อยากกินไหมล่ะ - ตอนที่ 772
นายหลอกฉันเหรอ?
ในขณะที่หยวนโจวกำลังตั้งหน้าตั้งตารอคอยอาหารอร่อยที่เต็มไปด้วยเครื่องเทศในประเทศไทยอยู่นั้น ก็มีคนมาหาเขาตามที่ตกลงกันเอาไว้
เป็นชายชราที่มีแซ่ประหลาดผู้หนึ่ง แซ่ของเขาคือจี้และมีชื่อเต็มว่าจี้อี้ ผู้คนต่างมอบสมญานามให้เขาว่า “ซาลาเปาจี้” แน่นอนว่าเขาได้รับสมญานามนี้มานี่สิบปีแล้ว
ในชั่วเวลาหนึ่งของเมืองโบราณเฉิงตู เมื่อตอนที่สามารถพบซานต้าเป่า*และผลไม้เชื่อมได้ทุกหนทุกแห่ง ซาลาเปาที่จี้อี้ทำก็เป็นหนึ่งในอาหารที่เป็นที่ชื่นชอบในเมืองโบราณเฉิงตู ร้านเล็กๆของ “ซาลาเปาจี้อี้” มักจะแวดล้อมไปด้วยคนท้องถิ่นทุกๆเช้า ซาลาเปาทั้งหมดที่เขาทำสามารถขายได้หมดในไม่ช้า ไม่นับว่าเกินจริงไปเลยสักนิดหากจะกล่าวว่า “อุปทานไม่เพียงพอกับอุปสงค์” เพื่ออธิบายสถานการณ์
ถ้าพูดกันจริงๆคือคุณปู่ของจี้อี้ก็ยังชีพด้วยการทำอาหารเช้ามาก่อน ฝีมือถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ไม่ว่าใครก็สามารถบอกได้เลยว่าพวกเขามาจากตระกูลที่ขายซาลาเปลาหรือหมั่นโถวมาก่อน
จี้อี้คุ้นเคยกับการทำซาลาเปาดี แต่เพื่อนของเขาที่สนิทสนมกับเขาต่างรู้ดีว่าจริงๆแล้วจี้อี้มีความถนัดในการทำหมั่นโถวไหมพันเส้นมากกว่า นั่นคือผลงานชิ้นเอกของเขาเลยเชียวล่ะ สาเหตุที่ทำให้เขาชอบทำซาลาเปาก็เพราะเตรียมได้ไม่ยุ่งยากสักเท่าไหร่นัก เมื่อพิจารณาในแง่ของรายได้แล้ว ซาลาเปาขายดีกว่าหมั่นโถวเสียอีก
ถึงตอนนี้เมืองโบราณเฉิงตูจะเปลี่ยนเป็นเมืองใหม่เฉิงตูไปแล้วและร้านซาลาเปาของจี้อี้จะปิดกิจการไปแล้วและถูกเข้าแทนที่ด้วยตึกสูงและห้างสรรพสินค้าในปัจจุบัน แต่จี้อี้ก็ยังมีชีวิตที่ดีอยู่ ตอนนี้เขาเป็นหัวหน้าเลขาของสมาพันธุ์ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารที่ปรุงขึ้นจากข้าวสาลีแห่งประเทศจีนซึ่งเป็นป้ายทองอันทรงอิทธิพลในวงการทำอาหารอีกด้วย
“ตอนนี้นายขึ้นเครื่องบินเองเป็นแล้ว พัฒนาขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย” หลิวจางกล่าวติดตลกกับจี้อี้เมื่อตอนที่ไปรับตัวเขาที่สนามบิน
จี้อี้เหมือนจะมีอายุราวๆ 60 หรือ 70 ปี แต่อันที่จริงแล้วเขายังหนุ่มอยู่มาก เขาน่าจะมีอายุไม่เกิน 60 ปีหรอก เขามองหลิวจางขึ้นๆลงๆด้วยความไม่พอใจแล้วกล่าวว่า “นายยังแต่งชุดสมัยราชวงศ์ถังอยู่อีก น่าเกลียดจริงๆเลยเชียว”
พวกเขาโต้คารมกันทันทีที่เจอหน้ากัน แต่หลิวจางดูเหมือนจะคุ้นเคยกับเรื่องนั้นเสียแล้วจึงไม่โกรธเลยสักนิด จากนั้นเขาก็กล่าวขึ้นมาว่า “ไม่เจอกันนานเลยนะ มาๆให้ฉันเลี้ยงอาหารค่ำสำหรับการมาเยือนของนายเถอะ อยากกินอะไรดีล่ะ?”
“นายโทรมาบอกฉันว่ามีคนที่สามารถทำหมั่นโถวไหมพันเส้นได้ดีกว่าฉัน อยู่ไหนล่ะ? ฉันอยากไปกินที่นั่นแหละ” จี้อี้ชะงักไปสักครู่แต่ในอึดใจต่อมาก็กล่าวขึ้นมาว่า “เชฟคนนั้นชื่อว่าอะไรงั้นเหรอ? เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในท้องถิ่นงั้นเหรอ?”
เหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารที่ปรุงขึ้นจากข้าวสาลีฝีมือฉกาจต่างรู้จักจี้อี้กันทั้งนั้น ถึงอย่างไรด้วยความอาวุโสและสถานะในตอนนี้ของเขา สายสัมพันธ์ที่ดีจึงค่อนข้างมีความสำคัญมาก มีผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารที่ปรุงขึ้นจากข้าวสาลีอยู่มากมาย ยกเว้นหมั่นโถวไหมพันเส้นที่จี้อี้มั่นใจว่าไม่มีผู้ใดเหนือกว่าเขาไปได้
ดังนั้นสิ่งที่หลิวจางก็คงจะเป็นเรื่องจริง เขาอาจจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในท้องถิ่นก็ได้ ถึงอย่างไรก็มีคำกล่าวว่า “คนมีฝีมือย่อมแฝงตัวอยู่ในหมู่คนธรรมดา” ก็หาใช่เรื่องตลกเพียงเท่านั้น
“นายจะรู้เองทันทีที่พวกเราไปถึงนั่นแหละ” หลิวจางกล่าว
จี้อี้ส่งเสียงออกทางจมูกเพื่อสื่อความหมายคร่าวๆว่า “นายแสดงสิ่งที่น่าพึงพอใจให้ฉันดูเลยเสียดีกว่า”
หลิวจางรู้ว่าจี้อี้เป็นคนที่มีนิสัยใจร้อนจึงทำให้เขาไม่กล่าวอะไรให้มากความแล้วขับรถไปยังถนนเถ่าซือในทันที เขาพยายามที่จะคุยกับจี้อี้ตลอดทางไปที่นั่น แต่จี้อี้กลับไม่อยากคุยด้วย สายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสลับซับซ้อนไปสักหน่อยซึ่งจะไม่ขอกล่าวในที่นี้
ครึ่งชั่วโมงต่อมา หลิวจางกับจี้อี้ก็มาปรากฏตัวบนถนนเถ่าซือ และหลิวจางก็พบว่าวันนี้คนน้อยกว่าทุกที ถึงอย่างไรก็เกือบถึงมื้อค่ำแล้ว ถึงอย่างไรก็เกือบจะได้เวลาอาหารมื้อค่ำอยู่แล้วตอนที่ผู้คนมากมายเริ่มมาเข้าแถวในเวลาปกติ
ส่วนเรื่องที่ตั้งของร้าน จี้อี้ก็ไม่มีอะไรจะบ่น เขาเชื่อมั่นอย่างสุดจิตสุดใจว่าเถ้าแก่ร้านเป็นผู้เชี่ยวชาญในท้องถิ่น พูดง่ายๆก็คือร้านอาหารแบบนั้นมักจะอยู่ห่างไกลมากๆ ยกตัวอย่างเช่น เขารู้จักร้านเล็กๆที่เสิร์ฟบะหมี่ข้ามสะพานที่รสชาติอร่อยเป็นอย่างยิ่ง แต่มันทั้งธรรมดาและสกปรกมากทีเดียว แย่กว่าที่แห่งนี้เสียอีก
แต่หลังจากพวกเขามาถึง สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าของหลิวจางกับจี้อี้ก็คือร้านปิด หลิวจางรู้สึกตกตะลึงจนพูดไม่ออกเมื่อเห็นประกาศลาหยุดบนประตูอย่างชัดเจน จะบังเอิญอะไรอย่างนี้!
“ปิดงั้นเหรอ?” จี้อี้ชี้ไปที่ประกาศลาหยุดบนประตูแล้วถามขึ้น
“ใช่ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมวันนี้ถึงไม่ค่อยมีคนในถนนเลย” หลิวจางกล่าวด้วยความหม่นหมอง
“นายหลอกฉันงั้นเหรอ?” จี้อี้จ้องมองหลิวจางด้วยความแคลงใจ
ไม่แปลกใจเลยที่จี้อี้จะคิดเช่นนั้น ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลิวจางทำเรื่องทำนองเดียวกันนี้
“เปล่านะ ไม่งั้นฉันก็คงไม่บอกนายหรอกว่าร้านเป็นของใคร ถ้าบอกนายไป นายก็คงคิดว่าฉันไม่เบื่อที่จะทำเรื่องแบบนั้นแน่ๆ” หลิวจางกล่าวยืนยัน
“โอ้ จริงดิ? นายไม่ใช่คนที่หลอกฉันให้มาที่นี่เพื่อมากินหมั่นโถวฟักทองหรอกหรือไง?” จี้อี้แหวออกมา
“เรื่องนั้นมันเป็นเหตุสุดวิสัยนะ ฉันแค่หลงไว้ใจคนผิด” หลิวจางกล่าว
“เป็นร้านของใครกัน?” จี้อี้มองหลิวจางด้วยท่าทางไม่เชื่อ จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ร้านแล้วถามขึ้นมาทันที
“นายต้องรู้จักเถ้าแก่อย่างแน่นอน เจ้าหนุ่มคนนี้เป็นคนที่เจ๋งมากเลยล่ะ เขาคืออัจฉริยะ” หลิวจางเอ่ยปากชื่นชมขึ้นมาทันทีก่อนที่จะเล่ารายละเอียดให้ฟัง
“ใครกัน?” จี้อี้กล่าว
“นี่คือร้านของสุดยอดเชฟซึ่งเถ้าแก่ก็คือหยวนโจวผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเมื่อเร็วๆนี้นั่นเอง” หลิวจางกล่าวด้วยความมั่นใจ
ทันทีที่ได้ยินชื่อ จี้อี้ก็เชื่อว่าคราวนี้หลิวจางคงไม่ได้ล้อเขาเล่นแน่ ถึงอย่างไรเขาก็เคยได้ยินได้ฟังเรื่องฝีมือของหยวนโจวมาเช่นกัน
“ฉันเคยได้ยินเรื่องของหยวนโจวจากประธานสมาพันธ์เชฟมาก่อน เขาเป็นเชฟอายุน้อยที่ยอดเยี่ยมมากเชียวล่ะ แถมครั้งล่าสุดยังเอาชนะเถิงหยวนได้อีกต่างหาก” จี้อี้พยักหน้าแล้วกล่าว เขาจะไม่รู้จักเชฟชื่อดังอย่างหยวนโจวได้อย่างไรกันเล่า?
“งั้นตอนนี้นายก็เชื่อแล้วใช่ไหมว่าฉันไม่ได้หลอกนาย?” หลิวจางกล่าว
“ยังหรอก ฉันรู้มาอีกว่าจริงๆแล้วเขามีพรสวรรค์ในการทำอาหารและมีฝีมือการทำอาหารดีกว่าคนรุ่นเดียวกันหรือแม้แต่คนรุ่นก่อนเสียอีก แต่เมื่อพูดถึงการทำซาลาเปาหรือหมั่นโถวแล้ว ฉันก็ไม่คิดว่าตัวเองจะด้อยกว่าเขาหรอกนะ” จี้อี้กล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจในตัวเอง
“นายยังรู้สึกลังเลที่จะยอมรับเรื่องนั้นสินะ? ฝีมือของหยวนโจวยอดเยี่ยมมาก และหมั่นโถวของเขาก็อร่อยกว่านายจริงๆ” หลิวจางกล่าวอย่างจริงจัง
“เจ้าเด็กตัวแสบผู้นี้ยังอายุน้อยอยู่แท้ๆกลับทำอาหารได้ดีขนาดนี้เสียแล้ว เขาจะมีเวลาเรียนรู้การทำหมั่นโถวหรือซาลาเปาแค่ไหนกันเชียว? จำได้ว่าขนาดฉันยังต้องทำหมั่นโถวมาเป็นสิบๆปีเลย” จี้อี้ไม่เชื่อหรอกว่าหยวนโจวจะสามารถทำได้ดีกว่าตัวเขาจริงๆ
“คนเขาเป็นอัจฉริยะนายไม่เข้าใจหรอก ถึงยังไงหมั่นโถวไหมพันเส้นของเจ้าเด็กตัวแสบผู้นี้ก็เป็นขนานแท้จริงๆ” หลิวจางกล่าวยืนยัน
“ก็ได้ งั้นฉันจะรอเขาสักอาทิตย์ก็แล้วกัน ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะทำออกมาได้ดีกว่าน่ะ ถึงแม้ว่าเขาจะเริ่มเรียนรู้การทำอาหารมาก่อนที่จะเกิดด้วยซ้ำก็เถอะนะ แต่ยังไงประสบการณ์ก็เยอะสู้ฉันไม่ได้หรอกน่า” จี้อี้ตัดสินใจที่จะรอหยวนโจวอาทิตย์หนึ่งแล้วค่อยกลับ
“ไม่มีปัญหา คนผู้นี้รักษาคำพูดตัวเองเสมอ เขาจะกลับมาในอีกหนึ่งอาทิตย์ให้หลัง” หลิวจางพยักหน้าติดๆกัน
“แต่พวกเราต้องรีบมาก่อนนะ มิฉะนั้นพวกเราก็คงไม่เจอหยวนโจวหรอก” หลิวจางเดินไปพลางพูดไปพลาง
“ฉันรู้แล้วล่ะน่า คนผู้นี้ทำอาหารได้ยอดเยี่ยมมากและคู่ควรกับฝีมือเช่นนั้นแล้วล่ะ งั้นฉันจะมาลองชิมฝีมือของเขาทีหลังก็แล้วกัน” จี้อี้ตอบ
ในขณะเดียวกัน หยวนโจวกลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเพราะตอนนี้เขาอยู่ในประเทศไทย เขากำลังพยายามที่จะปฏิเสธซอสที่กลิ่นไม่ชวนพิสมัยสักเท่าไหร่นัก
เรื่องมีอยู่ว่าบริกรร่างเตี้ยคนนั้นเข้าใจความหมายของหยวนโจวเสียทีและเอาน้ำอุ่นมาให้พวกเขา เพื่อเป็นการขอบคุณหยวนโจว คนชราคู่นั้นที่นั่งอยู่ข้างหลังก็ยืนกรานที่จะนั่งกับเขาด้วย จากนั้นคุณย่าก็เริ่มแนะนำซอสสูตรพิเศษจากประเทศไทยอย่างกระตือรือร้นและอยากจะเติมให้หยวนโจวด้วย
ซอสเป็นสิ่งที่มีลักษณะข้นเหนียวแกงสีน้ำตาลชนิดหนึ่งที่บรรจุอยู่ในขวดพลาสติกขนาดใหญ่ แม้ก่อนที่จะเปิดออกก็ยังกระจายกลิ่นที่ผสมรวมกันอันประกอบไปด้วย ตะไคร้ มะนาว กะเพราและขิงอ่อนตลอดจนสะระแหน่ออกมาอีกด้วย
ช่างเป็นการท้าทายจมูกของเขาเสียจริงเชียว
“ขอบคุณครับ คุณย่า ผมไม่ชอบรสชาติของซอสจริงๆครับ” หยวนโจวปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
“ไม่ได้นะ นายต้องลองชิมดู นี่เป็นซอสสูตรพิเศษที่ใช้ทานกับเนื้อวัวจากประเทศไทยเชียวนะ นายต้องใส่มะนาวให้มากหน่อย ไกด์ทัวร์สอนให้เรากินแบบนั้นเองแหละ น่าจะอร่อยมากเลยล่ะ” ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น คุณย่าก็เตรียมให้เขาตั้งครึ่งถ้วยแล้ว
“ขอบคุณครับคุณย่า พอแล้วล่ะครับ” หยวนโจวส่งสัญญาณให้คุณย่าติดๆกัน
เขารู้สึกว่าจมูกของเขาจวนจะใช้การไม่ได้อยู่แล้ว
“คนไทยใช้เครื่องเทศอยู่ตลอดเวลาได้ยังไงกันนะ?” หยวนโจวจ้องมองซอสในถ้วยแล้วค่อยๆนับจำนวนเครื่องเทศนับสิบอย่างที่ให้รสชาติที่ขัดกันอยู่ในใจ
———————-
ซานต้าเป่า(三大炮) เป็นของว่างแบบดั้งเดิมชนิดหนึ่งของเฉิงตู จริงๆแล้วก็คือข้าวเหนียวปั้นสามลูกนั่นเอง