อยากกินไหมล่ะ - ตอนที่ 769
มาถึงประเทศไทย
เที่ยวบินของสิงคโปร์แอร์ไลน์ช่างแสนสะดวกสบายแถมแอร์โฮสเตสยังสวยมากอีกต่างหาก แม้แต่สจ๊วตพวกนั้นก็แค่หล่อน้อยกว่าหยวนโจวเพียงนิดเดียวเท่านั้น พวกเขาให้บริการดีมากจนทำให้หยวนโจวอารมณ์ดี หยวนโจวรู้สึกดีมากทีเดียว เขาเชื่อว่าตัวเองสามารถกินข้าวได้หลายถ้วยในรวดเดียวทันทีที่ออกบินเลยล่ะ
หยวนโจวเตือนแอร์โฮสเตสว่าถ้าหากเขาเผลอหลับระหว่างมื้ออาหารก็ให้พวกเขาไม่ต้องปลุก
“ดึงตัวเองออกมาจากงานยุ่งๆแล้วผ่อนคลายจิตวิญญาณตัวเองเสียบ้าง” หยวนโจวพึมพำด้วยความรู้สึกผ่อนคลายก่อนจะหลับตานอน
ในขณะเดียวกัน มีสิ่งของวางระเกะระกะอยู่นอกร้านหยวนโจว ถึงแม้ว่าร้านหยวนจะติดประกาศทั้งยังเอ่ยปากบอกลูกค้าบางคนระหว่างเปิดร้านเอาไว้แล้วก็ตามที แต่มีลูกค้าเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นวันนี้จึงยังมีลูกค้าบางคนมาที่นี่อยู่เพราะคิดจะให้รางวัลตนเองด้วยอาหารดีๆสักมื้อ
เมื่อพวกเขามาถึงก็พบว่าประตูร้านปิดอยู่ ถึงแม้ว่าตรงทางเข้าจะยังมีแสงสว่างส่องอยู่ก็เถอะ แต่กลับมีกระดาษ A4 ที่โดดเด่นสะดุดตายิ่งกว่าโคมไฟแปะอยู่บนประตู พวกเขาถึงกับอึ้งงันไปทันทีเมื่อเห็นประกาศ
“ปัง เถ้าแก่หยวนอู้อีกแล้ว”
“เขาไปประเทศไทยงั้นเหรอ? เขาไปตามหากะเทยหรือไง? ถ้าเขาต้องการอะไรแบบนั้นไม่ต้องไปถึงประเทศไทยหรอกน่า พวกเราไม่ลองให้เถ้าแก่ใหญ่ในชุดสตรีดูล่ะ? แค่นี้ก็ใช้ได้แล้ว”
“นี่ต้องเป็นภาพลวงตา ทุกอย่างเป็นภาพลวงตา”
บรรดาลูกค้าเริ่มปรึกษาหารือเรื่องที่หยวนโจวลาหยุด บางคนเป็นลูกค้าขาประจำ บางคนเป็นลูกค้าใหม่และบางคนก็เป็นลูกค้าที่มาที่นี่แค่ไม่กี่ครั้ง ตอนนี้พวกเขามีเอกลักษณ์ร่วมกันคือ คนที่ถูกทอดทิ้ง
เถ้าแก่ใหญ่ในชุดสตรีที่เรียกกันเป็นลูกค้าชายคนหนึ่งที่ชอบแต่งตัวในชุดสตรีจะที่จะมาที่ร้านเป็นบางครั้งบางคราว เนื่องจากเขามีท่าทางเย็นชาจึงไม่ได้พูดอะไรมากนัก ดังนั้นจึงมีคนรู้เรื่องของเขาน้อยมาก
“เพื่อทำอาหารให้อร่อยยิ่งขึ้นงั้นเหรอ? นั่นเป็นข้ออ้างของเจ้าเข็มทิศชัดๆ เขาไปที่นั่นเพื่อทำเรื่องสนุกๆเท่านั้นแหละน่า”
“เขาเป็นคนพเนจรไปแล้ว”
“ฉันมักจะเชื่อทุกสิ่งที่เถ้าแก่หยวนพูดนะ แต่ฉันไม่เชื่อประกาศลาหยุดนี้สักคำหรอก”
ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่แน่ใจกับข้ออ้างบนประกาศลาหยุด พวกเขาต่างถูกำปั้นอย่างโกรธเกรี้ยว ถ้าหากตอนนี้หยวนโจวถูกพวกเขาจับตัวได้แล้วล่ะก็เขาคงได้รับ “ความรัก” อันท่วมท้นล้นหลามของพวกเขาอย่างแน่นอน
โชคดีที่สมาชิกของคณะกรรมการเข้าคิวอยู่ที่นี่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย มิฉะนั้น สิ่งนี้คงจะเป็นจุดเริ่มต้นของการประท้วงที่ถนนเถ่าซือเป็นครั้งแรก
ประมาณสิบเอ็ดโมงเช้า มีลูกค้ามาถึงมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนกลับไปทันทีที่เห็นประกาศ บางคนรออยู่สักครู่เนื่องจากไม่เชื่อประกาศและบางคนวางแผนที่จะหาอะไรกินแถวนี้แทนในเมื่อพวกเขาก็อยู่ที่นี่แล้ว
ดังนั้น ร้านอาหารสไตล์ตะวันตกของลี่ลี่ที่อยู่ห่างจากร้านหยวนโจวไปสองร้านจึงเป็นตัวเลือกที่ดี ถึงอย่างไรร้านของเขาก็ตกแต่งได้สวยงามมากจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น บทวิจารณ์ทางอินเตอร์เน็ตฉบับล่าสุดของร้านนี้ยังค่อนข้างเป็นที่นิยมมากทีเดียว
ดังนั้นวันนี้ร้านอาหารสไตล์ตะวันตกของลี่ลี่จึงมีลูกค้าเยอะกว่าปกติ
ลี่ลี่ที่เป็นหัวหน้าเชฟสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความเปลี่ยนแปลงเนื่องจากจำนวนออเดอร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างล้นหลามที่เขาได้รับจากบริกรหญิง
“เริ่มมีเทรนด์การรับประทานอาหารสไตล์ตะวันตกหรืออะไรแบบนั้นงั้นเหรอ?” ลี่ลี่รู้สึกข้องใจ ถึงอย่างไรอัตราส่วนระหว่างคุณภาพกับราคาของร้านอาหารสไตล์ตะวันตกของลี่ลี่ก็ค่อนข้างแพง โชคดีที่ร้านหยวนโจวที่อยู่ละแวกข้างเคียงกันนั้นมีราคาแพงพอๆกัน เขาจึงสามารถเอาตัวรอดได้ด้วยบรรดาลูกค้าอันเนืองแน่นที่เหลือจากร้านหยวนโจว
หลังจากจัดการทุกอย่างในครัวจนเสร็จสรรพแล้ว ลี่ลี่ก็เดินออกมาจากครัวเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ทันที่เขามองดูก็พบว่าบรรดาลูกค้าทั้งหลายต่างเป็นลูกค้าขาประจำของหยวนโจวนั่นเอง
ทำไมวันนี้พวกลูกค้าขาประจำของหยวนโจวถึงมาที่นี่กันเล่า? ยังค่อนข้างเช้าอยู่เลยแท้ๆ ตอนนี้พวกเขาต้องไปต่อคิวอยู่หน้าร้านหยวนโจวนี่นา
หรือว่า…
“หรือว่าฝีมือการทำอาหารของฉันจะดีขึ้นกันนะ?” นี่เป็นเพียงคำอธิบายเดียวที่ลี่ลี่นึกออก เมื่อเขานึกได้เช่นนี้แล้ว หัวใจของเขาก็เริ่มเร่าร้อนไปด้วยความตื่นเต้น
“ผู้จัดการหวัง วันนี้พวกเรามีลูกค้าเยอะ ตรวจสอบให้แน่ใจด้วยล่ะว่าพวกเรารักษาคุณภาพการให้บริการของเรา…”
ลี่ลี่บอกผู้จัดการด้วยความรู้สึกค่อนข้างภาคภูมิใจราวกับชายชราที่จู่ๆก็ถูกจุดประกายความเร่าร้อนเมื่อครั้งยังเยาว์วัยขึ้นมาก็ไม่ปาน
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้สั่งการให้เรียบร้อย ผู้จัดการเล่าเรื่องบางอย่างให้เขาฟังด้วยความร่าเริงว่า “หัวหน้าเชฟครับ ผมได้ยินมาจากลูกค้าว่าหยวนโจวหยุดยาวอาทิตย์หนึ่ง กิจการของเราคงดีมากในช่วงวันหยุดของเขาแน่ๆเลย”
“หยุดยาวอาทิตย์นึงงั้นเหรอ…” ลี่ลี่ตะลึงงันไปเล็กน้อยก่อนเขาจะหันหลังกลับเข้าครัว
ดูเหมือนว่าลี่ลี่จะอดเป็นกังวลไม่ได้เลย…
ย้อนกลับไปที่ร้านหยวนโจวกันบ้าง
“โชคร้ายชะมัด โชคร้ายชะมัดเลย”
“ฉันหวังว่าเถ้าแก่หยวนจะกลับมาทันเวลานะ”
“ฉันคิดว่าตอนนี้เจ้าจิตรกรอู๋คงจะคลั่งไปแล้วแน่ๆเลย”
นี่คือบทสนทนาระหว่างพ่อค้าแม่ขายแผงลอยตรงหน้าร้านหยวนโจว จำนวนผู้คนอันเนืองแน่นที่ถนนเถ่าซือแห่งนี้ช่างแตกต่างไปมากเมื่อเถ้าแก่หยวนไม่อยู่
ดังนั้นพ่อค้าแม่ขายทั้งหลายจึงเริ่มวางแผนที่จะหยุดไปสักสองสามวันเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีบางคนที่วางแผนยุติกิจการก่อนอาทิตย์หนึ่ง พ่อค้าแม่ขายเหล่านี้ค่อนข้างเคารพในตัวอู๋ไห่มากเนื่องจากเขามีสถานะเป็นจิตรกรในท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในรุ่นนี้
ถ้าหากคนที่นี่จัดอับดับจากความนิยมของพวกเขาแล้วก็น่าจะเป็นหยวนโจวตามมาด้วยอู๋ไห่และสุดท้ายเจียงฉางซี่นั่นเอง
“เขาลาหยุดอีกแล้วงั้นเหรอ? ลาหยุดนานอาทิตย์นึงเชียวรึ?” หลี่เหยียนอี้ขมวดคิ้วพลางบ่นพึมพำ “ฉันมาช้าเกินไปเสียแล้ว ดูเหมือนว่าฉันคงได้แต่มาลองชิมอาหารที่สาบสูญไปคราวหน้าแล้วล่ะ” จากนั้นเขาก็เดินจากไปพร้อมไพล่มือเอาไว้ด้านหลัง ไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาได้ยินมาว่าอาหารที่สาบสูญไปแล้วได้รับการคืนชีพขึ้นที่นี่ เขาไม่ได้อยู่แถวนี้และเพิ่งจะกลับมาเฉิงตูวันนี้เอง เขารีบมาที่นี่ทันทีหลังจากกลับมาแล้ว แต่ก็ยังช้าเกินไปอยู่ดี
มีรถรอเขาอยู่ตรงสี่แยก ในเมื่อร้านหยวนโจวไม่เปิด หลี่เหยียนอี้จึงไม่รู้สึกอยากอยู่แถวนี้อีก ถึงแม้ว่าเขาจะหิว แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะกลับมาทำอาหารเองแทน
ตอนเที่ยงตรง อู๋ไห่ปรากฏตัวอยู่ในชุดกีฬา เขาแทบจะไม่เคยแต่งตัวแบบนี้เลย เขาเดินเรื่อยเปื่อยไปร้านหยวนโจว บรรดาลูกค้าต่างหลีกทางให้เขาแล้วจับจ้องไปที่อู๋ไห่เพื่อรอดูปฏิกิริยาตอบสนองของเขากับเรื่องนี้ อู๋ไห่เป็นแฟนตัวยงอันดับหนึ่งของร้านหยวนโจว เขาจะมาที่นี่เกือบทุกวันเพราะเป็นคนที่ร้านหยวนโจวเลี้ยงอาหารราวกับเป็นห้องรับประทานอาหารค่ำส่วนตัวของเขาก็ไม่ปาน
อันที่จริงแล้ว หลายคนก็อยากจะทำแบบนั้นเหมือนกัน น่าเสียดายที่พวกที่มีเวลาว่างพอจะทำแบบนั้นกลับไม่สามารถจ่ายได้ไหว ในขณะที่พวกที่สามารถจ่ายไหวก็ไม่มีเวลาว่างพอที่จะทำได้ ดังนั้นอู๋ไห่จึงเป็นมีความพิเศษในแง่ที่ว่าเขาเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ใช้ร้านนี้เป็นห้องรับประทานอาหารค่ำส่วนตัวของเขา
ภายใต้สายตาของทุกคน อู๋ไห่หยิบเหรียญออกมาจากกระเป๋าแล้วโยนลงกล่องใส่เงินไปเรื่อยเปื่อย ต่อมาเขาก็หันหลังเดินจากไปราวกับว่าเขาไม่สังเกตเห็นประกาศลาหยุดเลยสักนิด
“อู๋ไห่ นายไม่เห็นประกาศลาหยุดของเถ้าแก่หยวนงั้นเหรอ?” ลูกค้าที่อดจะรอดูปฏิกิริยาตอบสนองของอู๋ไห่ไม่ได้อีกต่อไปกล่าวเตือน
“อืม ฉันรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ” อู๋ไห่ตอบอย่างใจเย็น
น้ำเสียงใจเย็นของเขาปฏิเสธทุกคนที่นั่น ควรรู้ว่าเมื่อก่อนหน้านี้หยวนโจวก็เคยลาหยุดหนึ่งวันมาแล้วทำเอาอู๋ไห่ถึงกับคลั่งด้วยความกระสับกระส่ายราวกับว่าเขากำลังจะย้ายร้านอย่างไรอย่างนั้นแหละ ตอนนี้หยวนโจวปิดร้านไปอาทิตย์หนึ่ง อู๋ไห่กลับทำตัวแบบนี้งั้นเหรอ? นี่มันสมเหตุสมผลแล้วงั้นเหรอ?
เรื่องนี้มันช่างไร้เหตุผลสิ้นดี!
“แต่ว่านะอู๋ไห่ นายจะอดทานอาหารของเถ้าแก่หยวนเพราะตอนนี้เขาจะอยู่ในประเทศไทยอาทิตย์นึงเชียวล่ะ” ลูกค้ากล่าวเสริม
“บังเอิญว่าวันนี้ฉันกำลังจะออกเดินทางไปกุ้ยโจวเพื่อวาดภาพภูเขาพอดีเลยน่ะสิ คงจะใช้เวลาสักห้าถึงเจ็ดวันกว่าจะกลับมาแหละนะ” จากนั้นอู๋ไห่ก็เริ่มหัวเราะด้วยความเบิกบานพลางกล่าวเสริมว่า “ยังไงเสียช่วงนี้ฉันก็ไม่ได้ทานอาหารของเถ้าแก่หยวน นับว่าเป็นเรื่องดีแล้วล่ะที่เจ้าเข็มทิศไปประเทศไทย ตอนนี้พวกนายต่างก็ต้องประสบชะตากรรมเดียวกันกับฉัน ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า รู้สึกดีอะไรแบบนี้นะ!”
อู๋ไห่ออกไปพลางหัวเราะไปตลอดทางกลับบ้าน
บรรดาลูกค้าทั้งหมดถึงกับพูดไม่ออกไปแล้ว
ทุกคนที่นั่นรวมทั้งพ่อค้าแม่ขายต่างจ้องมองแผ่นหลังที่ห่างออกไปของอู๋ไห่ทั้งยังได้ยินเสียงหัวเราะดังแสบแก้วหูของเขา พวกเขาล่ะอยากจะตีอู๋ไห่ให้ตายเสียจริงเชียว!