อยากกินไหมล่ะ - ตอนที่ 776
สองวันสุดท้ายที่ประเทศไทย
“หยวนน้อย สั่งอาหารเรียบร้อยหรือยัง?” เสี่ยวซิ่งถามขึ้นเมื่อเห็นหยวนโจวชะงักไป
“ยังเลยครับ รอสักครู่นะครับ” หยวนโจวส่ายหน้าแล้วจดจ่ออยู่กับการสนทนาข้างหลังต่อ
“คุณน่าจะรู้สึกดีขึ้นหลังจากดื่มน้ำอุ่นบนโต๊ะแล้วนะครับ” เสี่ยวซิ่งกล่าวพลางชี้ไปยังแก้วที่มีไอควันลอยขึ้นมา
“อืม ขอบคุณครับ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วกล่าวขอบคุณ
“ด้วยความยินดีครับ เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วล่ะ” เสี่ยวซิ่งกล่าว
คราวนี้หยวนโจวไม่ตอบและเอาแต่ยิ้มก่อนที่มองเมนูผ่านๆ
“ลองดูซิว่าคุณอยากจะทานอะไร” หยวนโจวกล่าว
“โอคครับ ผมจะสั่งบริกรหลังจากเลือกเสร็จแล้วกันนะครับ” เสี่ยวซิ่งกล่าวพลางพยักหน้า
“อืม” หยวนโจวพยักหน้า
ในขณะที่หยวนโจวกับเสี่ยวซิ่งคุยกันอยู่นั้น ชายหนุ่มกับหญิงสาวทางด้านหลังพวกเขาก็สั่งอาหารเช่นกัน พวกเขาไม่พูดถึงร้านหยวนโจวอีก
แต่หยวนโจวกลับพบว่าทั้งสองคนใช้ภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียวเนื่องจากพวกเขาสามารถสื่อสารกับบริกรได้พอสมควร ถึงแม้ว่าบริกรจะพูดภาษาอังกฤษด้วยเสียงหนักแน่นก็เถอะ
เมื่อหยวนโจวไม่อาจสะกดกลั้นความอยากรู้เอาไว้ได้อีกต่อไปจึงหันไปมองพวกเขาทั้งสองคนคุยกันอีกครั้ง
“นายก็รู้จักร้านหยวนโจวเหมือนกันเหรอ?” หญิงสาวถามด้วยความประหลาดใจ
“แหงอยู่แล้ว ก็หมู่นี้เขาโด่งดังมากเลยนี่นาแถมเธอเองก็เป็นนักชิมด้วย” ชายหนุ่มกล่าวเอาใจ
“หลังจากกลับไปแล้ว ฉันจะออกไปตระเวนหาร้านอาหารตลอดทั้งสามวันไม่ขาดไม่เกินไปสักวันเลยเชียวล่ะ” หญิงสาวประกาศด้วยความเด็ดเดี่ยว
“ฉันไม่คิดว่าร้านจะเปิดตลอด 24 ชั่วโมงหรอกนะ?” ชายหนุ่มถามด้วยความกังขา
หยวนโจวพยักหน้าโดยอัตโนมัติเมื่อได้ยินเช่นนั้น ร้านของเขาไม่ได้เปิด 24 ชั่วโมง
“ฉันรู้หรอกน่า ฉันก็แค่อยากอยู่ที่นี่ ถึงจะแค่มาดมกลิ่นของร้านก็เพียงพอสำหรับฉันแล้วล่ะ” หญิงสาวกล่าวราวกับตกอยู่ในภวังค์อย่างเห็นได้ชัด
แทบจะทันทีที่เธอพูดออกไป เธอก็จามออกมา
“บ้าจริง ทำไมถึงได้มีกลิ่นเครื่องเทศไปเสียทุกหนทุกแห่งเลยนะ? ฉันจะตายอยู่แล้วเนี่ย” หญิงสาวกล่าวอย่างจนปัญญา
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร ฉันจะพาเธอไปร้านหยวนโจวตอนที่พวกเรากลับไปเอง พวกเราจะไปทานอาหารที่นั่นกันวันละสามมื้อเลย” ชายหนุ่มปลอบ
“ต้องยังงี้สิ เฮ้อ ฉันคิดถึงอาหารของเถ้าแก่หยวนจริงๆเลย” หญิงสาวทอดถอนใจ
จากนั้นชายหนุ่มก็เปลี่ยนเรื่องคุย เขาน่าจะพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของเธอไปที่อื่น หยวนโจวหยุดฟังพวกเขาคุยกัน
ขณะที่หยวนโจวกำลังรู้สึกลำพองใจอยู่นั้น เสี่ยวซิ่งก็พูดขึ้นมาว่า
“หยวนน้อย คุณยิ้มอะไรอยู่งั้นเหรอ?” เสี่ยวซิ่งถามด้วยความประหลาดใจ
ใช่แล้วล่ะ จู่ๆหยวนโจวก็ยิ้มขึ้นมาก่อน
“อืม พอดีว่าผมอารมณ์ดีน่ะครับ” หยวนโจวไม่ปฏิเสธแถมยังพยักหน้าอีกต่างหาก
“มีเรื่องอะไรดีๆเกิดขึ้นงั้นเหรอ?” เสี่ยวซิ่งถามด้วยความสนใจอย่างเห็นได้ชัด
“เมื่อกี๊มีคนชมผมน่ะสิครับ” หยวนโจวกล่าว
“ชมงั้นเหรอ? เมื่อไหร่กันครับ?” เสี่ยวซิ่งรู้สึกสับสน
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เสี่ยวซิ่งสังเกตได้ว่าหยวนโจวไม่ใช่คนที่จะใช้โทรศัพท์มือถืออยู่ตลอดเวลา เขาจะไม่ใช้โทรศัพท์มือถือในขณะขับรถหรือรับประทานอาหารเลย นอกเหนือไปจากตอนที่รับสายแล้ว หยวนโจวก็แทบไม่เคยหยิบโทรศัพท์ออกมาเลยเสียด้วยซ้ำไป
แน่นอนว่าเขาย่อมหยิบโทรศัพท์ออกมาตอนที่เขาส่งข้อความด้วย แต่จำนวนข้อความที่เขาส่งกลับน้อยกว่าสายที่รับเสียอีก
หยวนโจวนั่งอยู่ตรงข้ามกับเขาโดยปราศจากโทรศัพท์แต่เขากลับบอกว่ามีคนชมเขาด้วย สิ่งนี้ทำให้เสี่ยวซิ่งรู้สึกสับสนมาก
เสี่ยวซิ่งกวาดตามองไปรอบๆแต่ก็ไม่พบสิ่งใด จากนั้นเขาก็มองหยวนโจวด้วยความข้องใจ
“ก็แค่คนที่คุณไม่รู้จักเท่านั้นแหละครับ” หยวนโจวอธิบาย
คำอธิบายนี้กลับทำให้เสี่ยวซิ่งรู้สึกสับสนไปกันใหญ่
“เมื่อกี๊ผมกำลังตอบข้อความอยู่ คุณได้คุยกับใครอยู่หรือเปล่าครับ?” เสี่ยวซิ่งถาม
“เปล่าครับ ผมแค่บังเอิญได้ยินคำชมก็เท่านั้นเอง” หยวนโจวส่ายหน้า
เสี่ยวซิ่งก็ยังคงรู้สึกสับสนอยู่ดี ขณะที่เขากำลังจะถามต่อนั้น บริกรก็มาถึงพร้อมกับอาหารของพวกเขา
“ทานก่อนเถอะครับ” หยวนโจวกล่าวพลางทำท่าทำทางให้บริกร
“โอ้ ได้ครับ” เสี่ยวซิ่งพยักหน้า
ทันทีที่อาหารมาถึง เสี่ยวซิ่งก็เริ่มแนะนำอาหารพวกนั้นไปทีละอย่าง ส่วนหยวนโจวกำลังถือตะเกียบอยู่ หลังจากการแนะนำอาหารแต่ละอย่างแล้ว หยวนโจวก็จะทานอาหารเข้าไปคำหนึ่งก่อนที่จะเขียนอะไรบางอย่างลงไป
ชื่ออาหาร: กุ้งมะนาว ใช้มะนาวเยอะมาก นอกจากนี้ยังมีการต้มมะนาวกับสะระแหน่นิดหน่อยแล้วผสมลงในซอสด้วย
รสชาติ: รสชาติของเครื่องเทศที่ชัดเจนผสานเข้ากับกุ้งขนาดกลางที่นำมาใช้ เนื้อสัมผัสของเนื้อสัตว์ไม่เลวเลยทีเดียว ทว่ารสชาติของเครื่องเทศแรงเกินไป แต่เป็นรสชาติที่มีเอกลักษณ์เช่นกัน
คะแนนความอร่อย: ไม่ถูกปากฉันสักเท่าไหร่
หยวนโจวจดบันทึกหลังจากเขากินกุ้งไปแล้ว สมุดบันทึกเล่มนี้เป็นสิ่งที่หยวนโจวเตรียมเอาไว้ล่วงหน้านั่นเอง สมุดบันทึกหนาหนึ่งนิ้วและกว่าครึ่งเต็มไปด้วยบันทึกมากมายอยู่แล้ว
เมื่อกำลังทานอาหารอยู่ในร้าน หยวนโจวจะรีบเขียนลงไปทันที เมื่อกำลังทานขนมจากพ่อค้าแม่ขายข้างนอก หยวนโจวก็จะเขียนบันทึกเมื่อตอนที่กลับเข้าห้องพักในโรงแรมแล้วเท่านั้น
หยวนโจวทานอาหารไปพลางเขียนบันทึกไปพลางอยู่แบบนั้น ในขณะเดียวกัน เสี่ยวซิ่งก็เอาแต่ทานอาหารหลังจากแนะนำอาหารทั้งหลายไปแล้ว
พวกเขาทานอาหารด้วยความเร็วที่พอเหมาะพอดี ไม่นานพวกเขาก็ทานจนหมดและเตรียมที่จะออกไป
“คุณไกด์ทัวร์ แซ่ซิ่งเหรอครับ?” จู่ๆหยวนโจวก็ถามขึ้นมา
“ครับ ผมแซ่ซิ่ง” เสี่ยวซิ่งตอบระหว่างที่ขับรถไปด้วย
“นี่เป็นแซ่ที่หาได้ค่อนข้างยากเลยนะครับ” ตอนนี้หยวนโจวรู้แล้วว่าตัวเองเรียกชื่อของไกด์ทัวร์ผิด โชคดีที่ตัวอักษรซิ่งที่เขาเรียกฟังดูเหมือนตัวอักษรซิ่งที่เป็นแซ่จริงของเสี่ยวซิ่ง มิฉะนั้น ความประทับใจที่ดีของไกด์ทัวร์คงได้ถูกเขาทำลายลงเป็นแน่
เสี่ยวซิ่งเริ่มอธิบายว่า “ผมคิดว่าแซ่นี้มีต้นกำเนิดมาจากขุนนางฝ่ายอาญาในสมัยโบราณ ซิ่งเป็นแซ่รองที่หาได้ยากมาก นอกจากญาติพี่น้องของผมแล้ว ผมก็ยังไม่เคยเจอใครที่มีแซ่เดียวกันเลยครับ”
หยวนโจวพยักหน้า ไกด์ทัวร์คนนี้เป็นคนที่ชวนคุยเก่งมากทีเดียว
“อ้อเกือบลืมไป ผมไปถามเพื่อนร่วมงานมาแล้วนะ ตลาดสดที่คุณเอ่ยถึงกำลังปรับปรุงอยู่และอาจจะย้ายไปแล้วล่ะครับ” เสี่ยวซิงบอกหยวนโจว
“อืม ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกครับ ยังไงพวกเราก็จะเดินทางไปหาของกินกันต่ออยู่ดีแหละครับ” หยวนโจวกล่าวหลังจากจิบน้ำแร่อึกหนึ่งจากขวด
“กินอีกแล้วเหรอครับ?” เสี่ยวซิงถามด้วยความประหลาดใจ
“อืม ต่อเลยครับ” หยวนโจวพยักหน้า
หลังจากมาถึงประเทศไทยแล้ว หยวนโจวก็ยังไม่ได้ทานอะไรที่เขาชอบอย่างจริงๆจังๆเลย เขารู้สึกราวกับว่าเรื่องนั้นมีความเป็นไปได้มากที่สุดเพราะขาดคนที่มีความเชี่ยวชาญพาเขามา
ดังนั้นหยวนโจวจึงตัดสินใจที่จะขอคำปรึกษาไกด์ทัวร์ว่ามื้อค่ำจะทานอะไรดี อาจจะมีอาหารอร่อยที่ถูกปาก คนจีนอยู่ก็ได้
เสี่ยวซิ่งตอบว่า “ในประเทศไทยมีอาหารอร่อยอยู่มากมาย ยกตัวอย่างเช่น อาหารจำพวกต้มยำหรืออาหารทะเลและอื่นๆ ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากทานอะไร”
“นับตั้งแต่ผมอยู่ในประเทศไทย ผมกำลังจะไปทานอาหารจานเด็ด…” หยวนโจวกำลังจะบอกว่าเขาอยากทานอาหารไทยจานเด็ดก่อนที่จมูกของเขาจะได้กลิ่นอ่อนๆของเครื่องเทศที่ชัดเจน ทันใดนั้นเขาก็สำลักคำพูดของตัวเองไปในทันที
“ผมไม่ใช่คนเรื่องมาก ขอเพียงแค่อาหารอร่อย เชฟเก่ง วัตถุดิบถูกปากคนทั่วไปและสภาพแวดล้อมสำหรับการทานอาหารสะอาดก็พอแล้วล่ะครับ” หยวนโจวกล่าว
เสี่ยวซิ่งถึงกับเงียบไปพลางลิสต์รายชื่อร้านอาหารที่เข้ารู้จัดอยู่ในใจ จากนั้นก็ตัดออกไปเสียร้อยละ 80 เหลือเพียงร้อยละ 20 ที่ตรงตามเกณฑ์ที่หยวนโจวกำหนด
เสี่ยวซิ่งกล่าวว่า “ร้านปลาสามตัวก็ไม่เลวเลยนะครับ เชฟที่นั่นมีชื่อเสียงทีเดียวแถมร้านยังมีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์อีกต่างหาก ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยนรสชาติที่พวกเขาต้องการเช่นเผ็ดหรือกลมกล่อมได้ตามใจชอบ แล้วร้านก็จะปรับเปลี่ยนรสชาติอาหารให้ตามนั้น”
“ไม่เลวเลยนี่นา” หยวนโจวกล่าว ความสนใจของเขาถูกกระตุ้นขึ้นมาเสียแล้วสิ