อยากกินไหมล่ะ - ตอนที่ 762
เลี้ยงอาหารใครสักคน
ออเดอร์ของหลิวจางไม่มีผลกับคนอื่น เขานั่งอยู่ตรงนั้นแล้วรออยู่เงียบๆหลังจากสั่งอาหารแล้ว
บรรดาลูกค้าทั้งหลายในร้านต่างทำเรื่องของตัวเองต่อไป บ้างก็มุ่งความสนใจไปที่อาหารของตัวเองเหมือนอย่างอู๋ไห่ บ้างก็ไม่พูดอะไรให้มากความและบ้างก็เพลิดเพลินกับการกินไปด้วยคุยไปด้วย
ทุกคนต่างสามัคคีกันนึกถึงแต่เรื่องของตัวเอง
“แพนเค้กผลไม้เช้านี้อยู่ไหนอ่ะ? พวกเขายังไม่ออกมาอีกงั้นเหรอ?”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงไปหรอก พอดีวันนี้ลูกชายของตาแก่แต่งงานน่ะสิ นั่นก็คือสาเหตุที่ทำให้เขาไม่อยู่ที่นี่อย่างไรเล่า”
“เยี่ยมไปเลย ฉันคงจะรู้สึกแปลกพิกลถ้าต้องหยุดกินแพนเค้กผลไม้”
นี่ก็คือบทสนทนาระหว่างหญิงสาวทั้งสองคน พวกเธอแต่งกายในชุดทำงานทั้งยังเป็นพนักงานบริษัทอยู่ในสำนักงานละแวกใกล้เคียงโดยหาเงินได้ประมาณเดือนละ 4,000 หรือ 5,000 หยวน
พวกเธอไม่มีปัญญาจ่ายเงินให้ร้านหยวนโจวบ่อยๆหรอกถึงแม้ว่าพวกเธอจะสั่งเพียงแค่อาหารขั้นธรรมดาที่สุดอย่างข้าวผัดไข่และก๋วยเตี๋ยวน้ำใสก็ตามที ดังนั้นพวกเธอก็จะมาเป็นครั้งคราวเพื่อเป็นการให้รางวัลแก่ตัวเองสำหรับการทำงานหนัก
พวกเธอยังต้องผ่านถนนเถ่าซือเพื่อไปให้ถึงสำนักงานของตัวเองด้วย ดังนั้นพวกเธอก็จะสามารถเห็นร้านหยวนโจวได้ทุกๆเช้า
ไม่มีใบไม้ที่เหมือนกันสองใบอยู่ในโลกนี้แล้วก็ไม่มีคนสองคนที่มีความคิดเหมือนกันแน่นอน การดำรงอยู่ของร้านหยวนโจวมีความสำคัญต่อทุกคนแตกต่างกันออกไป
สำหรับอู๋ไห่แล้ว ร้านคือทุกสิ่งทุกอย่าง ส่วนหลิงหงนั้น นี่คือสถานที่ที่จะออกมาเที่ยวยามที่เขารู้สึกเบื่อ ส่วนคุณเฉิง นี่คือสถานที่ที่เขาจะได้เรียนรู้เรื่องการทำอาหาร ส่วนอู๋โจวกับแฟนสาวของเขานั้น นี่คือสถานที่ที่เขาจะออกมาเดทกันและทำเรื่องอื่นๆ แน่นอนว่าก็ยังมีบางคนที่เห็นร้านเป็นเพียงสถานที่เพื่อทานอาหารเพียงเท่านั้น
“ฉันหวังว่าตาแก่ขายแพนเค้กผลไม้จะมีชีวิตอยู่ไปนานๆนะ”
“เพื่อให้เธอสามารถซื้อแพนเค้กผลไม้ทุกๆวันงั้นเหรอ?”
“แหงล่ะ”
“เธอกินแพนเค้กผลไม้อยู่ได้ทุกวี่ทุกวันไม่เบื่อหรือไงกัน? เธอเคยได้ยินคำพูดที่ว่ากินอะไรก็ได้อย่างนั้นไหมล่ะ? ดูหน้าเธอสิ อย่างกับแพนเค้กเลย”
“ไปให้พ้นเลยนะ ดูหุ่นตัวเองเสียก่อนเถอะ”
นี่เป็นการกระเซ้าเย้าแหย่ระหว่างเพื่อนสนิท นับตั้งแต่ร้านหยวนโจวมีชื่อเสียงขั้นมา แผงลอยขายของว่างหรืออาหารเช้าที่เปิดหน้าร้านก็มากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้นขนาดของแผงลอยเหล่านี้ก็เพิ่มขึ้นไม่หยุดอีกด้วย ทั้งที่เมื่อปีที่แล้วยังมีแผงขายซาลาเปาอยู่ตรงถนนเถ่าซือแค่แผงเดียวอยู่แล้ว
ตอนนี้มีแผงขายน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ แผงขายขนมเข่งเมล็ดงาดำ แผงขายแพนเค้กผลไม้และอื่นๆอีกมากมาย หยวนโจวเองก็ไม่นึกว่าเขาจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงถนนทั้งสายไปอย่างทีละเล็กทีละน้อย
ประจักษ์พยานที่ดีที่สุดของเรื่องนี้ก็คือพนักงานบริษัททั้งสองคนก่อนหน้านี้ ไม่ว่าใครก็ต้องรับประทานอาหารเช้าในตอนเช้าเพื่อรักษาระดับพลังงานเอาไว้ ทั้งสองคนนี้ทำงานที่นี่มาได้สองสามปีแล้ว เมื่อก่อนไม่มีอาหารเช้าให้เลือกมากนัก ทว่าตอนนี้พวกเธอสามารถเลือกสิ่งที่ชอบได้แล้ว
เมื่อไม่นานมานี้ ชายวัยกลางคนที่ขายปาท่องโก๋ต้องหยุดแผงของตัวเองไปเนื่องจากเรื่องบางอย่างในครอบครัว นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้หญิงสาวที่เพลิดเพลินกับแพนเค้กผลไม้รู้สึกเป็นกังวลมาก อันที่จริงแล้ว หญิงสาวทั้งสองคนต่างตระหนักถึงสาเหตุของการย้ายมาที่นี่ดี ดังนั้นพวกเธอจึงมีความประทับใจที่ดีในตัวหยวนโจว
ตอนนี้หยวนโจวที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรได้รับการตีตราให้เป็นคนดีไปเสียแล้ว
“จะบอกให้นะ วันนี้ราชินีเจียงจะเลี้ยงอาหารฉันด้วยล่ะ”
“โจวเจีย จะบอกให้นะ วันนี้ราชินีเจียงหรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่าเจียงฉางซี่จะเลี้ยงอาหารฉันด้วยล่ะ”
“เจ้าเศรษฐีหลิงหง วันนี้เจียงฉางซี่จะเลี้ยงอาหารฉันด้วยล่ะ”
หลังจากหม่าจื้อต๋าเข้ามาในร้านแล้ว เขาก็เริ่มบอกให้ทุกคนรู้ว่าวันนี้เจียงฉางซี่จะเลี้ยงอาหารเขา สีหน้าของเขาดูเปล่งประกายและเปี่ยมไปด้วยความเบิกบานใจราวกับคนที่ถูกลอตเตอรี่ก็ไม่ปาน
ถึงเจียงฉางซี่จะไม่ใช่หนึ่งในสิบเนื้อร้ายของร้านหยวนโจว แต่เธอก็มีชื่อเสียงไม่แพ้เจ้าเนื้อร้ายพวกนั้นเลย ดังนั้นหลายๆคนจึงถึงกับเลิกคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งที่หม่าจื้อต๋าพูดซ้ำๆซากๆ
ก่อนที่จะมีคนถามว่าเกิดอะไรขึ้น หม่าจื้อต๋าก็พูดโพล่งเรื่องทั้งหมดออกมา เขาเริ่มเล่าทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเดิมพันของเขากับเจียงฉางซี่รวมไปถึงการขยายเวลาเดิมพันออกไปด้วย
ตอนนี้เจียงฉางซี่ที่เป็นตัวละครหลักของเรื่องนี้กำลังดูเมนูกับถังหมินผู้ช่วยของเธอ พวกเธอกำลังกระซิบกระซาบกันเพื่อตัดสินใจว่าวันนี้จะทานอะไรดี เธอไม่ได้เอ่ยถึงคำพูดของหม่าจื้อต๋าสักคำ ฉะนั้นจึงบอกได้ว่าเธอเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูดโดยปริยาย
ส่วนถังหมินที่ได้รับมอบหมายให้หย่อนเงินลงกล่องใส่เงินเป็นครั้งคราวก็เหลือบมองหม่าจื้อต๋าที่ดูจะสบายอกสบายใจด้วยสายตาขุ่นเคือง
เธออยากจะดึงหูหม่าจื้อต๋าแล้วบอกว่าถ้าไม่ใช่เพราะผู้อำนวยการเจียงหย่อนเงินลงกล่องใส่เงินเป็นครั้งคราวแล้วล่ะกล่องใส่เงินก็คงจะว่างเปล่าไปเสียตั้งนานแล้วล่ะ
ยิ่งไปกว่านั้นถังหมินยังจำได้ว่าเธอเคยเห็นเถ้าแก่หยวนหย่อนเงินลงกล่องใส่เงินด้วย หากปราศจากเรื่องทั้งหมดนี้ หม่าจื้อต๋าก็คงจะแพ้เดิมพันไปแล้วล่ะ
เธออยากบอกความจริงแต่ก็ไม่กล้า หากไม่ได้รับอนุญาตจากเจียงฉางซี่ เธอย่อมไม่กล้าปริปากพูดความจริงออกไปแม้แต่คำเดียว
ถึงแม้ว่าหม่าจื้อต๋าจะมีท่าทางสบายอกสบายใจ แต่เขากลับไม่ได้สั่งอะไรที่แพงเกินไปนัก เขาแค่สั่งหมูแผ่นอวี่เซียงกับหญ้าจินหลิงเพียงเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้ทัศนคติที่ถังหมินมีต่อเขาดีขึ้นมาบ้าง
จะว่าไปแล้วอาหารฟรีก็รสชาติอร่อยเสมอนั่นแหละ อาหารที่ร้านหยวนโจวที่อร่อยอยู่แล้วทว่าวันนี้รสชาติกลับอร่อยขึ้นไปอีก
หลังจากเจียงฉางซี่กับถังหมินทานอาหารเสร็จแล้ว พวกเธอก็รอหม่าจื้อต๋าที่กำลังทานอาหารไปเรื่อยๆ
ในเมื่อนี่คืออาหารฟรี ซ้ำยังเป็นอาหารฟรีที่เจียงฉางซี่เป็นคนเลี้ยงอีกต่างหาก หม่าจื้อต๋าจึงค่อยๆกินช้าๆ
“นายกินช้าเกินไปแล้วนะ” ถังหมินพึมพำ
“ช่วยไม่ได้นี่ ก็มื้อนี้ราชินีเจียงเลี้ยงฉันนี่นา ฉันก็ต้องใช้เวลาละเลียดอาหารของตัวเองเสียหน่อยสิ” หม่าจื้อต๋าตอบทันที
“โอ” ถังหมินรู้สึกอึดอัดใจที่บังเอิญมาได้ยินเข้าจนต้องปิดปากแล้วหยุดพูด
หลังจากหม่าจื้อต๋าทานเสร็จแล้ว เจียงฉางซี่กับถังหมินก็รีบไป เจียงฉางซี่เพิ่งจะกลับมาแถมยังมีงานรอเธออยู่ที่สำนักงานอีกมากมายก่ายกอง
วันนี้เธอเพียงแค่มาที่นี่เพื่อเลี้ยงอาหารหม่าจื้อต๋าเท่านั้น ตอนนี้เธอต้องกลับไปทำงานแล้ว
ระหว่างทางกลับ ถังหมินอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงพูดขึ้นมาว่า “ผู้อำนวยการเจียงคะ”
“ว่าไง?” เจียงฉางซี่มักจะเป็นคนที่ทำงานด้วยความเถรตรงอยู่เสมอ แต่เธอก็ยังค่อนข้างสุภาพกับคนอย่างถังหมินที่ติดตามเธอมานานแล้วด้วย
“ก่อนหน้านี้หม่าจื้อต๋าคนนั้นมาขอท้าเดิมพันเรื่องกล่องใส่เงิน ฉันไม่นึกว่าคุณจะแพ้เลยนะคะ” ถังหมินกล่าว
“เธอไม่สบายใจเพราะเรื่องเองน่ะเหรอ?” เจียงฉางซี่มองถังหมินพร้อมยิ้ม
“ค่ะ ฉันไม่นึกว่าคุณจะแพ้เลย” ถังหมินพยักหน้า
“ก็จริงนะ ถ้าไม่มีฉัน เถ้าแก่หยวนกับหลิงหงหย่อนเงินลงในกล่องใส่เงินให้ หม่าจื้อต๋าก็คงแพ้เดิมพันไปแล้วล่ะ” เจียงฉางซี่คุยไปพลางเดินไปพลาง
“แล้วทำไมคุณต้องไปเลี้ยงอาหารเขาด้วยล่ะคะ?” ถังหมินไม่พอใจท่าทางสบายอกสบายใจของหม่าจื้อต๋าเอาเสียเลย
“แพ้หรือชนะไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก” เจียงฉางซี่กล่าวพร้อมยิ้ม
ก่อนที่ถังหมินจะทันได้ถามอะไรอีก เจียงฉางซี่ก็พูดต่อ
“ก็เหมือนตอนที่ฉันยังเป็นเด็กนักเรียนอยู่ ฉันก็จะสละที่นั่งบนรถประจำทางเมื่อไรก็ตามที่เห็นคนเฒ่าคนแก่ ตอนนี้ก็เหมือนกันฉันจะซื้อผักหรือผลไม้ถ้าเห็นคนเฒ่าคนแก่เอามาขาย”
“ไม่ใช่เพราะฉันเป็นคนดีอะไรหรอกนะ ฉันก็แค่หวังว่าคนอื่นจะทำแบบนั้นกับคนที่ฉันรักหากตกอยู่ในสภาพนั้นเข้าสักวันหนึ่ง” เจียงฉางซี่อธิบาย
ถังหมินอึ้งงันไป เธอดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่เจียงฉางซี่บอกแล้ว แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนจะยังสับสนอยู่ด้วย แต่เธอไม่ได้ถามคำถามใดอีกแล้วตามเจียงฉางซี่กลับสำนักงานไปเงียบๆ