได้รับเบอร์ทันที จากนั้นทุกคนก็รู้ว่าทำไมพวกเขาจึงต้องตามหาเฉินเว่ยแทนที่จะเป็นหยวนโจว
ปกติแล้วคู่รักคู่อื่นๆมักจะมีแค่พวกเขาสองคนอยู่ในรูปแต่งงานของตัวเอง แต่กั๋วรุ่ยกับฉินหลัวกลับตัดสินใจที่จะทำเรื่องที่แตกต่างออกไปแทน พวกเขาอยากให้ร้านและบรรดาลูกค้าทั้งหลายเป็นฉากหลังในภาพของพวกเขา
ไม่ว่าจะเป็นเฉินเว่ยหรือหลิงหง หรือแม้แต่เจียงฉางซี่ที่ไม่รู้เรื่องดีนักก็ยังหวังว่าจะมีคนพวกนี้อยู่ในฉากหลังด้วย ตัวอย่างของแนวคิดที่พวกเขาคิดเอาไว้ก็คือพวกเขากอดกันอยู่ด้านหน้าโดยมีบรรดาลูกค้าคนอื่นๆที่ทานอาหารอยู่เป็นฉากหลัง
เรื่องนี้อาจจะฟังดูค่อนข้างแปลก ทีแรกกั๋วรุ่ยก็ลังเลใจ แต่มันเป็นสิ่งที่ฉินหลัวบอกเขา การแต่งงานเป็นเรื่องของคนสองคนเท่านั้นในขณะที่รูปภาพจะเป็นความทรงจำของคนสองคน ทำไมพวกเขาจะต้องไปสนใจด้วยเล่าว่าคนอื่นจะคิดยังไง?
ดังนั้นกั๋วรุ่ยจึงตัดสินใจที่จะทำเช่นนี้ แน่นอนว่าพวกเขาต้องหาคนที่จะเห็นด้วยกับเรื่องนี้เสียก่อน อย่างที่กั๋วรุ่ยคิดเอาไว้เลย เฉินเว่ยผู้แสน “ใจดี” เป็นคนที่โน้มน้าวได้ง่ายที่สุดแล้ว