อยากกินไหมล่ะ - ตอนที่ 779
โจ๊กนี่มันดียังไงเหรอ
เมื่อวันใหม่มาถึง สำหรับหยวนโจวแล้วก็ยังเป็นความทรมานอีกวันหนึ่ง หลังจากสิ่งที่เขาต้องประสบพบเจอเมื่อวันก่อน เขาก็ไม่เชื่ออีกแล้วว่าจะมีอาหารอร่อยในประเทศไทยอีก
หยวนโจวเขียนผลการประเมินเบื้องต้นเกี่ยวกับอาหารไทยลงในสมุดบันทึกของเขา เนื่องจากตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยจึงเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยเครื่องเทศ
ดังนั้น วัตถุดิบต่างๆอาทิเช่น หญ้าหวาน ข่า ใบมะกรูด มะเขือยาวและอื่นๆจึงกลายเป็นวัตถุดิบที่สำคัญสำหรับการทำอาหารที่นี่ ในความคิดของหยวนโจว วัตถุดิบหรือเครื่องเทศพวกนี้ขัดกับวัตถุดิบหลักทำให้อำพรางรสชาติเดิมของวัตถุดิบหลักไปจนหมดสิ้น
นอกเหนือไปจากแตงกว่าดิบๆหรือผักดิบๆชนิดอื่นๆแล้วก็เป็นเรื่องยากมากที่จะได้ลิ้มลองรสชาติเดิมของวัตถุดิบหลักในอาหารไทย
“บางทีวิธีการทำอาหารแบบนี้คงเป็นรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของพวกเขาจนยากเกินกว่าที่ฉันจะเข้าใจได้ หรือบางทีฉันก็แค่มากินผิดที่ผิดทางและไม่ได้เจอเชฟที่สามารถใช้วัตถุดิบและเครื่องเทศพวกนี้ได้อย่างเหมาะเจาะก็ได้”
หยวนโจวตรวจสอบเงินทุนสำหรับอาหารที่เขาเหลืออยู่ผ่านหน้ารางวัลของเจ้าระบบ ยังเหลืออีก 6800/100000 และสิ่งนี้ก็ทำให้หยวนโจวชักอยากจะหลั่งน้ำตาออกมาเสียแล้ว เขายังต้องหาทางใช้เงินอีก 6800 ให้หมดถึงจะกลับได้
“เจ้าระบบทางที่ดีอย่าเผาสะพานจะดีกว่านะ” หยวนโจวเริ่มพูดคุย “ฉันแค่มาอยู่ในประเทศไทยเจ็ดวันแล้วฉันจะใช้เงินแสนให้หมดไปกับอาหารในชั่วระยะเวลาสั้นๆได้ยังไงกัน? แบบนั้นมันสิ้นเปลืองเกินไป พวกเราต้องประหยัดเข้าไว้สิ ให้ฉันเก็บไว้เถอะนะ แสนนึงมากเกินไปจริงๆ”
หยวนโจวพูดด้วยอารมณ์ทั้งหมดของเขา แบบนี้แม้แต่คนที่ใจด้านชาที่สุดก็ยังต้องสะเทือนใจไปกับการวิงวอนของเขาเลยใช่ไหมเล่า?
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา หยวนโจวให้ทิปกับคนที่คุยกับเขาระหว่างมื้ออาหารไปเยอะที่สุดเท่าที่จะเยอะได้เพื่อให้เงินทุนหมดลงเสียที
ถึงอย่างไรก็ยังมีคนที่อยากได้ทิปเมื่อตอนที่กำลังทานอาหารที่ร้านนี้ ดังนั้นทิปจึงถูกหักออกจากเงินทุนได้เช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น เขาก็ยังใช้เงินทุนไม่หมดอยู่ดี
หลังจากเจ้าระบบได้ยินหยวนโจวแล้ว มันก็เงียบไปสักครู่ก่อนจะแสดงผลออกมาว่า “จะเก็บไว้ก็ได้ แต่เจ้านายต้องใช้เงินทุนได้แค่ 99,999 เท่านั้นนะ”
คราวนี้หยวนโจวเป็นฝ่ายที่เงียบไปบ้าง เก็บเอาไว้ได้แค่หนึ่งบาทไทยงั้นเหรอ? เพื่ออะไรกันเล่า?
ถ้าหากเจ้าระบบเป็นคนจริงแล้วล่ะก็หยวนโจวคงไม่แคล้วต้องทำอย่างที่อู๋หลินทำกับอู๋ไห่แล้วอัดเจ้าระบบลงไปกองอยู่กับพื้นเป็นแน่
“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจดี” หยวนโจวรู้ว่าเขาหลงกลของเจ้าระบบเข้าเต็มเปาและไม่มีทางเลือกแล้ว แต่เขาขอสาบานเลยว่าเขาจะต้องล้างแค้นให้ได้
ขณะที่หยวนโจวกำลังบ่นพึมพำอยู่นั้นก็มีคนโทรหาเขาผ่านวีแชท ถึงแม้ว่าเขาจะได้เตรียมการสำหรับการโทรคุยระหว่างประเทศเอาไว้แล้ว แต่คุยผ่าน VoIP ก็ยังดีกว่า อีกทั้งนี่ก็เป็นวิธีการที่เขาใช้ติดต่อกับไกด์ทัวร์ของตัวเองมาตลอดเช่นกัน
เป็นไกด์ทัวร์ที่โทรหาเขานั่นเอง หยวนโจวรีบสวมรองเท้าเนื่องจากเสี่ยวซิ่งน่าจะรอเขาอยู่ข้างล่าง
นอกเหนือไปจากเป็ดย่างที่เยาวราชในมื้อค่ำแล้ว เขาก็ยังไม่มีแผนสำหรับวันนี้เลย ดังนั้นพวกเขาจึงเที่ยวตะลอนอย่างไร้จุดหมายไปสักหน่อย
เสี่ยวซิ่งรู้สึกกดดันมาก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เขาพามาจะไปแหล่งท่องเที่ยวเพื่อความสนุก ถึงแม้ว่าเขาจะมีลูกค้านักชิมเป็นครั้งคราวก็เถอะนะ แต่พวกเขาก็จะไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆระหว่างทานอาหาร
เป็นครั้งแรกเลยที่เขาเจอคนอย่างหยวนโจวที่นอกจากไปขี่ช้างแล้วก็มุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่อาหารแม้จะอยู่ในประเทศไทยมาหลายวันแล้วก็ตาม
เสี่ยวซิ่งแนะนำทุกสิ่งทุกอย่างให้เขารู้จักและอาหารที่เขาคิดว่าอร่อยก็แล้ว น่าเสียดายที่ไม่เพียงจะไม่สามารถทำให้หยวนโจงพึงพอใจได้ แต่กลับทำให้หยวนโจวท้องเสียจากอาหารที่เขาแนะนำอีกต่างหาก
หยวนโจวเป็นคนที่ห่วงภาพลักษณ์ของตัวเองมากทีเดียว ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นสบายดีมาโดยตลอด แต่เสี่ยวซิ่งก็ไม่ได้โง่แถมยังสามารถสังเกตได้ง่ายๆเลยว่าหยวนโจวไม่ใคร่สบายดีนัก ดังนั้นเสี่ยวซิ่งจึงรู้สึกค่อนข้างละอายใจ
ในทางกลับกัน หยวนโจวก็แจ้งแก่ใจแล้วว่าถึงแม้ไกด์ทัวร์จะพูดภาษาจีนได้ แต่เขาก็แค่เป็นคนไทยเชื้อสายจีนและตลอดชีวิตไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาในประเทศจีนมาก่อนเลย
สาเหตุเดียวที่ไกด์ทัวร์สามารถพูดภาษาจีนและรู้จักวัฒนธรรมจีนคงต้องขอบคุณบรรพบุรุษของเขาแล้วล่ะ พูดง่ายๆก็คือ รสนิยมด้านอาหารของเสี่ยวซิ่งไม่ได้ต่างอะไรกับคนไทยเลย ทำให้พอเข้าใจได้ว่าคำแนะนำของเขาคงไม่สนองตอบต่อสิ่งที่หยวนโจวต้องการสักเท่าไหร่นัก
“หยวนน้อย คุณเป็นเชฟใช่ไหม?” จู่ๆเสี่ยวซิ่งก็ถามขึ้นมาขณะที่กำลังขับรถ
หยวนโจวพยักหน้า อันที่จริงก่อนหน้านี้เขาก็แนะนำตัวเองไปแล้วว่าเป็นเชฟ
เสี่ยวซิ่งกล่าวว่า “คุณน่าจะรู้สึกไม่สบายท้อง ยามที่ป่วยคนจีนมักจะทานโจ๊กไม่ใช่เหรอครับ? ผมมีข้าวอยู่ที่บ้าน คุณอยากจะไปทานโจ๊กที่บ้านผมไหมครับ?”
นี่เป็นหนทางของเสี่ยวซิ่งในการชดเชยให้หยวนโจว ส่วนสาเหตุที่ทำให้เขาไม่ขันอาสาเป็นฝ่ายทำโจ๊กให้เองก็เพราะเขาทำอาหารไม่เป็นอย่างไรเล่า
โจ๊กกับข้าวต้มมีความแตกต่างกันมากทีเดียว
“อืม?” หยวนโจวตาเป็นประกาย นี่เป็นความคิดที่สร้างสรรค์มากเชียวล่ะ เขารู้สึกว่าหากยังขืนกินต่อไปคงต้องตายแน่ๆ เขาต้องทานอะไรสักอย่างที่ต่างออกไปสำหรับมื้อเที่ยงเพื่อให้เบาท้องลงบ้าง
ในเมื่อไกด์ทัวร์มีน้ำใจหยิบยื่นคำเชิญชวนครั้งนี้ให้แก่เขา หยวนโจวจึงตอบตกลงที่จะไปทำอาหารมื้อเที่ยงที่บ้านของเสี่ยวซิ่ง
หลังจากถามอีกไม่กี่คำถาม หยวนโจวก็พอเข้าใจวัตถุดิบและเครื่องปรุงที่เสี่ยวซิ่งมีอยู่ที่บ้านแล้ว
เขาจะทำยำสองอย่างที่เข้ากับโจ๊กได้
หลังจากเดินเตร่กันอยู่สักพัก เสี่ยวซิ่งก็พาหยวนโจวมาที่บ้านของเขา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีขึ้นมีลง เนื่องจากนักท่องเที่ยวที่มาประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นชาวจีน อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของพวกเขาจึงได้รับผลกระทบจากการเมืองเป็นบางครั้งบางคราว
เมื่อไม่นานมานี้เกิดความตึงเครียดระหว่างทั้งสองประเทศแต่ตอนนี้พวกเขามีพระมหากษัตริย์องค์ใหม่แล้ว ความตึงเครียดจึงผ่อนคลายลงไปบ้าง เสี่ยวซิ่งหาเงินได้พอสมควรจากการทำสิ่งนี้ เนื่องจากเป็นที่มีแฟนแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่กับแฟน แต่เขาก็ยังต้องทำให้แน่ใจเสียก่อนว่าห้องของตนสะอาดสะอ้านแล้ว บ้านของเขามีหนึ่งห้องนอนกับหนึ่งห้องรับแขก และถึงแม้จะแทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์เลยทว่ากลับกว้างขวางและเป็นระเบียบมากทีเดียว
“นี่คือบ้านของผมเอง สะอาดดีไหมครับ?” เสี่ยวซิ่งแนะนำด้วยความภาคภูมิใจ
“ไม่เลวเลยนี่นา” หยวนโจวสังเกตเห็นเส้นผมยาวๆอยู่ตรงมุมห้องและฝุ่นเกาะอยู่บนกระจกหน้าต่าง แต่เขาก็ยังพยักหน้าออกมาอย่างสุภาพ
“แน่นอนอยู่แล้วล่ะครับ แฟนผมมาทำความสะอาดบ้านให้หลังจากผมออกไปเมื่อวานนี้เอง เธอทั้งสวยและแสนดี คำที่พวกคุณใช้เรียกหญิงสาวแบบเธอคืออะไรงั้นเหรอครับ?” เสี่ยวซิ่งถามด้วยความภาคภูมิใจ
“กุลสตรี” หยวนโจวกล่าว
“ใช่ๆ เธอมีความเป็นกุลสตรี” เสี่ยวซิ่งพยักหน้าซ้ำๆขณะที่พาหยวนโจวเข้าบ้าน
ตอนที่กำลังคุยเรื่องแฟนของเสี่ยวซิ่งอยู่นั้น หยวนโจวก็ไม่ได้ให้ความสนใจสักเท่าไหร่นัก เขาแค่พยักหน้าอย่างสุภาพเพื่อบอกว่าเขากำลังฟังอยู่
ถึงอย่างไรเขาก็ยังรู้สึกไม่สบายท้องอยู่ เขายังไม่มีแรงพอที่จะไปสนใจเรื่องรักๆใคร่ๆหรอกนะ
“นี่เป็นห้องครัวนะครับ ปกติผมไม่ค่อยได้ใช้นักหรอกแต่แฟนผมจะใช้เป็นบางครั้งบางคราวเพื่อทำอาหารให้ผมกิน ส่วนข้าวอยู่ในตู้ ผักอยู่ในตู้เย็นและเครื่องปรุงอยู่บนโต๊ะ ต้องการอะไรก็ตามสบายเลยนะครับ” เสี่ยวซิ่งแนะนำสั้นๆ
“ขอบคุณครับ” หยวนโจวพยักหน้า
“ไม่เป็นไรครับ คุณอยากให้ผมช่วยทำอาหารด้วยไหม?” เสี่ยวซิ่งถาม
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมจะทำโจ๊กกับยำสองอย่างเป็นอาหารมื้อเที่ยง ดีไหมครับ?” หยวนโจวถาม
“ครับ ต้องการอะไรก็ตามสบายเลยนะครับ แฟนผมเป็นคนซื้อมาเอง” เสี่ยวซิ่งอดไม่ได้ที่จะพูดถึงแฟนของตัวเองขึ้นมา
หยวนโจวถึงกับพูดไม่ออกขณะที่เขาลอบโอดครวญอยู่ในใจว่า “มีแฟนทั้งทีเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นเชียวเหรอ? อืม… ใช่ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่จริงๆนั่นแหละ”
“งั้นเดี๋ยวมาทานโจ๊กเป็นอาหารมื้อเที่ยงด้วยกันนะครับ” หยวนโจวกล่าว
“โจ๊กนี่มันดียังไงเหรอ? ไร้รสชาติออกจะตายไป ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมจะทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” เสี่ยวซิ่งส่ายหน้า
ใช่แล้วะ อย่างที่เสี่ยวซิ่งเข้าใจนั่นแหละ โจ๊กที่คนจีนกินมักจะไร้รสชาติแถมยังไม่อร่อยเอาเสียเลย อีกทั้งเมล็ดข้าวเละๆทั้งยังไร้รสชาติอีก เขาไม่สนหรอก
“หลังจากลองชิมดูแล้วคุณก็จะรู้เองว่าโจ๊กนี่มันดียังไง” หยวนโจวตอบด้วยท่าทีเฉยเมย