อยากกินไหมล่ะ - ตอนที่ 789 อาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีไม่อาจล่าช้าได้
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 789 อาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีไม่อาจล่าช้าได้
หลังจากคุณเฉิงกลับไปแล้ว หยวนโจวก็ไปตลาดเพื่อซื้อหาผักมาแกะสลักตามปกติ จากนั้นเขาก็กลับมาเตรียมตัวฝึกฝีมือ
อีกทางหนึ่ง หลิวจางก็ออกจากบ้านแต่เช้าตรู่
“ตาเฒ่าจี้ วันนี้มีการแสดงสนุกๆให้เราดูกันด้วยล่ะ” หลิวจางมาถึงโรงแรมที่จี้อี้พักอาศัยอยู่แล้วชักชวนให้เขาไปดูเรื่องน่าสนใจด้วยกัน
ทุกวันนี้คำว่า “การแสดงสนุกๆ” จริงๆแล้วก็หมายถึง “เหตุการณ์อึกทึกครึกโครม” มากกว่าจะมีความหมายตามตัวมันเอง แต่เรื่องที่หลิวจางบอกกลับทีความหมายเดิมจริงๆ หลิวจางจองตั๋วอุปรากรเสฉวนเอาไว้แล้ว
มีอุปรากรที่แตกต่างกันมากกว่า 300 แบบทั่วประเทศในขณะที่มีการแสดงพื้นบ้านไม่น้อยกว่าหมื่นแบบ เนื่องจากไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้แวดวงอุปรากรถูกทิ้งร้าง อุปรากรทั้งหลายจึงไม่สามารถสืบทอดจากรุ่นก่อนได้ อุปรากรส่วนใหญ่สามารถพบได้เฉพาะในโรงน้ำชาขนาดเล็กท่ามกลางผู้สูงอายุมากมายเท่านั้น หลังจากคนรุ่นเก่าล้มหายตายจาไปแล้ว อุปรากรก็จะถูกกลบฝังไปด้วย
ตัวอย่างก็คือเพื่อนของหลิวจางกับจี้อี้ คนๆนี้ก็คือประธานสมาพันธ์อุปรากรส่านซีและทุ่มเทให้กับการแสดงตงก่วน การแสดงวานวานและการแสดงเหมยหู่ ทว่ากลับไม่ใคร่เป็นผลนัก
แน่นอนว่าย่อมมีความงดงามในอุปรากรที่สืบทอดกันมานับร้อยปี ถึงแม้ว่าจะมีสิ่งสวยงามมากมายในโลกและยากที่ผู้คนจะได้เห็นสิ่งเหล่านั้นโดยใต้องเอ่ยซ้ำ แต่ช่างน่าเสียดายที่อุปรากรได้หายไปเสียก่อนที่ผู้คนจะทันได้เข้าใจถึงความงามของอุปรากร
“ฉันไม่สนหรอก” จี้อี้หาใช่คนสงบสำรวม กล่าวสั้นๆก็คือเขาไม่อยากพูดกับหลิวจางอีก
หลิวจางไม่ท้อใจ เนื่องจากในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ตอนที่พวกเขากำลังรอคอยให้เถ้าแก่หยวนกลับมานั้น เขาก็นึกความคิดใหม่ๆได้ทุกวันซึ่งหลังจากนั้นก็ถูกจี้อี้ปฏิเสธอย่างเย็นชา
“วันนี้เป็นวันที่แปดแล้วนะหลิวจาง นายบอกมาเถอะว่าเชฟหยวนคนนั้นร่วมมือกันหลอกฉันใช่ไหม?” จี้อี้อดทนรอคอยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งเขารอนานขึ้นมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเกิดความกังขาในหมั่นโถวไหมพันเส้นที่บอกว่าเหนือล้ำกว่าเขา
“ฉันเคยไปหลอกนายเสียเมื่อไหร่กัน? นายไม่เชื่อในความซื่อสัตย์ของฉันงั้นรึ?” หลิวจางถามขึ้น
ถ้าเขาไม่กล่าวเช่นนั้นก็ว่าไปอย่าง แต่ทันทีที่เขากล่าวขึ้นมา จี้อี้ก็ระเบิดออกมาทันทีว่า “บ่อยจะตายไป ตอนที่พวกเรายังเด็กนายหลอกเอาลูกอมของฉันไปจนเกลี้ยง พอพวกเราเริ่มโตขึ้นมา นายก็หลอกเอาเงินในกระเป๋าของฉันไปจนหมด”
“ตาเฒ่าจี้ นายยังถือสาเรื่องเงินหลายเซนต์พวกนั้นมาจนอายุปูนนี้เชียวรึนี่? นายคิดเล็กคิดน้อยเกินไปแล้วนะ” แม้ว่าสิ่งที่หลิวจางบอกจะถูกหักล้างไปแล้ว ทว่าเขากลับไม่รู้สึกกระดากอายเลยสักนิด แต่เขากลับโต้แย้งเรื่องที่จี้อี้เป็นคนคิดเล็กคิดน้อยเกินไปแทนเสียได้
“โอเค งั้นไม่เป็นไร นายบอกว่าฉันคิดเล็กคิดน้อย แต่สิ่งที่นายบอกน้องสาวของเราล่ะ? เดิมทีเธอก็หวั่นไหวระหว่างนายกับฉัน แต่นายบอกฉันว่าไม่น่าจะเอาชนะใจเธอได้เพราะเธอหลงรักคนๆหนึ่งอยู่ นายไม่คิดว่าเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมงั้นเหรอ?” ยิ่งจี้อี้พูดออกมา เขาก็ยิ่งโกรธหนักขึ้นไปอีก
“เอาล่ะ เรื่องนี้ค่อนข้างสลับซับซ้อน ในความหมายอย่างแคบคือฉันหลอกนาย แต่ในความหมายอย่างกว้างคือฉันช่วยนายอยู่นะ ดูนายตอนนี้สิ นายมีครอบครัวที่แสนมีความสุขและกลมเกลียวแถมยังมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองอีก แล้วนายดูฉันสิยังเป็นพ่อหม้ายแก่ๆคนหนึ่งอยู่เลย” ดูท่าแล้วหลิวจางจะกำลังสับสนถูกผิดอยู่จริงๆ
จี้อี้ไม่อยากเสวนากับเจ้าคนไร้ยางอายผู้นี้อีกแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงความโกรธที่จางหายไปมากเมื่อเขาได้ยินว่าหลิวจางเป็นพ่อหม้ายแก่ๆคนหนึ่งเลย
หลิวจางที่ดูมีท่าทีใจเย็นกล่าวต่อไปว่า “คราวนี้อาจารย์เหมยหย่งเกอเป็นคนจัดอุปรากรเสฉวนเอง”
จี้อี้รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเสียแล้ว เหมยหย่งเกอ
เนื่องจากแวดวงอุปรากรถูกทิ้งร้างมาเมื่อไม่กี่ปี ทุกวันนี้รัฐบาลจึงมีแนวโน้มที่จะรักษาวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะมีคนอยู่ไม่มากนักที่อยากจะชมดูก็ตามที อุปรากรทั้งหลายเป็นที่นิยมมาตั้งแต่สมัยโบราณ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่าเป็นอุปรากรเสฉวนขนาดใหญ่และสุดยอดปรมาจารย์ด้านอุปรากรเสฉวนที่จะขึ้นแสดงในคราวนี้เลย ตั๋วทั้งหลายต่างถูกส่งออกมาในรูปของคำเชิญ
หลิวจางดูค่อนข้างยากจน อันที่จริงแล้วเขาก็ยากจนจริงๆนั่นแหละ แต่ภายนอกเขากลับมีชื่อเสียงด้านดีจึงทำให้ได้ตั๋วมาสองใบ
“เฒ่าจี้ นายสนใจไหมล่ะ? ฉันจำได้ว่าตอนพวกเรายังเด็กอยู่ นายอยากดูการแสดงของอาจารย์เหมยนี่นา” ในขณะที่กล่าวถึงเรื่องนั้นออกมา หลิวจางก็หยิบตั๋วออกมาจากกระเป๋าและโบกไปมาตรงหน้าจี้อี้
จี้อี้ที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาราวกับเมฆหมอกรู้สึกค่อนข้างลังเลใจอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ยังไม่สามารถต้านทานต่อความเย้ายวนใจของห้าเสาหลักของเหมยหย่งเกอและตอบตกลงไปอย่างแกนๆ “ฉันตอบตกลงรับข้อเสนอของนายเพราะความเคารพที่มีต่ออาจารย์เหมยหรอกนะ”
หลิวจางพยักหน้าเพื่อบ่งบอกว่าเขาเข้าใจแล้ว แต่เมื่อพินิจจากสีหน้าของเขาแล้ว จี้อี้ก็อยากจะกระโดดถีบยอดหน้าของเขาเสียจริงๆ น่าเสียดายที่เขาอายุเกิน 50 ปีไปแล้วถึงจะมีความตั้งใจอันแน่วแน่ทว่ากำลังวังชากลับเสื่อมถอย จี้อี้พึมพำอยู่ในใจว่า “ถ้าฉันเด็กกว่านี้สักห้าปีสิบปีล่ะก็ฉันคงตีเขาจนตายไปแล้ว”
คนทั้งสองเตรียมตัวที่จะขึ้นรถแท็กซี่ตรงนั้น พูดให้ถูกก็คือพวกเขาจะต้องไปสถานีขนส่งก่อนเพื่อขึ้นรถโดยสาร เพราะที่อยู่นั้นเป็นเขตที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของเฉิงตู
สุดยอดปรมาจารย์ด้านอุปรากรเสฉวนจะไม่เชิญคนมากเกินไปตอนที่เขาขึ้นแสดงจึงทำให้สถานที่ไม่ใคร่ใหญ่โตนัก ขณะที่หลิวจางกับจี้อี้กำลังจะขึ้นรถไปสถานีขนส่งจู่ๆเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้น
หลิวจางรับสายแล้วเอาแต่พยักหน้ากันติดๆโดยไม่พูดอะไร ในที่สุดเขาก็วางสายแล้วจู่ๆก็หันไปมองจี้อี้ซึ่งทำให้เขารู้สึกตกใจกลัวเอามากๆ
จี้อี้เดินเข้ามาหาแล้วจ้องตอบอย่างเหี้ยมเกรียมพลางถามว่า “เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”
“ฉันมีเรื่องหนึ่งอยากจะบอกนาย แต่คิดดูแล้ว ฉันตัดสินใจที่จะไม่บอกนายดีกว่า” หลิวจางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
อะไรวะเนี่ย! คนที่พูดไม่จบประโยคก็น่ารังเกียจพอๆกับพวกที่บอกตอนจบล่วงหน้าก่อนที่หนังจะจบนั่นแหละ
หลิวจางยักไหล่แล้วกล่าวว่า “แม้ว่าเรื่องนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับนาย แต่นอกเหนือจากความเป็นห่วงเพื่อนของฉันแล้ว ฉันไม่คิดว่าการให้นายรับรู้เรื่องนั้นจะเป็นเรื่องดีเลย”
จี้อี้มองหลิวจางตาค้างทั้งยังเชื่อว่าหลิวจางจงใจกล่าวเช่นนั้นออกมาเป็นแน่ เขาพูดแบบนั้นมีเจตนาอะไรกัน “เรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาย แต่นายไม่รู้จะดีกว่าไหม”? นั่นเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ ผลก็คือทำให้เขากลับยิ่งอยากจะรู้เรื่องนี้มากขึ้นไปอีก ดังนั้นจี้อี้จึงโพล่งออกมาว่า “บอกฉันมาเร็วเข้า”
“จริงๆก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก เมื่อกี๊นี้เพื่อนฉันโทรมาบอกว่าเถ้าแก่หยวนกลับมาแล้ว แถมวันนี้เขายังทำอาหารเช้าด้วยล่ะ” หลิวจางกล่าว
เถ้าแก่หยวนกลับมาแล้วนั่นก็หมายความว่าในที่สุดพวกเขาก็จะได้กินหมั่นโถวไหมพันเส้น
อย่างที่กล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ สถานที่จัดแสดงของอาจารย์เหมยอยู่ในเขตที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของเฉิงตู หากนั่งรถยนต์ไปที่นั่นก็จะใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงและกำหนดการแสดงคือบ่ายสามโมง ถ้าหากพวกเขาออกเดินทางกันเสียแต่ตอนนี้ก็พอจะไปทันการแสดงอยู่บ้าง แต่หากพวกเขาอยากไปทานอาหารกลางวันที่ร้านหยวนโจวก็คงไม่มีเวลาพอและอาจจะไปที่นั่นไม่ทันเป็นแน่
ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังต้องตามหาโรงละครและตรวจตั๋วหลังจากมาถึงเขตแล้ว
แต่ถ้าหากพวกเขากลับไปทานอาหารค่ำหลังจากการแสดงจบลงตอนหกโมงครึ่ง พวกเขาก็อาจจะมาไม่ทันตอนสามทุ่ม แม้ว่าพวกเขาจะรีบขับรถกลับไปทันทีด้วยความเร็วเต็มสปีดและไม่มีรถติดก็ตามที แต่ก็น่าจะไม่ทันอยู่ดี
พูดง่ายๆก็คือพวกเขาสามารถเลือกสิ่งที่จะทำได้เพียงอย่างเดียวระหว่างการทานอาหารค่ำในร้านหยวนโจวและการชมการแสดงของอาจารย์เหมย
ถ้าหากหลิวจางกับจี้อี้ไม่รู้ว่าหยวนโจวกลับมาแล้วก็คงจะดีอยู่หรอก พวกเขาก็คงจะสามารถชมการแสดงของอาจารย์เหมยด้วยกันในวันนี้แล้วค่อยไปกินหมั่นโถวไหมพันเส้นเอาวันพรุ่งนี้ ถึงอย่างไรเถ้าแก่หยวนก็อยู่ที่นั่นตลอด แต่ปัญหาสำคัญก็คือจี้อี้ผู้นั้นก็ดันมารู้เรื่องนั้นเข้าด้วย สำหรับจี้อี้แล้ว อาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีมีความสำคัญที่สุด แม้ว่าการแสดงของอาจารย์เหมยนานๆทีจะมีสักหนก็เถอะนะ
จี้อี้มักจะพูดอยู่เสมอว่าอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีไม่อาจล่าช้าได้ ดังนั้นทันทีที่เขาได้ข่าว เขาก็รีบกลับเฉิงตูทันที จะว่าไปแล้วจี้อี้ก็ค่อนข้างหัวดื้อทีเดียว เขาสามารถรออีกวันและไปชมการแสดงของอาจารย์เหมยก่อนแล้วค่อยกลับไปร้านหยวนโจวก็ยังได้เลย ทั้งๆที่มีโอกาสที่จะทำแบบนั้นแท้ๆ แต่เขากลับไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงลำดับความสำคัญของตัวเองเลย
แต่บางทีสาเหตุที่เขากลายเป็นเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นจากข้าวสาลีก็คงสืบเนื่องมาจากจิตวิญญาณอันแสนดื้อดึงของเขาเป็นแม่นมั่น
ก็เหมือนที่หลิวจางพูดไปนั่นแหละนะ ถ้าจี้หากอี้ไม่รู้เรื่องนั้นก็คงจะดีกว่า แต่เมื่อถูกหลิวจางทำให้โมโหเข้าแล้ว ในที่สุดจี้อี้ก็ขึ้นรถแท็กซี่แล้วเดินทางไปร้านหยวนโจวอย่างรวดเร็ว อย่างไรเสียอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีก็เป็นเรื่องสำคัญที่สุด
“ตอนนี้พวกเรากำลังจะไปร้านหยวนโจวกัน ฉันขอเดาว่าพวกเราจะไปถึงที่นั่นประมาณสิบโมงครึ่งจากนั้นค่อยไปเข้าคิวรอ เท่านี้ก็น่าจะทานอาหารกลางวันที่นั่นได้โดยไม่มีปัญหาแล้วล่ะ” หลิวจางคำนวณเวลา
จี้อี้ไม่อยากพูดกับหลิวจางแม้แต่คำเดียว เขาเอาแต่หลับตาเพื่อคลายความว้าวุ่นใจ ในขณะเดียวกัน เขาก็บ่นพึมพำกับตัวเองในใจว่า “ฉันล้มเลิกการชมการแสดงของอาจารย์เหมยเพื่อแลกเปลี่ยนกับการลิ้มรสหมั่นโถวไหมพันเส้นเชียวนะ”
หวังว่าหมั่นโถวจะไม่ทำให้เขาต้องผิดหวังก็แล้วกัน