อยากกินไหมล่ะ - ตอนที่ 767
จุดประสงค์ของหางไก่
เมื่อตอนที่เฉินเว่ยพูดขึ้นมา เขาเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง หยวนโจวจึงตอบตกลงทันที
“ได้อยู่แล้วล่ะ ทุกคนสามารถลองชิมดูได้” หยวนโจวพยักหน้า
“ขอบคุณนะเถ้าแก่หยวน” จากนั้นเฉินเว่ยก็ยกตะเกียบขึ้นแบ้วเริ่มกิน
“ขอบคุณครับ” เสิ่นซีเองก็เข้ามาร่วมวงด้วย
“หายากนะเนี่ยที่เถ้าแก่หยวนจะใจกว้างแบบนี้ ฉันต้องลองชิมดูบ้างแล้วล่ะ” เจียงฉางซี่ยกตะเกียบของตัวเองขึ้นพร้อมยิ้ม
“ฉันขอสละสิทธิ์ก็แล้วกัน” นักเขียนนิยายกล่าวพลางขมวดคิ้ว
“ฉันก็ขอสละสิทธิ์ด้วย ยังไงก็ขอบคุณนะ เถ้าแก่หยวน” ญินยาโล่งอกที่มีคนบอกว่าไม่กินเช่นกัน
ถึงพวกเขาจะเรียกอาหารจานนี้ว่าหางไก่ก็เถอะนะ แต่ใครก็ดูออกว่ามันเป็นตูดไก่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่นักเขียนนิยายกับญินยาจะยอมรับอาหารจานนี้ได้
“อืม ไม่เป็นไร” หยวนโจวไม่ใส่ใจ
ทุกคนต่างมีความชอบเป็นของตัวเองซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องดี แม้แต่เฉินเว่ยก็ดูเหมือนจะไม่ชอบคนที่เคยกินหางไก่มาก่อน เขาแค่ลองชิมเพราะเขาเคยได้ยินมาว่าอาหารจานนี้เข้ากันได้ดีกับเหล้าก็เท่านั้นเอง
เฉินเว่ยเป็นคนแรกที่คีบหางไก่ขึ้นมา เขาไม่หักห้ามใจอีกต่อไปแล้วเลือกชิ้นที่ใหญ่ที่สุดก่อนยัดเข้าปาก
หางไก่ย่างเห็ดเป็นอาหารที่มีรสชาติรุนแรงในตัวซึ่งเป็นสิ่งที่เฉินเว่ยชอบ ดังนั้นทันทีที่เขายัดมันเข้าปากแล้ว เขาก็ถึงกับหลับตาด้วยความพึงพอใจ
หางไก่มีรสชาติเป็นอย่างไรบ้างน่ะเหรอ? สืบเนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เติบโตมา คนส่วนใหญ่จึงมีความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีกับมันสักเท่าไหร่นัก
อันที่จริงแล้ว ไม่มีกลิ่นแปลกๆบนหางไก่เลย เพียงแต่ต้องทำความสะอาดให้ดีและหางไก่ก็จะซึมซ่านไปด้วยรสชาติของเนื้อแสนอร่อยโดยตรง
เนื้อไก่เองมีรสชาติอร่อย ตอนนี้มันผ่านการปรุงด้วยเห็ดมากมาย ความสดใหม่ของเห็ดจะผสมผสานเข้ากับหางไก่อย่างสมบูรณ์แบบยิ่งเน้นให้รสชาติโดดเด่นมากยิ่งขึ้น
“นี่มันอร่อยมากจริงๆ” เฉินเว่ยกล่าว
หางไก่มีรูปทรงหัวใจและมีขนาดพอเหมาะที่จะกินในคำเดียว ดังนั้นเฉินเว่ยจึงเริ่มเคี้ยวทันทีที่ยัดมันเข้าปาก
ความรู้สึกเมื่อเขาเคี้ยวในครั้งแรกนั้นไม่รู้สึกเหมือนเนื้อเลย ออกจะกรุบกรอบมากกว่าเนื้อเสียด้วยซ้ำไปทว่าก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนกับตอนที่เคี้ยวกระดูกซี่โครงอยู่ดี แต่กลับให้ความรู้สึกของเนื้ออันแปลกใหม่
เมื่อเคี้ยวเป็นครั้งที่สอง รสชาติก็เริ่มท่วมท้นไปทั่วปาก เนื่องจากเนื้อถูกฉีกเป็นชิ้นๆจากการเคี้ยวจึงทำให้รสชาติของเห็ดยิ่งซึมซ่านเข้าสู่เนื้อมากยิ่งขึ้นในขณะที่รสชาติของเนื้อเริ่มกระจายออกไปเช่นเดียวกัน สิ่งนี้ทำให้ปากของเขาท่วมท้นไปด้วยกลิ่นหอมอันน่าพอใจยิ่ง ยิ่งเขาเคี้ยวหางไก่มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดูน่าอร่อยมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเขาได้กินแล้วก็อยากกินอีก
ก่อนที่เขาจะเคี้ยวชิ้นที่อยู่ในปาก เฉินเว่ยก็เริ่มตั้งหน้าตั้งตารอคอยชิ้นต่อไปเสียแล้ว
“เนื้อแน่นแถมอร่อยมากเลยล่ะ” เฉินเว่ยรีบกลืนชิ้นที่อยู่ในปากอย่างรวดเร็วแล้วแสดงความคิดเห็นขณะที่เขาเตรียมจะคีบชิ้นต่อไปด้วยตะเกียบของตัวเอง
“เลิกพูดเสียทีเถอะน่า ดื่มเหล้าบ้างสิ” หยวนโจวสกัดเฉินเว่ยแล้วกล่าวขึ้นมา
“เข้าใจแล้ว” เฉินเว่ยเคยดื่มเหล้าไผ่ที่นี่มาแล้ว เขาจึงรีบยกถ้วยขึ้นแล้วเริ่มดื่มอย่างรวดเร็ว
มีเหล้าอยู่ในถ้วยไม่เยอะมากนัก โดยเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียวและเขาก็จิบหมดในคำเดียว
เหล้าไผ่มีรสชาติละมุนมากเสียจนไม่รู้สึกเหมือนเหล้าเลยสักนิด แต่กลับรู้สึกเหมือนน้ำลูกแพร์รสหวานสดชื่น แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ยังรู้สึกได้ถึงความเข้มข้นภายใต้ฤทธิ์ของพริกไทย
ถึงแม้ว่ารสชาติของเหล้าจะไม่รุนแรงนัก แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เฉินเว่ยสนใจแล้ว นี่เป็นเพราะทันทีที่เหล้าไผ่แสนสดชื่นเข้าปาก รสหวานก็เปลี่ยนเป็นกลิ่นถั่วเหลือง
รสชาตินี้ทำให้รู้สึกเหมือนเหล้าที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินมานาน 10 ปี โดยความข้นและคงอยู่ได้นานกำลังเคลื่อนผ่านลงคอเข้าสู่ท้องอย่างราบรื่น
เฉินเว่ยไม่กล้าพูดอีก เขาหุบปากด้วยความพึงพอใจขณะที่ปล่อยให้รสชาติของถั่วเหลืองคงอยู่ในปากตัวเอง
“ดูเหมือนจะมีเรื่องน่าประหลาดซ่อนอยู่นะ” เสิ่นซีคาดเดาหลังจากทานหางไก่หมดไปชิ้นหนึ่งเช่นเดียวกัน
“ขอฉันลองชิมบ้างสิ” เจียงฉางซี่กล่าวขณะที่เธอกลับมายังที่นั่งของตัวเองแล้วจิบเหล้า
เจียงฉางซี่เป็นคนที่รอบคอบมากทีเดียว ก่อนหน้านี้หลังจากทานพริกไทยไปบางส่วนแล้ว แต่ก็รู้สึกได้ว่าเหล้าแรงเกินไปอยู่ดี ถึงแม้ว่าจะอร่อยทว่ากลับแรงเกินไป ดังนั้นคราวนี้เธอจึงจิบคำเล็กๆแทน
“อืม กลมกล่อม เข้มข้นและมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ทั้งยังแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ฉันไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าหางไก่ก็มีรสชาติแบบนี้ด้วย” เจียงฉางซี่เอ่ยปากชื่นชม
“ดูเหมือนมันจะเข้ากับเหล้าได้จริงๆด้วย” เสิ่นซีรำพึง
“แหงอยู่แล้ว น่าเสียดายที่นายเลิกดื่มไปแล้ว นายก็เลยไม่สามารถลิ้มลองรสชาติแบบนี้ได้อีก” เฉินเว่ยกล่าวขณะที่กำลังดื่มอยู่
ถึงแม้ว่าจะสองปีมาแล้วที่เสิ่นซีเลิกดื่ม แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่ร้านของเถ้าแก่หยวน ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนักที่จะคอยระแวดระวังเอาไว้ ดังนั้นเฉินเว่ยจึงต้องคอยเฝ้าเสิ่นซีเอาไว้
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันไม่ดื่มหลังจากเลิกแล้วแน่” เสิ่นซีถึงกับกล่าวไม่ค่อยออกเมื่อเห็นท่าทีกันเฉินเว่ยออกจากเหล้าของเขา
“งั้นก็ดี ฉันทำแบบนี้เพราะเป็นเรื่องดีกับตัวนายนะ ในฐานที่เป็นลูกผู้ชาย นายควรจะรักษาคำพูดตัวเองด้วยล่ะ” เฉินเว่ยพยักหน้าแล้วตบไหล่ของเสิ่นซีด้วยความยินดี
โฮ่โฮ่” เสิ่นซีเยาะหยัน
เฉินเว่ยไม่ใส่ใจสักนิด เขารีบหันกลับไปมองหยวนโจว แม้แต่หยวนโจวก็รู้สึกสันหลังเย็นเฉียบเมื่อเขาเห็นสายตาของเฉินเว่ย อันที่จริงแล้ว เขารู้สึกรำคาญสายตาของเฉินเว่ยมากทีเดียว
“อะไรเล่า?” หยวนโจวถามขึ้น
“เปล่านี้ แต่ว่านะเถ้าแก่หยวน นายมันยอดเยี่ยมเกินไปแล้วนะ นายถึงกับสามารถทำหางไก่ได้อร่อยขนาดนี้เชียว” เฉินเว่ยกล่าวขณะที่เขามองหางไก่บนจานของหยวนโจว
มีหางไก่บนจานไม่มากเท่าไหร่นัก หลังจากพวกเขาคีบไปคนละชิ้นก็เหลือเพียงแค่สามชิ้นเท่านั้นแล้ว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เฉินเว่ยถามอ้อมๆออกมา
“จริงด้วย หางไก่สามารถเปลี่ยนรสชาติของเหล้าได้โดยสิ้นเชิงจริงๆ นั่นมันยอดเยี่ยมมากเลยล่ะ” เจียงฉางซี่พยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่แล้วล่ะ พริกไทยนั่นก็เหมือนกัน หลังจากกินเข้าไปแล้ว เหล้าจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยล่ะ” เฉินเว่ยพยักหน้า
“มันแตกต่างจากพริกไทยนั่นเลยล่ะ” หยวนโจวกล่าว
“ก็จริงนะ หลังจากกินพริกไทยนั่นแล้ว พอดื่มเหล้าเข้าไปก็จะรู้สึกเหมือนคอแทบไหม้เลย หางไก่จานนี้ทำให้รสชาติของเหล้าเหมือนกับเหล้าที่ฝังอยู่ใต้ดินมานานจนเป็นเหล้าที่ได้ที่เชียวล่ะ” เฉินเว่ยจุปากขณะหวนรำลึกขึ้นมาได้
“เหล้านี้เป็นเหล้าที่ได้ที่แล้ว สิ่งเดียวที่หางไก่จะทำก็คือปล่อยกลิ่นหอมที่ซุกซ่อนอยู่ออกมาเท่านั้นแหละ” หยวนโจวอธิบายต่อไป
“งั้นเองเหรอ? จริงสิ ถ้าหากเหล้ายังไม่ได้ที่พอดื่มเข้าไปก็คงไม่รู้สึกทำให้สดชื่นหรอก” เฉินเว่ยกล่าวพลางเขาจิบเหล้าอีกคำ
หลังจากการสนทนาครั้งนี้ เฉินเว่ยก็ยิ่งรู้สึกอายที่จะขอหางไก่ส่วนที่เหลือ เขาจึงอดกลั้นอยู่นานแล้วเริ่มหาเรื่องมาคุยแทน
เฉินเว่ยต่างจากอู๋ไห่เพราะเขายังรู้จักอาย
เมื่อพวกเขาไม่ได้คุยกันเรื่องหางไก่อีก ญินยาก็กลับมาจ้ออีกครั้ง บรรยากาศที่ผับเป็นไปอย่างสมัครสมานกลมเกลียวยิ่ง ถึงแม้หยวนโจวจะไม่ได้พูดอะไรมากนัก ทว่าในแต่ละครั้งที่เขาพูด ทุกคนก็จะตั้งใจฟัง
ตอนนี้หยวนโจวมีความมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆหลังจากหางไก่ย่างเห็ดของเขาประสบความสำเร็จในขั้นต้นแล้ว ที่เหลือก็คือออกวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้
นี่จะเป็นอาหารที่สาบสูญไปแล้วอย่างแรกบนเมนูของร้านหยวนโจว
เที่ยงวันถัดมา หยวนโจวก็วางจำหน่ายอาหารจานใหม่ คนแรกที่ได้ลิ้มรสหาใช่อู๋ไห่ แต่กลับเป็นฉูเสี่ยวแทน
จะว่าไปแล้วศัตรูจะรู้จักอีกฝ่ายได้ดีที่สุด
ถึงแม้ว่าฉูเสี่ยวจะไม่ใช่ศัตรูของหยวนโจว แต่เขาก็เป็นคู่แข่งอยู่ดี ดังนั้นฉูเสี่ยวจึงมาเข้าคิวตอนเที่ยงเป็นคนแรกเพื่อรอคอยอาหารที่สาบสูญไปแล้วของหยวนโจว
“วันนี้นายมาเร็วนะ” หยวนโจวกล่าวเมื่อเขาเห็นฉูเสี่ยวเข้ามา
“นายคืนชีพอาหารที่สาบสูญไปแล้วขึ้นมาก็ควรจะมาให้เร็วเสียหน่อยสิ ถึงยังไงฉันก็เป็นคนที่รู้จักวิธีชื่นชมอาหารจำพวกหางไก่เชียวนะ แน่นอนว่าฉันต้องมาลองชิมดูบ้างสิ” ฉูเสี่ยวกล่าว
“เชิญนั่งก่อนนะ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วไม่กล่าวให้มากความ
“เอาหางไก่ย่างเห็ดที่เดียวก็พอ” ฉูเสี่ยวสั่งแล้วนั่งรออาหาร