อยากกินไหมล่ะ - ตอนที่ 790 ฝีมือการใช้มีดอันห่วยแตก
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 790 ฝีมือการใช้มีดอันห่วยแตก
เวลาตรงตามอย่างที่หลิวจางประมาณการณ์เอาไว้จริงๆ พวกเขามาถึงตรงริมถนนหน้าร้านหยวนโจวตอนสิบโมงครึ่ง
“วันนี้ค่อนข้างคึกคักกันจังนายว่าไหม?” หลิวจางกล่าวขึ้นทันทีที่ลงจากรถ
“อืม ดูมีชีวิตชีวากันจริงๆ” จี้อี้ตอบอย่างเฉยเมย เมื่อตอนที่เขาทำธุรกิจขายซาลาเปาก็มีคนมากมายมารอต่อคิวอยู่ทุกวัน
เห็นได้ชัดเลยว่าความโกรธของจี้อี้มุ่งไปที่หลิวจางแทนที่จะเป็นหยวนโจว ดังนั้นเขาจึงเดินตรงไปที่ร้านหยวนโจว
“เดินช้าๆหน่อยสิ นายคิดว่าตัวเองยังเป็นคนหนุ่มอายุสิบหกอยู่หรือไง?” หลิวจางเดินตามเขาไปแล้วกล่าวขึ้นมา
“ถึงฉันจะไม่ใช่คนหนุ่มอายุสิบหก แต่ฉันก็แข็งแรงกว่านายก็แล้วกันนะตาเฒ่า” จี้อี้กล่าวออกมาตามตรงโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ามา
“เพื่อตัวนายเอง ฉันไม่อยากให้นายฝืนตัวเองเกินไปนะ” หลิวจางรีบเดินตามมาจนไล่เขาทัน
ขณะที่จี้อี้เตรียมอ้าปากเอ่ยคำเหน็บแนมใส่เขานั้น จู่ๆหลิวจางก็หล่าวขึ้นมาว่า “อย่ามัวแต่คุยกันอยู่เลย ดูนั่นสิ ฝีมือการใช้มีดของนายดีเท่าเขาไหมล่ะ?”
แน่นอนว่าหลิวจางย่อมหมายถึงหยวนโจวที่นั่งแกะสลักน้ำแข็งอยู่ตรงประตูนั่นเอง
“แหงล่ะ ฉันทำไม่ได้หรอก ก็นั่นเป็นแค่น้ำแข็งก้อนหนึ่งไม่นับเป็นอะไรได้เลย” จี้อี้ทอดสายตามองมือไม้ของหยวนโจวแล้วกล่าวขึ้นด้วยความโกรธ คงจะรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลยที่ต้องถือน้ำแข็งก้อนหนึ่งเอาไว้ในมือ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการแกะสลักเลยด้วยซ้ำไป
“น้ำแข็งงั้นรึ?” หลิวจางเดินเข้ามาใกล้ๆแล้วก็พบว่าเป็นน้ำแข็งจริงๆ
น้ำแข็งในมือซ้ายของหยวนโจวมีขนาดเท่ากำปั้น และในมือขวาของเขาคือมัดแกะสลักขนาดเล็ก ใช่แล้วล่ะ คราวนี้เขาไม่ได้ใช้มีดทำครัว
นอกจากนี้ยังเป็นครั้งแรกเลยที่หยวนโจวใช้น้ำแข็งมาแกะสลักจึงทำให้คราวนี้เขาไม่กล้าวางท่ามากนัก
“เจ้าเด็กคนนี้ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆที่พยายามแกะสลักน้ำแข็ง เขาไม่ต้องการมือของตัวเองแล้วหรือไง?” จี้อี้ขมวดคิ้วแล้วกล่าวเช่นนั้นออกมา
“เขาบ้าจริงๆนั่นแหละ” หลิวจางพยักหน้าเห็นด้วย
ถึงแม้ทั้งสองคนจะพูดแบบนั้น ทว่าพวกเขาก็หาได้เข้าไปพยายามยับยั้งเขาไว้ แต่พวกเขากลับเอาแต่มองดูเงียบๆ
หยวนโจวหาได้มีความรู้สึกพิเศษแต่อย่างใดที่ถูกจ้องมอง ตอนนี้เขากำลังพินิจพิเคราะห์ก้อนน้ำแข็งในมืออย่างระมัดระวังเพื่อค้นหาตำแหน่งที่ดีที่สุดที่จะเริ่มการแกะสลัก
“เย็นชะมัดเลย” หยวนโจวถือก้อนน้ำแข็งเอาไว้ในมือแล้วอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
น้ำแข็งเย็นเฉียบขณะที่มือของหยวนโจวอุ่น หลังจากนั้นไม่นานน้ำแข็งก็ละลายลงเล็กน้อย แต่มือของหยวนโจวกลับเริ่มซีดลงทีละน้อย
“งั้นฉันก็จะแกะสลักมันทั้งแบบนี้แหละ” มือขวาของหยวนโจวเริ่มขยับไปมาบนน้ำแข็ง
“แซ่กแซ่ก” มีเสียงดังเสียดแทงดังขึ้นมาจากการสัมผัสกันระหว่างมีดแกะสลักกับก้อนน้ำแข็ง เศษน้ำแข็งที่ร่วงหล่นลงมาจากก้อนน้ำแข็งในมือค่อยๆกลายเป็นรูปร่างของกระต่ายตัวหนึ่ง
ทั้งลักษณะและรูปร่างของมันช่างสมจริงราวกับมีชีวิตก็ไม่ปาน
หยวนโจวมักจะแกะสลักอย่างรวดเร็วอยู่เสมอ และวันนี้เขาก็แกะสลักอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นเนื่องจากเป็นก้อนน้ำแข็ง เขาจึงไม่มีเหตุผลเลยที่จะไม่แกะสลักอย่างรวดเร็ว ยิ่งได้รับความอุ่นมากขึ้นเท่าไหร่น้ำแข็งก็ยิ่งละลายได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น
“ดูเหมือนว่าฉันยังต่อฝึกฝีมือการแกะสลักอีกนานเชียวล่ะ” หยวนโจวมองกระต่ายในมือที่มีเนื้อสัมผัสตรงส่วนขนที่ยังดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติแล้วโยนลงถังขยะโดยไม่ลังเล
มีคนที่เห็นหยวนโจวแกะสลักก้อนน้ำแข็งมากกว่าหนึ่งคน ลูกค้าบางคนก็เห็นเหตุการณ์นี้ด้วย พวกเขาไม่มีทางเลือกนี่นา ก็ร้านหยวนโจวมีขนาดเล็กและยิ่งไปกว่านั้นเขายังไม่รับจองอีกต่างหาก ถ้าหากพวกเขาอยากไปทานอาหารที่นั่นก็ต้องมาเสียแต่เนิ่นๆ
“จึ๊ เจ้าหนุ่มคนนี้มีเงื่อนไขเยอะเสียจริง” หลิวจางถอนหายใจ
“โอ้ จริงสิ! กระต่ายตัวนั้นไม่มีแม้แต่รูปร่างพื้นฐานเสียด้วยซ้ำไป จริงๆแล้วฝีมือการใช้มีดของเขาก็สักไม่ดีเท่าไหร่เลยนี่” จี้อี้เย้ยหยัน
“นายมีอคติน่ะสิถึงได้พูดออกมาแบบนั้น เถ้าแก่หยวนก็แค่ฝึกฝีมือเท่านั้นเอง” หลิวจางกล่าวอย่างจริงจัง
“ถึงเขากำลังฝึกฝีมืออยู่ก็เถอะนะ แต่ฝีมือการใช้มีดกลับน่าผิดหวัง” จี้อี้ยืนกรานที่จะกล่าวออกมาเช่นนั้น
“นายลืมไปแล้วเหรอว่าเขาใช้น้ำแข็งอยู่นะ?” หลิวจางเตือน
“ถึงจะเป็นงั้นก็เหอะ แต่ฝีมือการใช้มีดของเขาก็น่าผิดหวังอยู่ดีนั่นหละ” จี้อี้ชี้ไปทางกระต่ายที่ถูกโยนลงถังขยะแล้วกล่าวขึ้นมา
“ฉันไม่อยากเสียเวลามาเถียงกับนาย หลังจากทานอาหารเสร็จก็ไม่ต้องอยู่เฉิงตูมันต่อแล้ว” เป็นเรื่องพบได้ยากที่หลิวจางจะไม่ค่อยพอใจนัก
“ฮึ ฉันยังไม่ได้ชิมอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีเลยนะ” จี้อี้กล่าว
“เอาล่ะ ได้เวลาไปต่อคิวแล้ว ไปกันเถอะ” หลิวจางชี้ไปที่เครื่องจัดคิวสีเงินที่มีคนกำลังยืนรออยู่
“นายจ่ายนะ” จู่ๆจี้อี้ก็กล่าวขึ้นมา
“ว่าไงนะ? ท่านประธานอย่างนายขาดเงินมากขนาดนั้นเชียวรึ?” หลิวจางเอามือกุมกระเป๋าสตางค์ของตัวเองเอาไว้และคอยระแวดระวัง
“ในเมื่อนายชวนฉันมาที่นี่ แน่นอนอยู่แล้วว่านายต้องเป็นคนจ่าย” จี้อี้กล่าวอย่างเห็นสมควรแล้ว
ถ้าเป็นคนอื่น ตอนนี้เขาคงตอบตกลงที่จะจ่ายให้ไปแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่มีเหตุผลให้ผู้อื่นมาจ่ายหากเขาเป็นคนเสนอที่จะเลี้ยงอาหารผู้อื่น แต่หลิวจางเป็นคนอื่นงั้นหรือ? เห็นได้ชัดเลยว่าไม่ ดังนั้นเขาจึงกล่าวเช่นนั้นออกมาได้อย่างค่อนข้าเป็นธรรมชาติ
“แต่นายรวยกว่าฉันนี่นา ฉันยังไม่คิดเงินนายสำหรับข่าวนี้เลยนะ” หลิวจางกล่าว “พวกเราออกจะสนิทกัน ฉะนั้นฉันก็เลยยกสิทธิพิเศษในการจ่ายค่าอาหารมื้อนี้ให้นายโดยเฉพาะอย่างไรเล่า”
“โอเค ก็ได้ๆ ถ้าหากหมั่นโถวไม่อร่อยขึ้นมาล่ะก็เลิกคิดเรื่องที่จะมาทานอาหารที่บ้านฉัน ไม่เว้นแม้แต่ช่วงปีใหม่ไปได้เลย” จี้อี้หัวเราะด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เรื่องนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้หรอก” หลิวจางกล่าวขึ้นโดยปราศจากความวิตกกังวล
“ไปต่อคิวเถอะ” หลังจากกล่าวเช่นนั้นออกมา จี้อี้ก็เดินไปตรงหน้าของหลิวจาง
และหลิวจางก็แสร้งทำเป็นเกรงใจแล้วหลีกทางให้เขา
“โฮ่โฮ่” จี้อี้ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา ไม่สามารถตัดสินหนังสือจากปกได้จริงๆ เขาไม่เคยพบเคยเจอใครไร้ยางอายได้อย่างเขามาก่อนเลย
“ดูเหมือนว่าฉันยังต้องฝึกฝีมือแกะสลักน้ำแข็งให้มากขึ้นเสียแล้วสิ” หยวนโจวมองไปทางบรรดาลูกค้าที่เห็นเขาแกะสลักน้ำแข็งอย่างยากลำบากเมื่อสักครู่แล้วลุกขึ้น
เขามองกระต่ายในถังขยะอีกครั้งแล้วมองมือตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็เก็บมีดแกะสลักโดยไม่ลังเลแล้วกลับเข้าครัวและเริ่มเตรียมวัตถุดิบสำหรับอาหารมื้อเที่ยง
หยวนโจวเปิดก๊อกน้ำแล้วน้ำเย็นก็ไหลออกมา จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปใต้ก๊อกน้ำเพื่อล้างแล้วถ่างแผ่ออกทีละน้อยอย่างเป็นธรรมชาติ
มือของเขากลับกลายเป็นซีดเซียวเนื่องจากความเย็นของน้ำแข็ง ไม่ใช่เรื่องดีเลยที่จะล้างมือด้วยน้ำอุ่นตรงๆ การล้างด้วยน้ำเย็นก่อนสามารถช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตได้
สำหรับเชฟแล้ว ความสำคัญของมือเขาจะบอกด้วยตัวมันเอง
ในขณะที่หยวนโจวกำลังเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำอาหารในครัวอยู่นั้น นอกร้านของเขาก็มีลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาต่างต่อคิวกันยาวเหยียดเสียจนหักเลี้ยวได้หลายหัวถนน
“คนเยอะมากเลย” จี้อี้ขมวดคิ้ว
“แหงล่ะ นายคงไม่นึกเสียใจถ้าฟังที่ฉันบอกให้รีบมาก่อน” ลูกค้าอย่างหลิวจางไม่ลืมที่จะชมตัวเอง
ท่าทีในตอนนี้ของหลิวจางค่อนข้างต่างไปจากอารมณ์ของยอดปรมาจารย์อย่างหยวนโจวหรืออู๋ไห่ น่าจะกล่าวได้ว่าไม่มีอะไรเหมือนกันเลยเสียด้วยซ้ำไป
จี้อี้ค่อนข้างเคยชินกับการคุยโวโอ้อวดของหลิวจางผู้ไร้ยางอายอยู่แล้วจึงเพียงแค่หันกลับไปมอง
ผู้คนที่อยู่ด้านหลังส่งเสียงระเบ็งเซ็งแซ่ แต่โชคดีที่มีคณะกรรมการจัดคิวคอยรักษาความสงบเรียบร้อยอยู่ทางด้านข้างและบางคนก็แจกจ่ายน้ำอุ่นออกมา ดูไปแล้วช่างเป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างสมัครสมานสามัคคีกันทีเดียว
“ยังมีคนอีกตั้งเยอะแน่ะ ทำไมนายยังรออยู่ตรงนี้อีกเล่า? วันนี้คงไม่ถึงคิวนายแล้วล่ะ” ลูกค้าคนหนึ่งบอกลูกค้าอีกคนตรงหน้า
“ถ้าฉันไม่ได้คิว นายก็ไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละ แล้วทำไมนายยังรอเข้าคิวอยู่อีกล่ะ?” ลูกค้าตรงหน้าหันหน้ามากล่าว
“ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อกินอะไรสักหน่อย ฉันแค่มาดูเถ้าแก่หยวนก็เท่านั้นแหละ” ลูกค้าที่อยู่ข้างหลังกล่าวอย่างสงบเสงี่ยม
“อืม อืม ถูกต้อง เท่าที่ฉันสามารถบอกได้ ผู้คนที่นี่ต่างเกินกว่าจำนวนตั๋วที่มีอยู่ทั้งหมดในยามปกติ ฉันคิดว่าวันนี้เราคงหมดโอกาสได้กินเสียแล้วล่ะ” ทันใดนั้นลูกค้าอีกคนก็เริ่มทำให้คนอื่นๆเกิดความสับสน
“ไปเถอะ ฉันมาที่นี่เพื่อเยี่ยมเถ้าแก่หยวนก็เท่านั้น พวกนายที่อยู่ข้างหลังสามารถหยุดรอเสียตอนนี้เลยก็ได้ ยังไงวันนี้นายก็ไม่เจอเขาแน่ๆล่ะ”
“จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงเล่า? ฉันเป็นนักข่าวที่จะมาสัมภาษณ์เขาเชียวนะ”
“ฉันเป็นแฟนตัวยงของเขาและมาเชียร์เถ้าแก่หยวน”
“ฉันมาที่นี่เพื่อมาดูอาหารเพื่อความโชคดี”
หลังจากลูกค้ารายแรกเริ่มหัวข้อนี้ขึ้นมา คนอื่นๆที่รอแถวอยู่ข้างหลังก็เริ่มโต้เถียงเช่นนั้นออกมา พวกเขาต่างหวังว่าคนอื่นๆจะออกไปเร็วๆเพื่อให้พวกเขาได้มีโอกาสได้ทานอาหารในร้านหยวนโจว
แต่ผู้คนก็เอาแต่พูดหาได้มีผู้ใดออกไปเลยสักคนเดียว พวกเขาทุกคนก็แค่คิดจะไปดูอาหารต่างๆแม้จะไม่ได้ทานอะไรเลยก็ช่างเถอะ
ยามเที่ยงวันแรกของร้านหยวนโจวค่อนข้างคึกคักและมีชีวิตชีวามากทีเดียวหลังจากเขากลับมาเลยก็ว่าได้..