อยากกินไหมล่ะ - ตอนที่ 768
เตรียมออกเดินทาง
“ได้เลย เชิญนั่งก่อนนะ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วหันกลับไปทำอาหารต่อ
ฉูเสี่ยวนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆเพื่อรออาหาร
“อาหารจานใหม่เป็นหางไก่งั้นเหรอ? เป็นขนหรือว่าอะไรเทือกนั้นเหรอ?” อู๋ไห่ถามเมื่อเขาเห็นชื่ออาหารจานใหม่ เขาเป็นคนที่สองที่เข้ามาและแน่นอนว่าย่อมต้องมองหาอาหารจานใหม่เช่นเดียวกัน
“ไม่ใช่หรอกค่ะ มันเป็นส่วนที่ขนงอกขึ้นมาน่ะ” โจวเจียตอบอย่างจริงๆจังๆ
“งั้นก็ตูดไก่น่ะสิ? ได้เลย เอามาให้ฉันที่นึงด้วยล่ะ” อู๋ไห่สั่งอาหาร
บรรดาลูกค้าที่เข้ามาหลังจากนั้นต่างก็พบว่าอาหารจานใหม่ก็คือตูดไก่นั่นเอง ทุกคนจึงเริ่มพูดถึงมันขึ้นมา
ส่วนใหญ่พวกเขายินดีที่จะลองชิมดู ถึงอย่างไรส่วนหางก็ต่างจากตูดจริงๆ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นสิ่งที่หยวนโจวปรุงขึ้นมาเองทำให้อาหารจานใหม่มีความคุ้มค่าน่าลอง
นอกเหนือไปจากไม่กี่คนที่เป็นแฟนตัวยงของหางไก่แล้ว นี่ก็เป็นสาเหตุที่ลูกค้าส่วนใหญ่ตัดสินใจที่จะลองชิมดู
ใช่แล้วล่ะ มีบางคนที่เป็นแฟนตัวยงของหางไก่อยู่แล้ว ถึงอย่างไรหางไก่ก็มีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้รสชาติน่าหลงใหลมากขึ้นไปอีก ตัวอย่างก็คือจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่จางต้าเฉียนนั่นเอง
หยวนโจวมีชื่อเสียงมากและทุกอย่างที่เขาทำก็ต้องอร่อยอย่างแน่นอน
และนี่ทำให้จำนวนออเดอร์ที่สั่งอาหารที่สาบสูญไปแล้วเกินกว่าที่หยวนโจวคาดคิดเอาไว้
ฉูเสี่ยวทำตัวตามปกติ หลังมื้ออาหาร เขาก็ออกไปเงียบๆโดยไม่เอ่ยอะไรออกมาสักคำเดียว
หยวนโจวคุ้นเคยกับเรื่องนี้แล้ว เขาจึงทำอาหารต่อไปเงียบๆ
ผ่านไปหลายวันก็ถึงเวลาที่หยวนโจวต้องเดินทางไปต่างประเทศแล้ว เขาทิ้งข้อความเกี่ยวกับการลาหยุดของตัวเองเอาไว้ เจ้าสิ่งนี้จะทำหน้าที่แสดงเจตจำนงในการออกเดินทางของเขา
[เพื่อให้ฉันสามารถให้บริการลูกค้าของร้านนี้ เพื่อเพิ่มเครือข่ายระหว่างประเทศ เพื่อพัฒนาฝีมือการทำอาหารให้ดีขึ้น ฉันถูกบังคับให้ต้องตัดสินใจเรื่องที่ยากลำบาก ด้วยเหตุนี้ฉันก็เลยต้องลาหยุดนานหนึ่งอาทิตย์ ฉันจะไปประเทศไทยเพื่อเรียนรู้แก่นแท้ของอาหารไทยเพื่อช่วยให้ฉันจัดเตรียมอาหารอร่อยๆให้บรรดาลูกค้าของฉันได้มากขึ้นอย่างไรเล่า]
กระดาษ A4 แผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าร้านหยวนโจวอีกครั้ง กระดาษเพียงแผ่นเดียวมากพอที่จะแสดงถึงความจนปัญญาของหยวนโจวและความจริงจังในการพัฒนาตัวเอง เขาเชื่อว่าลูกค้าของเขาจะต้องเข้าใจเหตุผลของเขา
เขาเชื่อว่าทุกอย่างที่เขาทำก็เพื่ออนาคตที่ดี
แน่นอนว่าคำอธิบายเช่นนี้ของหยวนโจวย่อมเชื่อถือได้มากกว่านี้ถ้าไม่มีกระดาษ A4 เปล่าๆตั้งใหญ่วางเอาไว้ใต้โต๊ะ
หยวนโจวซื้อกระดาษตั้งนี้มาเพื่อให้ปิดประกาศได้ง่ายขึ้นในภายภาคหน้า
“จะว่าไปแล้วคนเราก็มีเรื่องให้ต้องด่วนตัดสินใจอย่างน้อยสองเรื่องในชีวิต เรื่องแรกก็คือเรื่องความรักและอีกเรื่องก็คือเรื่องการออกเดินทางในนาทีสุดท้าย” หยวนโจวพึมพำพลางมองไปที่ประกาศลาหยุดของเขา “ตอนนี้ฉันก็กำลังด่วนตัดสินใจเป็นครั้งแรกเหมือนกัน ฉันเชื่อว่าเดี๋ยวก็คงมีครั้งที่สองตามมา”
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “เจ้านายโปรดใช้รางวัลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
หยวนโจวแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเจ้าระบบ เขาคุ้นเคยกับเรื่องนี้อยู่แล้ว เขาคิดว่าเจ้าระบบนี้ช่างแสนโชคดีที่ได้มาเจอกับเจ้านายที่ไม่เจ้าอารมณ์อย่างเขา เจ้าระบบก็ช่างน่ารำคาญเกินไปหากเป็นผู้อื่นคงได้ถูกตีตายไปนานแล้ว
หยวนโจวจัดการธุระของตัวเองเกือบเสร็จแล้ว เขากำลังจะไปประเทศไทยจริงๆ อีกไม่นานเขาก็จะนั่งอยู่ในห้องโดยสารชั้นหนึ่งและอาจจะพักอยู่ในโรงแรมระดับห้าดาว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกเดินทางไปต่างประเทศด้วยตัวเองเลยก็ว่าได้ เมื่อนึกถึงห้องโดยสารชั้นหนึ่งที่เขาจะขึ้นแล้ว เขาก็ชักจะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเสียแล้ว
ถ้าหากหลี่เหยียนอี้รู้ว่าหยวนโจวกำลังคิดอะไรอยู่แล้วล่ะก็เขาคงอยากจะตีหยวนโจวให้ตายเป็นแน่ ถึงแม้ว่าจะไม่นับการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นในช่วงก่อนหน้านี้ของหยวนโจวก็เถอะ นอกจากนี้หยวนโจวยังได้พักอยู่การในโรงแรมระดับห้าดาวระหว่างการเดินทางไปเซี่ยงไฮ้ในช่วงก่อนหน้านี้ของเขาด้วย หลี่เหยียนอี้ไม่เคยเห็นใครไร้ยางอายได้เท่ากับเขามาก่อนเลย
อันที่จริงแล้ว ความตื่นเต้นของหยวนโจวก็พอเข้าใจได้ สิ่งที่คนอื่นจ่ายให้อย่างไรก็แตกต่างจากสิ่งที่ต้องควักเงินออกจากกระเป๋าตัวเองอยู่แล้วล่ะ การที่ถูกเจ้าระบบหลอกให้เดินทางจะรู้สึกเหมือนกับกำลังเดินทางที่หลี่เหยียนอี้เป็นคนจัดการหรือเปล่านะ? ทั้งสองอย่างไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกันได้โดยสิ้นเชิง
“ฉันลองตรวจสอบดูแล้วและพบว่าในอาทิตย์ที่จะถึงนี้ อุณหภูมิในประเทศไทยจะอยู่ที่ราวๆ 25 – 30 องศา นั่นมันค่อนข้างร้อนมากเชียวล่ะ” หยวนโจวพึมพำ
ถึงแม้ว่าหยวนโจวจะเคยเดินทางไปต่างประเทศมาก่อน แต่การเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นในช่วงก่อนหน้านี้ของเขาก็มีคนคอยจัดการทุกอย่างให้เขา คราวนี้เขาต้องจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง ตอนนี้อุณหภูมิที่เฉิงตูยังค่อนข้างหนาวอยู่เลย แต่พอไปถึงประเทศไทยก็น่าจะร้อนแล้วล่ะ
“ฉันจะอยู่ในประเทศไทยสักอาทิตย์นึงก็แล้วกัน เสื้อผ้าหกชุดก็น่าจะพอแหละนะ” หยวนโจวมองไปที่กระเป๋าเดินทางของตัวเอง
เขาเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบเสื้อผ้าที่เขาจะใส่พรุ่งนี้ออกมาวางไว้ข้างๆ จากนั้นเขาก็หยิบเสื้อผ้าออกมาอีกหกชุดแล้ววางลงในกระเป๋าเดินทาง จากการค้นหาข้อมูลของเขา อุณหภูมิโดยเฉลี่ยในประเทศไทยจะอยู่ที่มากกว่า 20 องศา ไม่ต่างอะไรกับฤดูร้อนเลย
ถึงแม้ว่าหยวนโจวจะไม่ได้มีเหงื่อมากสักเท่าไหร่นัก แต่เขาก็ยังต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าทุกวันอยู่ดีหากอุณหภูมิเหมือนกับในฤดูร้อนเสียขนาดนั้น เขาไม่อาจเข้าใจพวกคนที่เดินทางด้วยเสื้อผ้าแค่เพียงชุดหรือสองชุดที่น่าจะซักเสื้อผ้าที่โรงแรมแล้วค่อยนำมาสวมใส่อีกครั้งได้เลย จะได้อะไรขึ้นมาล่ะ? พวกเขาพักร้อนอยู่นะยังต้องมาซักผ้าอีกงั้นเหรอ?
“มาดูกันซิว่าฉันยังต้องเอาอะไรไปอีกด้วย” หยวนโจวเปิดโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา เมื่อเร็วๆนี้เพิ่งจะบันทึกภาพตัวอย่างเมื่อตอนที่เขาค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต
“โลชั่นกันแดด พลาสเตอร์ ยาที่จำเป็น ชุดเย็บปัก แว่นกันแดด ถุงมือ อุปกรณ์ซักผ้าและปลั๊กเดินทาง” หยวนโจวพึมพำขณะที่เขาตรวจสอบกระเป๋าเดินทางซ้ำเพื่อดูว่าเขามีของพวกนั้นครบแล้ว
“มีตัวเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับโลชั่นกันแดดหรือยังนะ? คูณ 30 กับ 50 งั้นเหรอ? เอาล่ะ เบอร์ยิ่งเยอะก็น่าจะดีกว่านะ” หยวนโจวเปิดโลชั่นกันแดดคูณ 50 แล้วลองดมดู กลิ่นไม่ค่อยจะน่าพอใจจริงๆนั่นแหละ แต่กลิ่นก็ไม่ได้แย่เหมือนกัน
“ฉันมีของครบทุกอย่างแล้ว แต่ฉันจะเอาปลั๊กเดินทางกับชุดเย็บปักไปทำอะไรกันเล่า?” หยวนโจวไม่เข้าใจเลย เขาสามารถแสดงท่าทีเฉยเมยได้ด้วยถุงมือเพียงคู่เดียวแต่ชุดเย็บปักล่ะ?
เขามีของทุกอย่างระหว่างการเดินทางไปซูเปอร์มาร์เก็ตครบแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ทราบจุดประสงค์ของอุปกรณ์ที่แนะนำพวกนั้น แต่เขาก็ยังซื้อทุกอย่างในรายการอยู่ดี
“สะบัดแขนเสื้อแล้วย่ำเมฆา” หยวนโจวท่องวลีง่ายๆขณะที่เขากำลังแอบย่องลากกระเป๋าเดินทางออกมาราวกับโจรก็ไม่ปาน
แน่นอนว่าหยวนโจวย่อมออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ เขาพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการพบปะกับลูกค้าของตัวเอง
หยวนโจวเป็นคนพูดน้อย หรือจะพูดง่ายๆก็คือเขาเป็นคนที่ไม่รู้วิธีจะพูดมากกว่า
คราวนี้หยวนโจวออกเดินทางหลังจากติดประกาศเอาไว้แล้ว แต่อู๋ไห่กลับดูใจเย็นอย่างน่าประหลาด
เขาไม่ได้บ่นไปสารพัดหรือขอตามหยวนโจวไปด้วย เขาเพียงแค่พยักหน้าอย่างใจเย็น
เมื่ออู๋ไห่ทำตัวเช่นนี้กลับส่งผลให้หยวนโจวรู้สึกสันหลังเย็นเฉียบ “ฉันหวังว่านายคงไม่ได้เตรียมวางแผนอะไรลับหลังฉันอยู่ใช่ไหม”
ในขณะที่กำลังเป็นกังวลเรื่องนี้ หยวนโจวรีบขึ้นรถแท็กซี่แล้วออกเดินทางไปสนามบิน
เมื่อเขาขึ้นเครื่องบินไปแล้วเห็นว่าอู๋ไห่ไม่ได้อยู่บนเครื่องด้วย เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา
“เขาทำตัวประหลาดชะมัดเลย ฉันสงสัยจังว่าเขาวางแผนจะทำอะไรกันแน่” หยวนโจวรู้สึกสงสัย
ถูกต้องแล้วล่ะ คราวที่แล้วที่หยวนโจวออกเดินทาง อู๋ไห่ก็ออกเดินทางไปที่ไหนสักแห่งเหมือนกัน ดังนั้นอู๋ไห่จึงทำตัวเชื่อฟังในเวลานั้น แต่คราวนี้อู๋ไห่กลับเงียบไปทำให้หยวนโจวชักจะอยากรู้ขึ้นมาตะหงิดๆเสียแล้ว
แต่เนื่องจากไม่เห็นอู๋ไห่อยู่บนเครื่องบิน หยวนโจวจึงพอที่จะคลายความวิตกของตัวเองลงไปได้บ้าง
“ประเทศไทย ฉันมาแล้ว” หยวนโจวสรรเสริญอยู่ในใจขณะที่เขาเหลือบมองท้องฟ้าภายนอก
ถึงอย่างไรหยวนโจวก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตารอคอยการเดินทางไปประเทศไทยของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น ห้องโดยสารยังสะดวกสบายมากและเขาก็มีโรงแรมระดับห้าดาวรออยู่ นอกจากนี้ก็ยังมีการเตรียมเงินทุนสำหรับการเดินทางของเขาเอาไว้แล้วด้วย ทั้งหมดนี้ได้มาจากการเจรจาต่อรองกับเจ้าระบบนั่นเอง