อยากกินไหมล่ะ - ตอนที่ 774
สาเหตุที่ทำให้หยวนโจวท้องเสีย
“ครืด ครืด ครืด” เสียงปลายดินสอสัมผัสกับกระดาษดังขึ้นมาจากโต๊ะทำงานในโรงแรม
ดินสอสีน้ำตาลอ่อนกำลังขยับไปทางขวาของกระดาษขาว มือที่จับดินสออยู่นั้นทั้งยาวเรียวและดูดีอีกทั้งวิธีที่คนผู้นั้นใช้เขียนก็เป็นธรรมชาติและหนักแน่น
บนกระดาษอ่านได้ความว่า “วันที่ห้าในประเทศไทย มีแดดจัด กำหนดการที่ระบุเอาไว้ก็ยังคงเป็นการกินอยู่นั่นแหละ เหลืออีกสองวันก่อนที่ฉันจะกลับบ้าน”
“เฮ้อ ยังเหลือเวลาอยู่ในประเทศไทยอีกสองวัน” หยวนโจวถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ใช่แล้วล่ะ เป็นหยวนโจวที่กำลังเขียนบันทึกประจำวันนั่นเอง เขาพักอยู่ในประเทศไทยมาห้าวันแล้วและกำลังตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะได้กลับบ้านเสียที
“ยังเหลือเวลาอีกตั้งนานเลย” หยวนโจวเขียนไปพลางถอนหายใจไปพลาง
ถูกต้องเลยล่ะ ตอนนี้เรื่องเร่งด่วนที่สุดของหยวนโจวก็คือเรื่องกลับบ้านนี่แหละ เขาคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่บ้านเสียแล้วสิ แน่นอนว่าเขาย่อมคิดถึงห้องครัวของเขาที่สุดเลย
เขาเซ็งอาหารไทยและกลิ่นหอมเต็มถนนที่แทบจะปกคลุมไปทั่วตัวเขาอยู่แล้วเสียจริงๆ
“แม้แต่ตอนที่ฉันอยู่ในปารีสเมื่อคราวก่อนก็ยังไม่ทุลักทุเลขนาดนี้เลย” หยวนโจวขมวดคิ้วแล้วนึกถึงการเดินทางไปปารีสเมื่อคราวที่แล้ว
ในขณะที่กำลังบ่นพึมพำอยู่นั้น เขาก็เขียนบันทึกประจำวันเสร็จพอดี ใช่แล้ว หยวนโจวฝืนใจเขียนบันทึกประจำวันเพื่อฆ่าเวลา
และเขาก็มีเพียงจุดประสงค์เดียว นั่นก็คือเพื่อให้รู้ว่าตัวเองจะสามารถกลับไปได้เมื่อไหร่กัน
“เจ้าระบบ ฉันคิดว่าฉันสามารถคอนเฟิร์มตั๋วได้นะ” จู่ๆหยวนโจวก็พูดกับเจ้าระบบขึ้นมาทันที
ถูกต้องแล้วล่ะ เจ้าระบบเป็นคนจัดเตรียมตั๋วเครื่องบินแบบห้องโดยสารชั้นหนึ่งของสิงคโปร์แอร์ไลน์ของหยวนโจวและเจ้าระบบก็เป็นคนสั่งตั๋วไปกลับด้วย
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “เจ้านาย เงินทุนสำหรับการเดินทางของคุณยังไม่หมดเลยนะ”
“งั้นฉันต้องใช้เงินให้หมดก่อนถึงจะกลับได้งั้นเหรอ?” หยวนโจวรู้สึกสับสน
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ใช่แล้ว”
“ไม่แปลกใจเลย ยังไงโลกนี้ก็ไม่มีอาหารกลางวันให้กินฟรีๆหรอก” หยวนโจวถอนหายใจ
จริงๆเขาก็นึกไว้อยู่แล้วและยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากเป็นกำหนดการเจ็ดวัน หยวนโจวจึงไม่ทำตัวสวนกระแสกับแผนที่เขาทำไปแล้ว เขาไม่ได้มีความหมายอะไรทั้งนั้นเพียงแค่อยากบ่นออกมาก็เท่านั้นเอง
“ลืมมันไปเสียเถอะ มาดูกันซิว่าวันนี้ฉันควรจะไปร้านไหนดี ร้านที่ฉันจองล่วงหน้าตั้งหนึ่งเดือนเมื่อคราวที่แล้วก็น่าผิดหวังชะมัดเลย หลอกลวงลูกค้ากันชัดๆ” หยวนโจวนึกถึงประสบการณ์ที่ไม่น่าพอใจเอาเสียเลยเมื่อคราวที่แล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดมากอะไร ทว่าเขากลับติดตามแผนกำหนดการของตัวเองด้วยความสนใจแทน
“วันนี้เป็นร้านอาหารทะเลร้านนี้งั้นเหรอ? ตามเวลาที่กำหนดไว้ ตอนนี้ฉันควรจะเริ่มออกเดินทางได้แล้ว” หยวนโจวตรวจสอบกำหนดการของตัวเองแล้วลุกขึ้นเตรียมตัวที่จะออกไป
ใช่แล้วล่ะ หยวนโจวระบุรายชื่อร้านต่างๆที่สมควรไปเยือนและเตรียมที่จะทานอาหารทั้งหมด วันนี้เขากำลังจะไปร้านอาหารทะเลร้านหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก
เนื่องจากกิจการกำลังรุ่ง ลูกค้าจะต้องไปเข้าคิวรอล่วงหน้าเพื่อทานอาหารที่นั่น ดังนั้นหยวนโจวจึงเริ่มออกเดินทางจากโรงแรมตอนเก้านาฬิกายี่สิบนาที
ถึงอย่างไรกรุงเทพมหานครก็เป็นเมืองที่มีการจราจรติดขัด การออกเดินทางแต่เนิ่นๆก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย
หยวนโจวจ้างชายสวมแว่นตาคนหนึ่งมาเป็นไกด์ทัวร์แล้วก็เป็นคนขับรถให้ด้วย เขาจะพาหยวนโจวไปส่งในทุกที่ที่อยากจะไปทั้งยังแนะนำ ที่สำคัญก็คือคนๆนี้เป็นคนไทยที่สามารถพูดภาษาจีนได้
“อรุณสวัสดิ์ครับ” หยวนโจวเดินออกจากร้านอาหาร ซิ่งน้อยไกด์ทัวร์ของเขาก็มารอเขาอยู่ตรงทางเข้าเพื่อเปิดประตูรถให้
“อรุณสวัสดิ์ครับ” หยวนโจวนั่งลงฝั่งผู้โดยสารในทันที
“พวกเราจะไปรอทานอาหารที่นั่นเลยหรือแวะไปเยี่ยมชมพระบรมมหาราชวังกันดีล่ะครับ?” เสี่ยวซิ่งถามขึ้นมาทันที
“พวกเราต้องใช้เวลานานขนาดไหนเหรอกว่าจะขับรถไปถึงที่นั่นได้น่ะ?” หยวนโจวถามขึ้น
“ถ้ารถไม่ติดก็หนึ่งชั่วโมง แต่ถ้าผมติดผมก็ไม่แน่ใจนะ” เสี่ยวซิ่งยักไหล่
“งั้นก็ไปร้านอาหารกันเลยเถอะ วันนี้วันพุธรถน่าจะติดแหละนะ” หยวนโจวนึกอยู่สักครู่แล้วกล่าวออกมา
“เอาล่ะครับ งั้นก็ไปกันเลย” หลังจากกล่าวเช่นนั้นแล้ว เสี่ยวซิ่งก็เริ่มสตาร์ทเครื่องและออกรถ
“คุณเรียนภาษาจีนแมนดารินมาเหรอครับ?” หยวนโจวมองเสี่ยวซิ่งแปลกๆ
“คุณบอกได้ไหมล่ะว่าสำเนียงของผมมาจากที่ไหน? คุณคิดว่ายังไงบ้างครับ? ใช้ได้ไหมครับ?” เสี่ยวซิ่งหันหน้ามาแล้วกล่าวพลางอมยิ้ม
“ครับ ผมสามารถบอกได้” หยวนโจวพยักหน้าแต่กลับไม่ตอบคำถามของเขา
ถึงอย่างไรภาษาจีนแมนดารินสำเนียงไทยก็เข้าใจยากอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงภาษาจีนแมนดารินสำเนียงภาคตะวันออกเฉียงเหนือสำเนียงไทยเลย
“เฮ้ เฮ้ สัปดาห์หน้าผมกำลังจะรับงานทัวร์จากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ดังนั้นผมก็เลยต้องเรียนรู้ภาษาจีนแมนดารินสำเนียงภาคตะวันออกเฉียงเหนือเผื่อๆเอาไว้บ้างน่ะสิครับ” เสี่ยวซิ่งกล่าวพลางอมยิ้ม
“ผมคิดว่าภาษาจีนแมนดารินสำเนียงปกติก็ใช้ได้นะครับ” หยวนโจวกล่าวโดยไม่แสดงสีหน้า
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าผมสามารถพูดภาษาจีนแมนดารินสำเนียงภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้ ผมคงเข้ากับพวกเขาได้ดี บรรยากาศก็จะได้ดีไปด้วยยังไงล่ะครับ” เสี่ยวซิ่งกล่าวอย่างจริงจัง
“ใช่แล้วล่ะ คุณพูดถูกเลยครับ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วไม่พูดอะไรอีก
“คุณก็เห็นด้วยกับผมใช่ไหมครับ? จำวันที่ผมไปรับคุณได้ไหมครับ? คุณคิดว่าภาษาจีนแมนดารินสำเนียงเสฉวนของผมใช้ได้ไหมครับ?” เสี่ยวซิ่งกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
หยวนโจวถึงกับมุมปากกระตุกเล็กน้อยโดยไม่เป็นที่สังเกตเมื่อนึกถึงภาษาจีนแมนดารินสำเนียงเสฉวนที่เสี่ยวซิ่งพูดตอนที่พวกเขาเพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก ในตอนนั้นเขาเกือบเชื่อไปแล้วว่าเป็นภาษาต่างประเทศของประเทศเล็กๆสักแห่งหนึ่ง
เพราะภาษาจีนแมนดารินสำเนียงเสฉวนที่เสี่ยวซิ่งพูดไม่ใช่สิ่งที่หยวนโจวจะพูดได้เลย
“อ้อเกือบลืมไป คุณจะไม่ไปดูโชว์สาวประเภทสองสักหน่อยเหรอไหนๆก็อยู่ที่นี่อีกตั้งสองสามวันแน่ะ คุณอยากไปดูไหมล่ะ?” เสี่ยวซิ่งถามขึ้น
ก่อนที่หยวนโจวจะทันได้ตอบ เสี่ยวซิ่งก็หันมามองหยวนโจวแล้วกล่าวต่อไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายว่า “ถ้าคุณซื้อตั๋วแถวหน้าก็จะได้รับเชิญขึ้นเวทีและสามารถจับหน้าอกพวกเขาได้ด้วยล่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่จำเป็นหรอก” หยวนโจวอดที่จะไอออกมาไม่ได้แล้วปฏิเสธข้อเสนออย่างสุภาพ
“อายอะไรกันเล่า? ส่วนใหญ่พวกเขากลายเป็นผู้หญิงแล้วแถมยังสวยมากเชียวล่ะ” แต่แทนที่จะยอมแพ้ เสี่ยวซิ่งก็ยังพยายามที่จะยื่นข้อเสนอให้เขาต่อไป
“หนึ่งในนั้นเคยแสดงเป็นกะเทยแสนสวยในภาพยนตร์จีนเรื่อง ‘Lost In Thailand’ ด้วยล่ะครับ” เสี่ยวซิ่งกล่าวหลอกล่อหยวนโจว
“ผมมาที่นี่เพื่อทานอาหารนะครับ” หยวนโจวกล่าวอย่างจริงจัง
“โอ้ งั้นก็เอาเถอะ” เสี่ยวซิ่งยักไหล่แล้วยุติการยื่นข้อเสนอ
“ลืมมันไปเสียเถอะครับ ผมชอบสาวสวยน่ารักจากเสฉวนมากกว่านะครับ” หยวนโจวแอบพูดในใจ
“หยวนน้อย คุณเคร่งเครียดเกินไปหน่อยแล้ว ถึงจะมาทำงานคุณก็ต้องหาเรื่องสนุกๆทำบ้างนะ คุณยังไม่เคยไปเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวเลยนี่นา” เสี่ยวซิ่งพยายามที่จะเกลี้ยกล่อมเขา
“ผมไปขี่ช้างแล้วก็ชมการแสดงกายกรรมมาแล้วครับ” หยวนโจวบอกเขาตามตรง
“ยังมีสิ่งที่น่าสนใจกว่าที่คุณยังไม่เคยลองอยู่นะครับ” เสี่ยวซิ่งกล่าว
“แล้วก็ตลาดน้ำ” หยวนโจวพูดต่อ
“ตลาดน้ำเป็นสถานที่ที่ชาวบ้านเขาไปขายผักกันครับ” เสี่ยวซิ่งกล่าวอย่างหมดหวัง
ใช่แล้วล่ะ จนถึงตอนนี้เสี่ยวซิ่งรับนักท่องเที่ยวมาเป็นพันๆคนแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาเพิ่งจะเคยเจอคนประหลาดแบบนั้น
ในช่วงห้าวันที่ผ่านมาในประเทศไทย ถ้าเขาไม่ไปร้านอาหารก็ไปตลาด ถูกต้องแล้ว ตลาดสดนั่นแหละ เขาไม่ไปที่อื่นเลยนอกจากสองที่นี้
อีกอย่าง เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ไม่ชอบอาหารที่นี่ แต่เขากลับเอาแต่สั่งอาหารเป็นก่ายเป็นกองไปเสียทุกครั้งแล้วทานเข้าไปด้วยสีหน้าหดหู่ซึมเซา แปลกคนชะมัดเลย!
การทานอาหารในลักษณะนี้ทำให้แม้แต่เสี่ยวซิ่งที่ทานอาหารร่วมกับหยวนโจวก็ยังรู้สึกอึดอัดเลย
เมื่อเขาถามหยวนโจวว่าชอบอาหารไทยหรือไม่ หยวนโจวก็ตอบว่าไม่ เมื่อเบาบอกหยวนโจวให้สั่งอาหารน้อยลงหน่อย หยวนโจวก็ตอบว่าไม่อีก นี่มันช่างไร้สาระสิ้นดี ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น เสี่ยวซิ่งก็หันหน้าไปมองหยวนโจวอีกครั้ง
เผอิญว่าหยวนโจวเองก็เห็นสายตาของเสี่ยวซิ่งเขาพอดีจึงกล่าวขึ้นมาทันทีว่า “ผมไม่อยากไปดูการแสดงของสาวประเภทสอง ไปหาอะไรกินกันเถอะครับ”
“ผมรู้ครับ พวกเราไม่ได้กำลังจะไปดูการแสดงของสาวประเภทสองหรอกครับ พวกเรายังจะไปตลาดสดหลังจากเพิ่งจะกินเสร็จอีกงั้นเหรอครับ?” เสี่ยวซิ่งถึงกับพูดไม่ออกไปแล้ว
“อืม” หยวนโจวพยักหน้า
“วันนี้พวกเราจะสั่งอาหารให้น้อยลงหน่อยไหมครับ?” เสี่ยวซิ่งกล่าวอย่างไม่แน่ใจ
“ไม่ล่ะ ผมกินหมดอยู่แล้วล่ะ” หยวนโจวส่ายหน้า
“คุณยังท้องเสียอยู่เลยนะครับ ทานให้น้อยลงหน่อยเถอะ” เสี่ยวซิ่งเตือนเขา
ใช่แล้วล่ะ หยวนโจวต้องทรมานจากอาการท้องเสียตั้งแต่วันที่สองที่เขามาถึงกรุงเทพมหานคร โชคดีที่เขาทานยาที่เตรียมไว้และสามารถควบคุมอาการเอาไว้ได้
“ไม่เป็นไรครับ ความเจ็บป่วยไม่มีผลต่อประสาทรับรสของผมหรอกครับ” หยวนโจวกล่าวอย่างจริงจัง
“เอาล่ะครับ อีกไม่นานก็คงถึง ตอนนี้คุณงีบไปสักครู่ก่อนก็ได้ครับ” ซิ่งน้อยเริ่มขับรถอย่างระมัดระวังโดยไม่พูดอะไรอีก
“ขอบคุณครับ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วหลับตาผล็อยหลับไป