อยากกินไหมล่ะ - ตอนที่ 754
ตามฉันมาเสียดีๆ ตอนที่ 1
“เถ้าแก่หยวน นายมันคุยไม่เก่งเลยจริงๆ” อู๋ไห่กล่าวเหยียดหยัน
“งั้นเหรอ?” หยวนโจวสวนกลับด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ก็เออน่ะสิ” อู๋ไห่พยักหน้าโดยไม่ลังเล
“โฮ่โฮ่” หยวนโจวก้มหน้าลงแล้วไม่ตอบอะไรอีก
คนที่ไม่มีอีคิวเลยจะกล้าบอกว่าตัวเองคุยเก่งได้อย่างไรกันเล่า? หยวนโจวนึกดูถูกอยู่ในใจโดยไม่พยายามปกปิดเรื่องนั้นเลยสักนิด
“นายค่อยแกะสลักทีหลังได้ไหม? ฉันมีเรื่องจะบอกนาย” อู๋ไห่กล่าวอย่างจริงจัง
“เรื่องอะไรงั้นเหรอ?” หยวนโจวเงยหน้าขึ้นมาถามเมื่อได้ยินคำพูดของอู๋ไห่
“ก็ตับดิบไง นายคงไม่ลืมไปแล้วหรอกนะ?” อู๋ไห่กล่าว
“เปล่า” หยวนโจวส่ายหน้ายืนยัน
“ไปกันวันนี้เลยดีไหม? ยังไงเป็นวันที่สดใสแถมเหลือเวลาตั้งสามชั่วโมงก่อนมื้อค่ำอีกต่างหากแน่ะ” อู๋ไห่ตรวจสอบเวลาแล้วกล่าวออกมา
“ก็ได้ งั้นฉันจะไปที่นั่นด้วย” หยวนโจวกล่าว
“ฉันจะรอนะ นายก็ไปเก็บข้าวเก็บของได้แล้ว” อู๋ไห่พยักหน้าแล้วกล่าวออกมาทันที
“นายจะไปทั้งแบบนั้นน่ะเหรอ?” หยวนโจวลุกขึ้นถามเขาพลางมองดูเสื้อผ้าที่อู๋ไห่สวมใส่อยู่
“ผิดถนัดเลยล่ะ นายไปเก็บของของนายเหอะส่วนฉันจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ใช้เวลาไม่นานหรอก” อู๋ไห่ส่ายหน้า
“รีบๆหน่อยนะ ฉันมีเวลาไม่มากนัก” หลังจากกล่าวเช่นนั้นแล้ว หยวนโจวก็ยกม้านั่งกลับเข้าไปในร้าน
ใช้เวลาแค่ไม่นานชายทั้งสองคนก็เก็บข้าวของเสร็จ หยวนโจวเปลี่ยนเป็นกางเกงกีฬาสีเทาซึ่งทำให้เขาไม่อึดอัด และอู๋ไห่ก็สวมใส่ชุดสูทผ้าขนสัตว์เบาบางแบบไม่เป็นทางการซึ่งทำให้เหมือนไม่ใช่ตัวเขาเลย
“ดูเหมือนว่านายก็มีเสื้อผ้าดีๆกับเขาด้วย” หยวนโจวอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมา
“แหงอยู่แล้ว เจิ้งเจียเว่ยเป็นคนซื้อแล้วก็จัดเตรียมเสื้อผ้าทุกตัวของฉันนี่นา” อู๋ไห่พยักหน้าด้วยความภาคภูมิใจ
“เจิ้งเจียเว่ยเก่งจริงๆ” หยวนโจวรู้สาเหตุที่เจิ้งเจียเว่ยต้องเอาใจใส่มากขนาดนี้ได้โดยไม่ต้องถามเหตุผลเลย
เขาคงจะถูกการชื่นชมความงามของอู๋ไห่เคี่ยวกรำอย่างหนักเป็นแน่ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะชื่นชมความงามอันแสนอ่อนช้อยและสง่างามเช่นนั้น นี่คือสิ่งที่หยวนโจวมั่นใจมากทีเดียว
“พวกเราจะไปที่นั่นกันยังไงอ่ะ?” เมื่อพวกเขาเดินมาถึงสี่แยกถนน อู๋ไห่ก็หันมาถามหยวนโจว
“ฉันจะตรวจสอบเส้นทางดูก่อน ก่อนอื่นต้องขึ้นรถประจำทางไปถนนอู๋หูแล้วค่อยไปหาผู้เชี่ยวชาญตามที่ปรากฏในแผนที่ที่ตาแก่คนนั้นให้มา” หยวนโจวตอบทันที เขาต้องเตรียมการล่วงหน้าให้เรียบร้อย
“เยี่ยมไปเลย พวกเราจะขึ้นรถประจำทางสายไหนดีอ่ะ? แล้วพวกเราจะไปทางนั้นหรือทางนี้ดี?” อู๋ไห่เดินไปที่ป้ายรถประจำทางทันที เขาถามขึ้นมาขณะที่กำลังอ่านข้อมูลตรงป้ายรถประจำทาง
“พวกเราจะไม่ไปที่นั่นด้วยรถประจำทางหรอกนะ พวกเราจะขึ้นรถแท็กซี่กัน
“รถประจำทางก็ดีนะ” อู๋ไห่เดินกลับไปแล้วเสนอแนะขึ้นมา
“นายไม่มีเซ้นส์เรื่องทิศทางเอาเสียเลย เลิกอวดสักทีเถอะน่า” หยวนโจวขัดคอเขาขึ้นมาทันที
“ก็ได้ๆ” อู๋ไห่ยักไหล่เพื่อบอกว่าเขาไม่สนใจเรื่องนั้นสักนิด
สาเหตุที่ว่าทำไมหยวนโจวถึงไม่ขึ้นรถประจำทางนั้นง่ายมากๆเลยล่ะ เขาไม่สามารถบอกได้เลยว่าต้องขึ้นรถประจำทางที่ป้ายไหนจึงจะถูกต้อง
พวกเขาขึ้นรถแท็กซี่แล้วลงรถเมื่อมาถึง หยวนโจวจ่ายค่าแท็กซี่ด้วยความมั่นใจ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่พาอู๋ไห่มาที่นี่เองนี่นา
“น่าจะเป็นที่นี่แหละ” หยวนโจวที่กำลังยืนอยู่ตรงสี่แยกถนนหยิบแผนที่ที่ได้มาจากชายชราออกมายืนยัน
“เอาไงต่ออ่ะ?” จากนั้นอู๋ไห่ก็จ้องมองไปที่ริมถนนตรงหน้า
ถนนอู๋หูเป็นถนนสายหลักซึ่งทั้งสองข้างทางต่างเป็นตึกสูง ทางด้านซ้ายเป็นประตูหลังของห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วยซูเปอร์มาร์เก็ตในขณะที่ทางด้านขวาเป็นเป็นร้านอาหาร โดยที่ร้านอาหารจะเป็นสีแดงเสียส่วนใหญ่และประตูหลายๆบานก็เปิดออก พวกมันดูเหมือนร้านหม้อไฟหรืออะไรทำนองนั้น
นอกจากนี้ยังมีซอยอยู่ทั้งสองข้างทางถนน บางแห่งมีแผงลอยขนาดเล็กในขณะที่บางแห่งอยู่นอกเขตที่อยู่อาศัย
“ตรงไป 0.75 กิโลเมตรแล้วเลี้ยวซ้าย เลี้ยวซ้ายอีกครั้งหลังจากนั้นตรงไปอีก 200 เมตร จากนั้นนายก็จะมาถึงตลาดสดแล้วคนๆนั้นก็น่าจะอยู่ที่นั่นแหละ” หยวนโจวกล่าวอย่างเอาจริงเอาจังขณะมองแผนที่
“เยี่ยมไปเลย รู้สึกว่าอีกไม่ไกลแล้วล่ะนะ” อู๋ไห่พยักหน้าแล้วเดินตามหยวนโจวไป
“0.5 กิโลเมตรเท่ากับ 500 เมตร งั้น 0.75 กิโลเมตรก็เท่ากับ 750 เมตร รองเท้าของฉันเบอร์ 40 ก็น่าจะยาวประมาณ 25 เซนติเมตร และช่วงก้าวของฉันก็น่าจะยาว 37 เซนติเมตร ผนวกกับเท้าของฉันเองก็ยาว 25 เซนติเมตร ทั้งสองก้าวก็เป็นความยาวทั้งสิ้น 114 เซนติเมตร แต่ฉันต้องหักลบความยาวของเท้าตัวเองที่ซ้ำกันในทั้งสองก้าวจึงมีความยาวเหลือเพียง 1 เมตร ฉะนั้นฉันก็น่าจะเดินได้ 1500 ก้าว” หยวนโจวคำนวณย่างก้าวที่ต้องเดินอยู่ในใจอย่างรวดเร็ว
ถูกต้องแล้วล่ะ อันที่จริงแล้วหยวนโจวไม่สามารถหาทางที่ถูกต้องได้หรอก แต่เขารู้สึกได้ว่าด้วยแผนที่ในมือการจะหาให้เจอกลับไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก นอกเหนือไปจากนี้เขาก็สามารถคำนวณตำแหน่งที่แน่นอนได้ ฉะนั้นเขาจึงเชื่อว่าน่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด
หยวนโจวสังเกตย่างก้าวของตัวเองแล้วพยายามตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกย่างก้าวขณะที่เดินไปข้างหน้าสม่ำเสมอกัน เขาคำนวณจำนวนย่างก้าวที่เดินไปข้างหน้าอยู่เงียบๆทั้งยังดูเหมือนคร่ำเคร่งและจริงจังราวกับเขากำลังทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์บางอย่างอยู่
“ตึก ตึก ตึก” เสียงฝีเท้าที่สม่ำเสมอของหยวนโจวดังขึ้นเบาๆในซอย
“1499 ถึงเวลาเลี้ยวตรงหัวมุมแล้ว” หยวนโจวอ่านเงียบๆแล้วหันกลับไปโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเขาทำเช่นนั้นแล้ว หยวนโจวก็ไม่ได้หยุดเดินตามความเคยชินของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงเลี้ยวตรงหัวมุมเอาง่ายๆเมื่อตอนที่เขาหันกลับมา
“อืม เดินไปตามทางจะเป็นทางตรงความยาวประมาณ 200 เมตร ดูเหมือนจะง่ายขึ้นเยอะเลย” หยวนโจวรู้สึกโล่งอกโล่งใจแล้วคำนวณต่อไป
“ช้าก่อน ดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดพลาดนะ” จู่ๆหยวนโจวก็ชะงักไปแล้วพึมพำกับตัวเอง
ในขณะที่เขากำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดและใคร่ครวญให้รอบคอบอยู่นั้น เขาก็หันหน้าไปเห็นผู้คนที่กำลังชุลมุนวุ่นวายอยู่ทางด้านหลัง เขาหลงทางเข้าเสียแล้ว
ท่ามกลางผู้คนพวกนั้น มีคุณย่าที่กำลังดูแลหลานสาวที่ออกไปเดินช็อปปิ้งทั้งยังเป็นเด็กมัธยมที่กำลังเล่นไปพลางล้อเล่นไปพลาง
“ดูเหมือนจะมีบางอย่างหายไปนะ” หยวนโจวกล่าวกับตัวเอง
“โอใช่ อู๋ไห่ไปไหนล่ะนี่?” จู่ๆหยวนโจวก็ตบมือและจำได้ว่าอู๋ไห่น่าจะเดินตามเขามา แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ทางด้านหลังของเขาเลย
“เจ้าเด็กน้อยคนนี้หายไปไหนเสียแล้วนะ?” หยวนโจวนิ่งเฉยแล้วเริ่มรอคอยเขา
หยวนโจวมีความอดทนดีมากทีเดียว เขายืนรออยู่เงียบๆมาห้านาทีแล้ว แต่อู๋ไห่ก็ยังไม่ปรากฏตัวเลย
“เขาคงจะไม่หายตัวไปหรอกใช่ไหม?” หยวนโจวขมวดคิ้วแล้วคลายออก เขาเดินไปเดินกลับเพื่อมองหาเขา เขาถึงกับเดินเข้าไปในซอยใกล้เคียงเพื่อตามหาเขาด้วย
“เขาหายตัวไปเสียดื้อๆเลย เป็นเด็กสามขวบหรือไงกัน?” หยวนโจวบ่น
หลังจากนั้นแน่นอนว่าเขาย่อมต้องโทรหาอู๋ไห่อยู่แล้ว หยวนโจวหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วเริ่มโทร
โชคดีที่อู๋ไห่ทิ้งเบอร์โทรศัพท์เอาไว้ในรายชื่อผู้ติดต่อของหยวนโจวอย่างไร้ยางอาย มิฉะนั้นหยวนโจวก็คงไม่รู้ว่าจะติดต่ออู๋ไห่ได้อย่างไร
“ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด” หลังจากผ่านไปสักครู่ก็มีคนรับสาย
“อู๋ไห่ นายอยู่ที่ไหน?” หยวนโจวถามเข้าประเด็นสำคัญ
“ฉันกำลังตามหานายอยู่เลย” อู๋ไห่เสียงดังเล็กน้อยในตอนท้าย แต่เขาก็ตอบมาตามตรง
“นายอยู่ที่ไหนกันเนี่ย?” หยวนโจวเตรียมมองหาเจ้าโง่จอมหลงทางผู้นี้ด้วยตัวเอง
“ฉันอยู่ตรงตำแหน่งที่พวกเราพลัดหลงกันอ่ะ ฉันก็เลยไม่เดินให้ไกลจากที่นั่น นายจะได้หาฉันเจอไงเล่า” อู๋ไห่มองไปรอบๆและกล่าวพลางลูบหนวดเคราตัวเองไปด้วย
เห็นได้ชัดว่าคำพูดของอู๋ไห่บ่งบอกว่าไม่มีเรื่องอะไร ส่วนหยวนโจวไม่รู้ว่าพวกเขาพลัดหลงกันตรงไหนแน่
“มีจุดสังเกตใกล้ตัวนายบ้างไหม?” หยวนโจวขมวดคิ้วแล้วถาม
“บ้านสีแดง แถมเป็นร้านหม้อไฟด้วย แล้วก็มีเสาไฟฟ้าอยู่ข้างๆ” อู๋ไห่อธิบายอย่างละเอียดถี่ถ้วน
หยวนโจวมองไปรอบๆตามคำอธิบายของอู๋ไห่และพบว่าเหมือนกันไปหมด ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลยสักนิดเดียว
“บอกสิ่งอื่นที่ดูโดดเด่นสะดุดตามาหน่อยซิ” หยวนโจวถามอีกครั้ง
“มีโคมไฟสีแดงที่วาดรูปตัวเฟิ่งอยู่นอกประตู แล้วฉันก็เห็นโคมไฟอีกดวงที่วาดรูปตัวหวงทำให้จดจำได้ง่ายๆเลยล่ะ” อู๋ไห่กล่าว
หยวนโจวหัวเราะเหยียดหยัน ตลกสิ้นดี! เขาเป็นเชฟนะไม่ใช่นักชีววิทยาสักหน่อย ระหว่างเฟิ่งกับหวงมีอะไรแตกต่างกันเล่า?
เฟิ่งหวงหมายถึงหงส์ในภาษาอังกฤษ จากความหมายของคำนั้น เฟิ่งหมายถึงหงส์ตัวผู้ในขณะที่หวงหมายถึงหงส์ตัวเมียนั่นเอง