อยากกินไหมล่ะ - ตอนที่ 792 ความแตกต่างอันน้อยนิด
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 792 ความแตกต่างอันน้อยนิด
หลังจากพบว่าหยวนโจวไม่ได้เติมน้ำตาลลงไปเลย จี้อี้ก็รู้สึกกระวนกระวายใจจนแทบบ้าพลางเริ่มบ่นพึมพำกับตัวเอง
“ทำไมถึงมีรสหวานได้โดยไม่ต้องใส่น้ำตาลกันนะ? คุณใช้ข้าวสาลีของทางภาคเหนืองั้นเหรอ? ไม่สิ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่น่าจะมีรสชาติอะไร” จี้อี้ขมวดคิ้วพลางมองหยวนโจว เขาหาได้เป็นที่รู้จักในฐานเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีโดยไร้เหตุผลเสียที่ไหนกัน เขาย่อมเข้าใจรสชาติของแป้งชนิดต่างๆอย่างชัดเจนอยู่แล้วล่ะ
“ตาเฒ่าคนนี้ล่ะก็ทำตัวเป็นเด็กๆไปได้” หลิวจางมองจี้อี้อย่างไม่สามารถช่วยอะไรได้
หยวนโจวเหลือบมองหลิวจางก่อนที่จะตอบว่า “ข้าวสาลีทางภาคเหนือมีความเหนียวและรสชาติพอเหมาะพอดี พวกมันสามารถนำมาใช้ในการผลิตแป้งคุณภาพดี แต่สำหรับอาหารจานนี้ ใช้ข้าวสาลีทางภาคใต้จะดีกว่าเนื่องจากมีความชื้นมากกว่าขณะที่แป้งที่ผลิตขึ้นมาก็จะหวานกว่าด้วย เมื่อเจอเข้ากับน้ำแร่เย็นก็จะสามารถปลดปล่อยความหวานออกมาได้”
“คนส่วนใหญ่รู้ว่าส่วนต่างๆของลิ้นจะตอบสนองต่อรสชาติต่างๆ ส่วนปลายของลิ้นจะไวต่อรสหวานมาก ส่วนหลังของลิ้นจะไวต่อรสขมและรสเผ็ดมาก ส่วนทั้งสองด้านของลิ้นจะมีความไวต่อรสเปรี้ยวมาก ผมเลยเตรียมอาหารจานนี้ด้วยวิธีการที่จะปลดปล่อยรสหวานออกมาตรงปลายลิ้นด้วยการซ่อนมันเอาไว้ภายใต้น้ำมันหมู” หยวนโจวอธิบาย นี่คือวิธีการเตรียมที่อาหารอันแปลกใหม่ที่เจ้าระบบมอบให้เขาไปดัดแปลงต่อในภายหลัง
หยวนโจวอธิบายมาเสียยาวเหยียด เป็นเรื่องหาได้ยากที่เขาจะพูดมากขนาดนี้ เหตุผลเดียวที่เขาทำเช่นนั้นก็เพื่อแสดงความรู้สึกขอบคุณต่อหลิวจางที่สอนเขาเตรียมตับดิบโดยไม่หวงวิชา
“น้ำแร่เย็น? ความชื้น? ผมเข้าใจแล้วล่ะ” จี้อี้เหม่อไปเล็กน้อยก่อนที่จะก้มหน้าก้มตาศึกษาหมั่นโถวไหมพันเส้นตรงหน้าเขาราวกับมีความลับจากสวรรค์บรรจุอยู่ข้างในก็ไม่ปาน
“ขอบใจนะ เถ้าแก่หยวน” หลิวจางกล่าวขอบคุณ
“ด้วยความยินดีครับ ไม่ต้องเกรงใจ” หยวนโจวตอบอย่างเป็นจริงเป็นจัง
หลิวจางไม่พูดอะไรอีก เขาโบกมือแล้วหันหน้าไปหาจี้อี้เพื่อเตรียมพูดจา
แต่ก่อนที่หลิวจางจะทันได้กล่าวอะไรออกไป จี้อี้กลับพูดขึ้นมาเสียก่อนว่า “ฉันแก่แล้ว คงอยู่บนโลกนี้ได้อีกไม่นานหรอก”
ใช่แล้วล่ะ จี้อี้หาได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่หยวนโจวบอกเขาก่อนหน้านี้ สิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือข้าวสาลีทางภาคเหนือจะเป็นวัตถุดิบเพียงอย่างเดียวที่เหมาะแก่การเตรียมอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลี ถึงอย่างไรข้าวสาลีก็มีรสหวาน นุ่มและเหนียว ข้าวสาลีดังกล่าวเหมาะสมยิ่งต่อการทำหมั่นโถว ขนมปัง เกี๊ยวหรือบะหมี่
สืบเนื่องจากความรู้ที่เขามีอยู่นั้น เขาพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะคิดค้นสูตรใหม่ๆขึ้นมาได้ หรือจะพูดให้ถูกก็คือเขารู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับการทำขนมแต่หยวนโจวไม่เพียงแค่มีความรู้ในการทำขนมเมื่อตอนที่เตรียมหมั่นโถวไหมพันเส้นเท่านั้น แต่เขายังผสมผสานความรู้ด้านอื่นๆระหว่างการเตรียมอาหารจานนี้ลงไปด้วย
คนที่มุ่งเน้นไปที่การเรียนเพียงอย่างเดียวอาจจะมีความเชี่ยวชาญในสิ่งนั้น แต่หยวนโจวกลับมีความรู้กว้างขวางและสามารถผนวกเข้าด้วยกันได้อย่างแนบเนียน จี้อี้แหงนหน้าแล้วรำพึงออกมาพลางมองหยวนโจว “อายุยังน้อยอยู่แท้ๆ”
เขาไม่พูดให้จบประโยค ที่จริงเขาพยายามที่จะบอกว่าหยวนโจวมีความรู้ความสามารถทั้งๆที่มีอายุเพียงเท่านี้อยู่แท้ๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ตาแก่อย่างเราๆก็ควรจะสนุกสนานไปกับการเกษียณตัวเองเสียหน่อยสิ” หลิวจางไม่ใส่ใจแถมยังกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มอีกต่างหาก
“จริงด้วย งั้นฉันก็จะลองชิมอาหารจานอื่นที่ได้รับคำชมอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้นดูบ้างล่ะ” จี้อี้ยังคงรู้สึกท้อใจ แต่เขากลับไม่ยินดีที่จะแสดงให้เห็นต่อหน้าหลิวจาง ดังนั้นเขาจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มกินอาหารจานอื่นๆ
หลิวจางไม่พูดอะไรอีกและกินอาหารของเขาต่อไป มีลูกค้ารายใหม่ที่เพิ่งจะมาถึงโต๊ะข้างเคียงกับเขา พวกเขาก็คือฉินเสี่ยวอี้กับเกาฟ่านนั่นเอง
“นายรู้สึกว่าคราวนี้ก๋วยเตี๋ยวน้ำใสอร่อยขึ้นไหม?” ฉินเสี่ยวอี้ถามพลางถองใส่เกาฟ่าน
เกาฟ่านไม่ตอบและกินก๋วยเตี๋ยวน้ำใสของตัวเองต่อไป ไม่ใช่เพราะเขากำลังหิวอะไรหรอก นี่ก็เป็นแค่ความเคยชินจากการต่อสู้กับอู๋ไห่หลายต่อหลายครั้ง เมื่อไหร่ก็ตามที่เขากินบางอย่างในร้านหยวนโจวอยู่ เขาก็จะกินด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้จากปฏิกิริยาสะท้อนกลับเพื่อมิให้ฝ่ายตรงข้ามได้โอกาส
สองนาทีต่อมาก็เหลือแค่น้ำซุปของก๋วยเตี๋ยวน้ำใสเพียงเท่านั้น ในที่สุดเกาฟ่านก็เงยหน้าขึ้นมามองฉินเสี่ยวอี้ “อร่อยขึ้นไหมเหรอ? ฉันก็ไม่รู้หรอกนะ แต่ยอดเยี่ยมมากเชียวล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะมีงบจำกัดล่ะก็ฉันจะสั่งเซ็ตก๋วยเตี๋ยวน้ำใสที่อยู่ด้านบนสุดมาอีกด้วยซ้ำไป”
“นายมันเป็นหมูตัวนึงไปแล้ว ฉันไม่น่าถามนายเลย” ฉินเสี่ยวอี้ส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง ถึงแม้ว่านี่จะเป็นครั้งที่สองที่เขาได้มากินก๋วยเตี๋ยวน้ำใสที่นี่กับครั้งแรกเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว เขาก็สามารถรู้สึกได้ว่ารสชาติดีขึ้นจริงๆ ฉินเสี่ยวอี้ไม่เพียงเป็นคนฉลาดเท่านั้น ทว่าต่อมรับรสของเขาก็ค่อนข้างเฉียบคมมากด้วย
หยวนโจวหมดเวลาไปอย่างไร้ค่ากับการแอบฟังพวกเขาคุยกัน เขาลอบยิ้มให้ตัวเองก่อนที่จะมองฉินเสี่ยวอี้ด้วยความประหลาดใจ
ควรรู้ว่าตอนที่หยวนโจวได้รับรางวัลจากเจ้าระบบอย่างข้าวผัดไข่และอื่นๆเป็นครั้งแรกนั้น สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นรางวัลแสดงความโง่ทั้งสิ้น
รางวัลแสดงแสดงความโง่คืออะไรงั้นเหรอ? ยกตัวอย่างเช่นข้าวผัดไข่ก็แล้วกัน มันเป็นอาหารจานแรกที่หยวนโจวได้รับมาเลยเชียวล่ะ มีวิธีทำข้าวผัดไข่อยู่มากมาย บางวิธีก็จะมีความแตกต่างด้านระยะเวลาในการเตรียม ขณะที่บางอย่างจะมีความแตกต่างด้านจำนวนของวัตถุดิบ
อันที่จริงแล้วความแตกต่างกันเพียงน้อยนิดสามารถเปลี่ยนรสชาติของอาหารให้ดีขึ้นหรือแย่ลงได้เลย เนื่องจากเป็นรางวัลในครั้งแรก เจ้าระบบจึงเลือกสูตรอาหารที่สมบูรณ์แบบมากที่สุดให้หยวนโจว
ตอนนี้ภายใต้การเรียกร้องของหยวนโจว เจ้าระบบจะมอบสูตรอาหารต่างๆให้แก่หยวนโจว หยวนโจวจะได้รับอนุญาตให้เลือกได้เองว่าเขาอยากจะทำอาหารอย่างไรกันแน่ ยกตัวอย่างเช่นมีสูตรหางไก่ย่างเห็ดมากกว่า 100 อย่าง บางอย่างจะถูกสร้างขึ้นให้มีความแตกต่างในวันถัดมาหลังจากอาหารจานนี้
นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้แต่ละครั้งหยวนโจวจะวางจำหน่ายอาหารจานใหม่ๆเขาจึงต้องเสียเวลาไปวันหนึ่งเพื่อทำการทดสอบนั่นเอง เขาอยากใช้วิธีการเตรียมที่ดีและเหมาะสมที่สุดเพื่อนำไปใช้กับสูตรอาหารที่ดีที่สุด ดังนั้นอาหารของหยวนโจวจึงมักจะดีขึ้นอยู่เสมอ
แน่นอนว่ายิ่งมีความเชี่ยวชาญก็จะพัฒนาขึ้นไปทีละเล็กทีละน้อย หยวนโจวสามารถมองเห็นพัฒนาการของตัวเองได้ตลอดเวลาและเขาก็มีความสุขที่ได้เห็นมันเช่นกัน แต่มีลูกค้าเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่สามารถสัมผัสได้ถึงพัฒนาการในอาหารของเขาจริงๆ
หยวนโจวรู้ย่อมสึกดีที่มีคนสังเกตเห็นพัฒนาการของเขา สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตมีความหมายมากขึ้น
บรรยากาศในร้านหยวนโจวสอดประสานไปกับทุกคนที่กำลังเพลิดเพลินกับอาหารกลางวันอย่างสุขสันต์ ในขณะเดียวกัน สิ่งต่างๆกลับไม่เข้ากับโจวซื่อเจี๋ยเอาเสียเลย
“ว่าไงนะ?” โจวซื่อเจี๋ยถามพร้อมขมวดคิ้วพลางจ้องมองจงลี่ลี่
“หัวหน้าเลขาของสมาพันธ์เชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีมาที่เฉิงตูแปดวันแล้ว วันนี้เขาไปร้านหยวนโจวทันทีที่ร้านเปิดเลยล่ะครับ” จงลี่ลี่บอกข่าวที่ได้มาซ้ำอีกครั้ง
“ตาเฒ่านั่นมาทำอะไรที่นี่กันนะ?” โจวซื่อเจี๋ยถามความฉงนสนเท่ห์
“ทำไมนายไม่บอกฉันก่อน?” โจวซื่อเจี๋ยเงยหน้าขึ้นแล้วถามอีกที
“เพราะเมื่อสองสามวันก่อนหัวหน้าเลขาเอาแต่ใช้เวลาอยู่กับหลิวจางเพื่อนเขาอยู่น่ะสิครับ” จงลี่ลี่ตอบ
“พวกเขาไม่ถูกกันไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงอยู่ด้วยกันนานขนาดนี้ได้เล่า?” โจวซื่อเจี๋ยรู้สึกสับสนมากขึ้นเรื่อยๆ
ควรรู้ว่าทั้งจี้อี้กับหลิวจางต่างมีชื่อเสียงในแวดวงการทำอาหาร คนนอกที่ไม่ทราบเรื่องของทั้งสองคนนี้ย่อมต้องคิดว่าทั้งสองคนนี้ไม่ถูกกันและจะเริ่มโต้เถียงกันทุกทีที่ได้เจอหน้ากัน
นั่นก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้โจวซื่อเจี๋ยรู้สึกสับสนเมื่อได้ยินว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันมาตั้งแปดวันแล้ว พวกเขาน่าจะเริ่มต่อสู้กันทันทีที่เจอหน้ากันมากกว่า
“เถ้าแก่หยวนไปต่างประเทศเพื่อเสาะหาอาหารอร่อยเมื่อเจ็ดวันที่ผ่านมา บางทีพวกเขาอาจจะอยู่กับเขาก็ได้นะครับ?” จงลี่ลี่เสนอแนะ
“หยวนโจวงั้นรึ? จริงสินะ เจ้าเด็กนั่นก็ถนัดอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีเหมือนกันนี่นา หรือตาเฒ่านั่นมาถึงที่นี่เพื่อแย่งเขาไป?” โจวซื่อเจี๋ยถาม
เท่าที่โจวซื่อเจี๋ยเข้าใจ จี้อี้อยู่ที่นี่มาเจ็ดวันแล้วก็รีบพุ่งไปที่ร้านหยวนโจวทันทีที่หยวนโจวเปิดร้าน สาเหตุเดียวที่เขาจะทำเช่นนั้นก็เพื่อรับหยวนโจวเข้าสมาพันธ์เชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีนั่นเอง
“คนผู้นั้นกำลังจะแย่งคนไปจากฉันจริงๆสินะ? ฮึ!” โจวซื่อเจี๋ยลุกขึ้นแล้วสวมเสื้อแจ็คเก็ต เห็นได้ชัดเลยว่ากำลังเตรียมจะไปที่ไหนสักแห่ง
เป็นเรื่องหาได้ยากยิ่งที่โจวซื่อเจี๋ยจะกระตือรือร้นมากขนาดนี้ สิ่งนี้สร้างความตกตะลึงให้จงลี่ลี่เป็นอันมาก
“ท่านประธาน? ลุงโจว จะไปไหนเหรอครับ?” จงลี่ลี่ถามขึ้น
“แน่นอนว่าฉันต้องกลับไปพาหยวนโจวให้เข้าสู่เส้นทางที่ถูกที่ควรน่ะสิ เขาเป็นคนในแวดวงการทำอาหาร ฉันจะปล่อยให้เขากลายเป็นช่างทำขนมได้อย่างไรกัน?” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวแล้วเดินออกไป
คืนก่อนสงครามแห่งพรสวรรค์จึงมาถึงด้วยประการฉะนี้