อยากกินไหมล่ะ - ตอนที่ 764
รสชาติอร่อยจนมีชื่อเสียงไปทั่ว
จะว่าไปแล้วแป้งอันเดิมก็เป็นแป้งที่ชิ้นเล็กจริงๆที่จะเอามาจากแป้งที่ผ่านการนวดครั้งแรกแล้วเก็บเอาไว้อย่างดีเพื่อนำมาใช้อีกครั้งในภายภาคหน้า คราวต่อมาเมื่อแป้งอีกก้อนหมักเข้ากับแป้งที่เก็บเอาไว้แล้ว ผู้คนก็จะแยกมันออกเป็นอีกชิ้นแล้วเอาไปเก็บไว้
กระบวนการจะซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น หลังจากนั้นยีสต์ในแป้งก้อนนี้ก็จะโตขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันก็ยังค่อนข้างปกติมากทีเดียว แน่นอนว่าแป้งที่หมักกับพวกมันย่อมนุ่มและเบาซ้ำยังให้รสชาติที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย
และหมั่นโถวไหมพันเส้นก็เป็นอาหารที่ต้องให้เนื้อสัมผัสแบบนั้น นั่นก็คือสาเหตุที่ทำให้หยวนโจวเลือกแป้งอันเดิมนั้นเอง ในขณะเดียวกันเจ้าระบบก็สร้างความประหลาดใจให้เขา น่าแปลกที่แป้งเจ้านายหลายคนก่อนหน้านี้หลงเหลือแป้งอันเดิมเอาไว้ชิ้นหนึ่ง
เรื่องนั้นทำให้หยวนโจวประหลาดใจมากทีเดียว บางทีเขาก็รับรู้บางเรื่องเกี่ยวกับเจ้านายหลายคนก่อนหน้านี้ได้จากแป้งอันเดิมก้อนนี้
มีคำโบราณว่าไว้ “คุณจะได้รับในสิ่งที่จ่ายออกไป” เมื่อเทียบกับอาหารจานอื่นๆในร้านหยวนโจวแล้ว วัตถุดิบที่ใช้ทำหมั่นโถวไหมพันเส้นกลับเป็นของง่ายๆ แน่นอนว่าแป้งสาลีที่ใช้ก็ยังต้องเป็นของชั้นยอดอยู่ดี ส่วนแป้งอันเดิมนั้นย่อมไม่ใช่สิ่งที่พบได้ทั่วไปเนื่องจากเป็นของที่เจ้านายหลายคนก่อนหน้านี้หลงเหลือเอาไว้
ที่สำคัญหมั่นโถวไหมพันเส้นขึ้นอยู่กับฝีมือในการนวดแป้งเป็นหลัก ทุกอย่างล้วนอยู่ในการควบคุมมือของเชฟว่ารสชาติจะออกมาอร่อยหรือเหนียว หลิวจางอยากจะเห็นฝีมือของหยวนโจวในระดับสูงสูดจากการสั่งอาหารที่สลับซับซ้อนจานนี้
“เถ้าแก่หยวนช่างเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ” หลิวจางเฝ้ามองดูการลงมือทำของหยวนโจวมาโดยตลอด อันที่จริงแล้วนับเป็นเรื่องยากมากที่จะรับรู้รสชาติของอาหารได้จากการลงมือทำของเขา แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขาสามารถบอกได้เลย การลงมือทำของหยวนโจวเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่าเขาเสียอีก
“เถ้าแก่หยวนยอดเยี่ยมเสมอแหละครับ ส่วนไห่น้อยก็ไม่มีความอดทนแถมยังดื้อรั้นและไม่ยอมคนอีกต่างหาก แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาเคยบอกว่ามีแค่หยวนโจวเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เขาจะยอมลงให้” เจิ้งเจียเว่ยตอบหลิวจางทันที
หลิวจางแทบไม่รู้เรื่องภาพเขียนเลยจึงทำให้เขาไม่รู้จักอู๋ไห่ แต่เขาก็สามารถรับรู้ได้ว่าอู๋ไห่ไม่ใช่คนธรรมดาๆ
ตอนนี้เจิ้งเจียเว่ยกับหลิวจางนั่งอยู่ด้วยกัน จู่ๆอู๋ไห่ก็เกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาเสียดื้อๆจึงต้องกลับไปวาดภาพ ก่อนที่เขาจะกลับ เขาสั่งเจิ้งเจียเว่ยเป็นพิเศษให้ต้อนรับหลิวจางให้ดี และยิ่งไปกว่านั้นเขายังจ่ายค่าอาหารให้ด้วย
ไม่ว่าเรื่องใดที่อู๋ไห่มอบหมายให้ทำ เจิ้งเจียเว่ยก็มักจะพยายามทำให้เสร็จสมบูรณ์อยู่เสมอ ดังนั้นตอนนี้เจิ้งเจียเว่ยกับหลิวจางก็เลยมานั่งด้วยกัน
จากการลงมือทำของเขา หลิวจางให้คะแนนเต็มกับหยวนโจว ตอนนี้เขาก็แค่รอชิมเท่านั้นแล้ว
ในร้านค่อนข้างเสียงดังโหวกเหวก ส่วนนอกร้านมีชายหนุ่มอายุราวๆ 17 หรือ 18 ปีเดินไปที่กล่องใส่เงินตรงประตูแล้วมองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง บางครั้งเขาก็จะนั่งตรงม้านั่งตัวยาวและดูเหมือนว่าจะสังเกตสิ่งรอบข้างไปด้วย
สองทุ่มแล้วแต่ยังมีผู้คนอีกมากมายที่กำลังรออยู่นอกร้านหยวนโจว ชายหนุ่มยืนอยู่ข้างกล่องใส่เงินอยู่สิบนาทีจนกระทั่งไม่มีใครมองมาที่เขาอีก เขาล้วงเงิน 4 หยวนออกจากกล่องใสเงินด้วยความเร็วปานสายฟ้าแล้วจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลในทันที
“หมั่นโถวไหมพันเส้นได้แล้วค่ะ ทานให้อร่อยนะคะ” โจวเจียยกหมั่นโถวซึ้งหนึ่งมาให้พวกเขา
แน่นอนว่าซึ้งย่อมสานด้วยซีกไม้ไผ่สีเขียวมรกต ทันทีที่เปิดฝาออก ควันร้อนระอุก็ลอยวนขึ้นจากด้านในและเผยกลิ่นหอมออกมา
“โอ้ หอมดีจัง” หลิวจางสนใจขึ้นมาทันทีเมื่อเขาได้กลิ่นหอม จากนั้นเขาก็หยิบตะเกียบขึ้นมาเตรียมที่จะกิน
หมั่นโถวไหมพันเส้นบนซึ้งลูกไม่ใหญ่เท่าไหร่นักและมีขนาดใหญ่เพียงแค่ฝ่ามือของผู้หญิงเท่านั้น โดยมีรูปทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากที่มีส่วนโค้งเล็กน้อยตรงปลายยอดซึ่งดูเหมือนจะมีสิ่งที่ทอเป็นมันส่องประกายอยู่
ถ้าหากตรวจดูอย่างรอบคอบก็จะรู้ได้เลยว่าหมั่นโถวไม่ได้ละเอียดมากสักเท่าไหร่ราวกับว่ามันเชื่อมกันทีละน้อยทีละนิด
“มีไหมพันเส้นจริงๆด้วย” หลิวจางจ้องมองหมั่นโถวตรงหน้าแล้วก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความชื่นชม
จากนั้นหลิวจางก็ลองกัดเข้าไปคำหนึ่ง หมั่นโถวยุบตัวลงทันทีแล้วคืนตัวอย่างช้าๆ เขาสามารถเห็นหมั่นโถวที่เชื่อมกันด้วยข้าวสาลีราวกับเส้นไหมอยู่จริงๆได้อย่างชัดเจนด้วยการกัดผิวนอก
เมื่อกัดหมั่นโถวอีกคำ หลิวจางก็อดไม่ได้ที่จะหลับตาแล้วเพลิดเพลินไปกับรสชาติในปากของตัวเอง
เมื่อหมั่นโถวเข้าปากแล้วก็ละลายเป็นเส้นไหมแล้วกระจายไปทั่วปากทันทีสมชื่อ “ไหมพันเส้น” ที่บอกเอาไว้เลยทีเดียว ในขณะเดียวกันก็ยังส่งกลิ่นหอมฟุ้งของน้ำมันหมูเต็มปาก ถึงแม้เขาจะไม่ได้เคี้ยวแต่หมั่นโถวก็ค่อยๆละลายอย่างช้าๆ
“ของแท้เลยนี่! สุดยอด!” หลังจากกล่าวหลายต่อหลายคำออกมา หลิวจางกินอีกครึ่งที่เหลืออยู่ระหว่างตะเกียบในทันที
คราวนี้เขาเริ่มเคี้ยวให้ละเอียดทันทีและหมั่นโถวในปากก็ให้เนื้อสัมผัสอ่อนนุ่มร่วมกับความหนึบนิดหน่อย เนื่องจาก “ไหมพันเส้น” ไม่เหนียวเลยสักนิดตอนที่เคี้ยว แต่กลับนุ่มมากๆอีกต่างหาก นอกจากนี้น้ำมันหมูที่เติมเข้าไปยังหลอมรวมอยู่ในหมั่นโถวอย่างสมบูรณ์แบบอีกด้วย
“ยิ่งเคี้ยวก็ยิ่งหอม ยิ่งไปกว่านั้นคุณยังสามารถเคี้ยวหรือไม่ก็ปล่อยให้ละลายไปเองก็ได้ นอกจากนั้นก็ยังไม่สำลักแถมมีความหวานนิดๆของข้าวสาลีอีกด้วย อร่อยชะมัดยาดเลย!” หลิวจางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“ข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวก็คือมีหมั่นโถวอยู่แค่สี่ลูกในแต่ละซึ้งเอง มันน้อยเกินไปแล้ว” หลิวจางอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า ในขณะเดียวกันเขาก็คีบหมั่นโถวขึ้นมาอีกลูกแล้วยัดเข้าปากไปด้วยสีหน้าพออกพอใจ
เมื่อเห็นหลิวจางกินอย่างมีความสุขเสียขนาดนั้นแล้ว แม้แต่เจิ้งเจียเว่ยที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องกินสักเท่าไหร่ก็ยังอดที่จะมองเขาไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงนักชิมคนอื่นๆเลย พวกเขาต่างจ้องมองไปที่เขาด้วยความคาดหวังแล้วรอคอยความคิดเห็นของเขา
ทันทีที่หลิวจางเงยหน้าขึ้นมา เขาก็เห็นสายตาของคนพวกนี้เข้าพอดี จากนั้นเขาก็ยิ้มกว้าง
“ผมเองก็รู้จักอาจารย์หลายคนที่ทำอาหารด้วยข้าวสาลีแถมยังไม่ใช่ครั้งแรกที่กินหมั่นโถวไหมพันเส้นอีกด้วย…” จู่ๆหลิวจางก็ชะงักไปตอนที่พูดไปได้ครึ่งทาง ไม่มีใครรู้ว่าเขามีจุดประสงค์อะไรกันแน่ แต่เขากลับพูดอีกเรื่องต่อว่า “เวลาแบบนี้ ผมคิดว่าตัวเองได้รับประโยชน์จากเถ้าแก่หยวนด้วยการแลกตับดิบสำหรับอาหารค่ำมื้อนี้”
ระหว่างนั้นมีลูกค้า 7 หรือ 8 คนสั่งหมั่นโถวไหมพันเส้นเพิ่มอีกที่ในอาหารมื้อค่ำของพวกเขาด้วย นักชิมกลุ่มนี้เพียงแค่ลังเลใจและตัดสินใจไม่เด็ดขาดก็เท่านั้นเอง
หลังจากเขากินหมั่นโถวไหมพันเส้นจนเกลี้ยงแล้ว หลิวจางก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เถ้าแก่หยวน ผมรู้จักเพื่อนที่ทำอาหารที่ปรุงขึ้นจากข้าวสาลีได้ยอดเยี่ยมมากอยู่คนนึง แต่กลับทำไม่สำเร็จเสียที ผมบอกเขาเรื่องนี้ได้ไหม? ผมคิดว่าเขาน่าจะเห็นด้วยอย่างแน่นอนเพราะเขาสนใจอาหารที่ปรุงขึ้นจากข้าวสาลีเอามากๆเลยทีเดียว”
เขาเรียบเรียงคำพูดได้ไม่ดีนัก บางทีเขาอาจจะมีความสุขมากเกินไปเพราะเขานึกไอเดียดีๆแบบนี้ขึ้นมาได้จึงกล่าวออกไปอย่างสับสน แต่หยวนโจวก็ยังพอเข้าใจได้คร่าวๆถึงสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ ขอเพียงแค่เขาเข้าใจก็พอ หลิวจางตั้งใจที่จะใช้หมั่นโถวร้อยอย่างในร้านหยวนโจวเพื่อล่อให้เพื่อนเก่าของเขามาเฉิงตูเพื่อทำเรื่องสนุกๆกัน
สิ่งที่ทำให้หยวนโจวต้องประหลาดใจก็คือ อาหารอร่อยของเขากลายเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้คนมาอีกเมืองซึ่งเป็นสิ่งที่หยวนโจวมักจะภูมิอกภูมิใจเสมอมา ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องข้อเสนอของหลิวจางเพียงแค่ตอบตกลงไปเท่านั้น
“ได้ครับ แต่ผมทำอาหารที่ปรุงจากข้าวสาลีได้แค่ไม่กี่อย่างนะครับ” หยวนโจวครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วกล่าวตามตรง
“ฮ่าฮ่า เท่านี้ก็พอแล้วล่ะ” หลิวจางระเบิดหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรกแล้วกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณมากเลยนะครับ ขอบคุณฝีมือการทำอาหารของคุณด้วย ผมจะได้เจอเพื่อนเก่าอีกสักครั้งนึง” มีรอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลิวจาง
อันที่จริงแล้วอาหารดีๆเป็นข้ออ้างที่ดีที่สุดในการชวนเพื่อนเก่ามาพบกันใหม่ นอกจากนี้หลิวจางกับเพื่อนเก่าคนนั้นก็มีเรื่องตั้งมากมายด้วย แต่หยวนโจวก็ไม่ได้ถามอะไรเพราะยังมีหมั่นโถวไหมพันเส้นอีกหลายที่ๆเขาต้องไปทำ
หยวนโจวรู้สึกว่าเขาค่อยๆกลายเป็นสัตว์กลางคืนทีละนิดๆแล้ว เขามีชีวิตชีวาในยามค่ำคืนมากกว่ายามกลางวันเสียอีก หลังจากมื้อค่ำเขายังต้องการพลังงานอยู่ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยมาพอสมควรแล้วก็ตาม
“เถ้าแก่หยวน เอาเงินคืนไปเถอะ ไห่น้อยบอกผมว่าเขาจะเลี้ยงอาจารย์หลิวเองครับ”
เจิ้งเจียเว่ยกับหยวนโจวปฏิเสธเงินกันพอเป็นพิธีเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องที่มักจะเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ คนหนึ่งอยากยัดเงินเข้ากระเป๋าอีกคนส่วนอีกคนไม่อยากรับเอาไว้
“วันนี้ฉันทำข้อตกลงกับอู๋ไห่เอาไว้น่ะ เขาจะจ่ายเงินให้ฉันก่อนแล้วหลังมื้ออาหาร ฉันก็จะคืนเงินให้เขา” หยวนโจวอธิบายอย่างเอาจริงเอาจัง เขาพยายามที่จะคืนเงินให้เจิ้งเจียเว่ยอยู่หลายครั้งหลายคราแต่ก็ไม่สำเร็จ เขาไม่รู้จริงๆว่าทำไมจู่ๆเจ้าคนที่ดู “อ่อนแอ” ผู้นี้ถึงได้มีแรงเยอะขึ้นมาทันตาเห็นเสียได้กันเล่า