อยากกินไหมล่ะ - ตอนที่ 760
เลี้ยงอาหารหลิวจาง
หลังจากหยวนโจวชำระล้างสะสางตัวเองจนเรียบร้อยแล้ว เขาก็ลงไปข้างล่างแล้วเริ่มเตรียมวัตถุดิบ บรรดาลูกค้าที่อยู่นอกร้านต่างเริ่มเข้าคิวรอร้านเปิด
“วันนี้ฉันมาที่นี่เพื่อทำตามสัญญา แต่แน่นอนว่าฉันยังวางแผนที่สั่งข้าวโชคดีอีกที่นึงด้วยล่ะ” เมิ่งเมิ่งกล่าวพร้อมชูโทรศัพท์ขึ้นระหว่างการสตรีมสด
“แน่นอนว่าหลังจากทานอาหารมื้อนี้แล้ว ฉันก็ขอให้ทุกคนได้มีโอกาสที่จะมาทานอาหารร้านหยวนโจวด้วยนะคะ” เมิ่งเมิ่งตอบข้อความบนหน้าจอ
“จ้า จ้า จ้า ฉันรู้แล้ว ไม่ต้องห่วงนะพรรคพวก” เมิ่งเมิ่งคุยกับผู้ชมของเธอต่อไป
เมิ่งเมิ่งมาที่นี่เพราะก่อนหน้านี้เธอเคยบอกว่าถ้าถูกรางวัล 100,000 หยวนแล้วล่ะก็เธอจะมาตอบแทนหยวนโจว คนเราจะมีกำลังวังชาก็ต่อเมื่อเกิดเรื่องดีๆขึ้น ดังนั้นสภาพของเมิ่งเมิ่งจึงดีขึ้นมากตอนที่มีการตรีมเมื่อเร็วๆนี้ นอกจากนี้จำนวนผู้ชมก็ยังเพิ่มขึ้นด้วย อีกทั้งการผสมผสานกันของทั้งสองฝ่ายก็ก่อให้เกิดวงจรการเติบโตในเชิงบวก
โชคดีที่น้ำข้าวไม่สามารถขายแยกต่างหากได้ มิฉะนั้นเมิ่งเมิ่งคงจะมาที่นี่ทุกวันเพื่อกินน้ำข้าวเป็นอาหารเช้าเป็นแน่แท้
ในขณะที่เมิ่งเมิ่งคุยกับผู้ชมของเธออยู่นั้น ร้านก็เปิดแล้ว
หยวนโจวเปิดร้านตามเวลาปกติ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเตรียมวัตถุดิบหรือเรื่องอื่นๆเกี่ยวกับกิจการ หยวนโจวก็มักจะระดับความเสมอต้นเสมอปลายเอาไว้อยู่เสมอ ร้านเปิดให้บริการมากว่าปีและไม่เคยเกิดความผิดพลาดใดๆทั้งสิ้น
ถ้าหากมีก็คงจะเป็นสิ่งเดียวที่หยวนโจวกำลังจะทำต่างออกไปในวันนี้ซึ่งก็คือการเชิญหลิวจาง อย่างที่เขาว่ากันไว้ว่าเมื่อโยนลูกท้อไปก็จะได้ลูกไหนกลับคืนมา หลังจากทานตับดิบและรู้วิธีการเตรียมแล้ว เขาก็ต้องตอบแทนหลิวจางกลับคืน นั่นก็เลยเป็นสาเหตุว่าทำไมหลังจากปรึกษาหารือกับอู๋ไห่แล้ว พวกเขาจึงตัดสินใจให้อู๋ไห่เป็นคนสั่งและจ่ายเงินค่าอาหารที่หลิวจางอยากจะกิน หลังจากนั้นหยวนโจวก็จะจ่ายเงินคืนให้อู๋ไห่
สำหรับหยวนโจวแล้ว นี่เป็นวิธีการทำงานตามที่เจ้าระบบตั้งกฎเอาไว้ แต่อู๋ไห่กลับคิดว่าหยวนโจวกำลังทำเรื่องไม่เป็นเรื่องไปเสียได้
ตามปกติแล้ว เมิ่งเมิ่งสตรีมอยู่ขณะกำลังทานอาหารหลังจากเธอเข้ามาในร้านแล้ว ลูกค้าคนอื่นๆต่างคุ้นเคยกับเรื่องนี้เสียแล้ว ถึงอย่างไรเมิ่งเมิ่งก็ไม่ได้ถ่ายลูกค้าคนอื่นๆโดยไม่ได้ขออนุญาตพวกเขาก่อนเสียเมื่อไหร่กันเล่า ดังนั้นทุกคนจึงทานอาหารกันอย่างสมัครสมานกลมเกลียวโดยไม่มีความขัดแย้งแต่อย่างใด
ระหว่างมื้ออาหาร มีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้น เชฟหน้าใหม่ที่เพิ่งจะเข้าวงการและอยากเหยียบย่ำหยวนโจวเพื่อให้มีชื่อเสียงขึ้นมาบ้างก็มาขอท้าแข่งกับหยวนโจวพร้อมนักข่าวไม่นานหลังจากร้านเปิด
คนแบบนี้จะไม่หยุดนิ่ง แน่นอนว่าเหตุการณ์นี้ย่อมจัดการได้อย่างรวดเร็ว หยวนโจวยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย เชฟผู้นั้นยังกล่าวไม่ทันจบตอนที่ฉูเสี่ยวปรากฏตัวออกมาจากที่ไหนไม่อาจทราบได้และเริ่มโยนคำสบประมาทใส่เชฟหน้าใหม่คนนั้น เหตุการณ์ทั้งหมดก็จบสิ้นลงเพียงเท่านั้นเอง
เชฟหน้าใหม่พ่ายแพ้เสียแล้ว ส่วนนักข่าวที่เขาพามาด้วยกลับอยากจะสัมภาษณ์หยวนโจวไม่ก็ฉูเสี่ยวแต่เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นว่าบรรดาลูกค้ากำลังจ้องมองมาทางพวกเขาด้วยท่าทางไม่เป็นมิตร พวกเขาก็รู้ได้เลยว่าเรื่องราวคงจะกลับกลายเป็นเลวร้ายเป็นแน่แท้หากพวกเขายังคงขัดจังหวะมื้ออาหารต่อไป
“ทำไมพักนี้ถึงไม่มีอาหารจานใหม่บ้างเลยเล่า?”
นับตั้งแต่ฉูเสี่ยวมาถึงที่นี่ เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าเขาจะเข้าคิวเพื่อทานอาหารเช่นกัน แต่เมื่อเขาเห็นเมนูแล้ว เขาก็ค่อนข้างไม่พอใจเอาเสียเลยที่เห็นว่าไม่มีอาหารจานใหม่ๆเลย ฉูเสี่ยวไม่ได้สนใจอาหารท้องถิ่นเฉิงตูตำหรับเสฉวนเป็นพิเศษหลังจากได้ลิ้มลองอาหารชื่อดังไม่กี่อย่างในตำหรับนี้ ส่วนอาหารจานอื่นๆที่ร้านหยวนโจวนั้น เขาได้ลิ้มลองมาจนเกลี้ยงแล้ว ดังนั้นเขาจึงรอให้หยวนโจววางจำหน่ายอาหารจานใหม่ออกมา
บังเอิญว่าหยวนโจวกำลังถือโอกาสพักสักครู่หลังจากทำอาหารเสร็จ ดังนั้นเขาจึงตอบว่า “ฉันกำลังศึกษาค้นคว้าอาหารที่สาบสูญไปแล้วอยู่น่ะสิ”
สาบสูญไปแล้วงั้นเหรอ? อาหารงั้นเหรอ?
คำๆนี้ดึงดูดความสนใจของลูกค้าหลายต่อหลายคน อาหารจานใหม่จานใดก็ตามของหยวนโจวเพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของพวกเขาแล้ว ตอนนี้บรรดาลูกค้าต่างเกิดความอยากรู้อยากเห็นเรื่องอาหารที่สาบสูญไปแล้วมากขึ้นเรื่อยๆ
ปฏิกิริยาตอบสนองของอู๋ไห่รุนแรงเป็นพิเศษ ลูกตาของเขาแทบถลนออกมาอยู่แล้วขณะที่ภาพอาหารต่างๆที่สาบสูญไปแล้วปรากฏขึ้นในหัว เนื่องจากเขานึกภาพอาหารอยู่จึงยัดข้าวเข้าไปสองคำเพื่อกันตัวเองน้ำลายหก
“เป็นเนื้อหรือผักกันล่ะ? เป็นอาหารอะไรงั้นเหรอ?” ฉูเสี่ยวถามขึ้นมา
“เมื่อไหร่จะพร้อมเสียทีเล่า?” อู๋ไห่มักจะสนใจสนใจเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวอยู่เสมอ
“ฉันกำลังศึกษาค้นคว้าอาหารจานนี้อยู่ น่าจะวางจำหน่ายได้พรุ่งนี้แหละ” หยวนโจวตอบ อันที่จริงแล้วเขารู้วิธีทำหางไก่ย่างเห็ดแล้ว แต่เขาจะวางจำหน่ายอาหารหลังจากที่เขาปรุงและทานอาหารในคืนนี้แล้วเท่านั้น
“เป็นอาหารที่สาบสูญไปแล้วจริงๆงั้นเหรอ เถ้าแก่หยวน?”
“นายไปเอาอาหารที่สาบสูญไปแล้วมาจากไหนกัน เถ้าแก่หยวน?”
“ฉันรอไม่ไหวแล้วนะ”
“เถ้าแก่หยวนเป็นเชฟที่ยอดเยี่ยมจริงๆเลย เขาสามารถทำอาหารที่มีอยู่เดิมให้ยอดเยี่ยมขึ้นมาได้แล้วตอนนี้เขาก็จะเริ่มทำอาหารที่สาบสูญไปแล้วด้วย ช่างเป็นวันดีของเราเสียจริง”
บรรดาลูกค้าต่างเริ่มปรึกษาหารือกันพลางตั้งหน้าตั้งตารอคอย นอกจากนี้ลูกค้าหลายต่อหลายคนก็ยังภาวนาของให้ราคาอย่าได้แพงนักเลย มิฉะนั้นพวกเขาก็คงไม่สามารถกินได้มากอย่างที่ต้องการหรอก
อาหารส่วนใหญ่สาบสูญไปด้วยเหตุผลสามประการ ประการแรกวิธีการทำอาหารซับซ้อนเกินไปจนไม่สามารถสืบทอดกันได้ ประการที่สอง การผสมผสานของส่วนผสมที่ซับซ้อนเกินไปจนไม่สามารถสืบทอดได้ ประการที่สาม ผู้สร้างสรรค์สูตรอาหารไม่ถ่ายทอดสูตรอาหารให้ผู้ใดทั้งสิ้น นอกเหนือไปจากสถานการณ์ที่สองที่ไม่รู้จักแม้แต่ส่วนผสมแล้วก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะคืนชีพมาได้ ส่วนอีกสองสถานการณ์แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากของการฟื้นฟูเป็นอย่างมาก
ดังนั้นผู้คนส่วนใหญ่จึงไม่เชื่อว่าจะมีเชฟคนใดที่กล้าอวดอ้างว่าจะคืนชีพอาหารที่สาบสูญไปแล้วขึ้นมาได้ แต่ในเมื่อเป็นหยวนโจว สิ่งเดียวที่ลูกค้ารู้สึกได้ก็คือความคาดหวัง
“ฉันแค่เกรงว่าจะไม่มีใครกล้ากินตอนที่ออกวางจำหน่ายนี่สิ” หยวนโจวพึมพำก่อนที่เขาจะเริ่มทำอาหารตามออเดอร์ใหม่ที่โจวเจียเอามาให้เขา
ก็ใครมันจะกล้าไปกินกันเล่า?
บรรดาลูกค้าต่างเริ่มคาดเดากันไปต่างๆนานา หมายความว่าอย่างไรกัน? อาหารแพงมากเลยงั้นเหรอ? ถ้าเป็นแบบนั้น เขาก็คงต้องพูดแบบเดียวกับบรรดาลูกค้าว่าไม่เต็มใจที่จะกินมากกว่าที่จะไม่กล้ากินเสียอีก
อู๋ไห่เป็นคนแรกที่ประกาศจุดยืนของตัวเองว่า “ไม่มีอาหารอะไรที่ฉันไม่กล้ากินหรอก” อู๋ไห่เป็นจิตรกรที่มีคุณสมบัติเหมาะสมแต่ก็ยังเป็นนักชิมที่มีคุณสมบัติเหมาะสมด้วย
ฉูเสี่ยวเหลือบมองไปทางอู๋ไห่ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เป็นมิตรกับอู๋ไห่สักเท่าไหร่นัก แต่เขาก็พบว่าตัวเองเห็นด้วยกับอู๋ไห่ในเรื่องนี้เช่นกัน
หยวนโจวหั่นเนื้อเป็นชิ้นๆพร้อมก้มหน้าลง ตอนนี้เขากำลังเตรียมหมูแผ่นอวี่เซียงอยู่ ดังนั้นจึงไม่มีใครทันสังเกตรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่กำลังประดับอยู่บนใบหน้าของเขา
ฉูเสี่ยวสั่งอาหารเซ็ตข้าวผัดไข่แล้วออกไปหลังจากทานเสร็จแล้ว ส่วนอู๋ไห่นั้น เขาเดินไปที่ประตูแล้วยืนอยู่ตรงนั้นหลังจากรับสาย
เรื่องหนึ่งที่ควรสังเกตก็คือเขากำลังยืนอยู่ที่ประตูแทนที่จะออกไป ถึงอย่างไรอาหารที่เขาสั่งก็ยังไม่หมด เขาไม่อาจปล่อยให้ใครมารายงานว่าเขาทานอาหารไม่หมดและลงท้ายด้วยการขึ้นบัญชีหรอกนะ
อู๋ไห่รออยู่สักพักกว่าเจิ้งเจียเว่ยจะมาถึงพร้อมกับหลิวจาง ทำไมถึงมีเจิ้งเจียเว่ยเข้ามาเกี่ยวข้องกันได้เล่า? เรื่องมันก็ง่ายๆ อู๋ไห่หวังว่าเขาจะเป็นคนหลิวจางมาที่นี่ด้วยตัวเอง น่าเสียดายที่เขามันเป็นจอมหลงทางอย่างร้ายกาจเชียวล่ะ
ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถบอกได้ว่าคนโง่มีอยู่สี่ประเภท ประเภทแรกคือพวกที่ไม่รู้จักทิศเหนือ ใต้ ตะวันออกและตะวันตก แต่ก็ยังมีความสามารถในการนำทางตัวเองด้วยแผนที่ ประเภทที่สองคือพวกที่ไม่รู้จักทิศเหนือ ใต้ ตะวันออกและตะวันตกที่ไม่รู้วิธีอ่านแผนที่แต่ก็ยังรู้วิธีใช้แอพพลิเคชั่นจีพีเอส ส่วนอู๋ไห่ เขาจัดอยู่ในประเภทที่สาม เขาไม่รู้ไม่รู้จักทิศเหนือ ใต้ ตะวันออกและตะวันตก เขาไม่รู้จักวิธีอ่านแผนที่แถมยังไม่รู้วิธีใช้แอพพลิเคชั่นจีพีเอสอีกด้วย
ส่วนประเภทที่สี่ก็คือคนประเภทที่โง่เง่าโดยสมบูรณ์ที่จะหายตัวไปทันทีที่ขาดคนคอยดูแล ร่ำลือกันว่ามีคนแบบนี้อยู่จริงๆ แต่ตอนนี้ไม่มีคนแบบนั้นอยู่ในร้านหยวนโจวหรอกนะ