อยากกินไหมล่ะ - ตอนที่ 793 วันหยุดอีกวันงั้นหรือ?
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 793 วันหยุดอีกวันงั้นหรือ?
โจวซื่อเจี๋ยรีบพุ่งตัวไปที่ร้านหยวนโจว แวดวงของเชฟไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็กเช่นกัน จี้อี้เป็นหนึ่งในผู้ที่มีฝีมือดีที่สุดในแวดวงอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลี ดังนั้นโจวซื่อเจี๋ยจึงรู้จักจี้อี้เป็นอย่างดี
สิ่งนี้เห็นได้ชัดจากการสนทนาของเขากับจงลี่ลี่ แถมยังมีเรื่องพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมในการทำอาหารพวกต้มมากกว่าที่จะมุ่งเน้นไปยังอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีแทนในอดีตที่ผ่านมา
ถ้ามีคนมาถามเรื่องความประทับใจที่โจวซื่อเจี๋ยมีต่อจี้อี้ เขาก็จะตอบโดยไม่ลังเลเลยว่าจี้อี้เป็นจอมฉก เขาจะมีส่วนร่วมในบางเรื่องที่เขาพบว่ามีประโยชน์ด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลี
ในขณะเดียวกัน จี้อี้ก็เพิ่งจะกินอาหารที่หลิวจางสั่งในร้านหยวนโจวหมด
ลูกตาของเขาเริ่มกลอกไปมา ส่วนฟันเฟืองในสมองก็เริ่มส่งเสียงดังคลิ๊ก
“คุณได้เรียนรู้อะไรไปบ้างแล้วล่ะครับ?” หลิวจางถามด้วยรอยยิ้ม
จี้อี้เหลือบมองหลิวจางแล้วกล่าวว่า “อย่างกับคุณไม่ใช่เชฟงั้นแหละ ทำไมคุณถึงได้ใจแคบอย่างนั้นเล่า?”
บางคนอาจจะบอกว่าความหวานเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็สามารถตรวจพบได้เพียงแค่ให้ความสนใจกับอาหารอย่างจริงจัง ดังนั้นจึงนับเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์
แต่ความจริงก็คือเมื่อฝีมือการทำอาหารของคนผู้หนึ่งมาถึงขั้นนี้แล้ว ทางเดียวที่จะสามารถแข่งขันกับผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันได้ก็คือรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเช่นนี้นั่นเอง ความหวานตามธรรมชาติของแป้งย่อมให้ความรู้สึกที่ดีและกลมกล่อมมากกว่าความหวานสังเคราะห์จากการเติมน้ำตาลลงในอาหาร
อย่างที่กล่าวไปแล้ว สงครามระหว่างผู้มีอิทธิพลสามารถสิ้นสุดลงได้ในชั่วมิลลิวินาที สิ่งนี้ก็สามารถนำมาใช้ในฝีมือการทำอาหารได้เช่นเดียวกัน
“ตาเฒ่าจี้ พูดแบบนี้ก็เท่ากับนายยอมรับความพ่ายแพ้ไปแล้วน่ะสิ” หลิวจางเป็นคนที่สามารถกระตุ้นผู้อื่นได้หน้าตาเฉย
เมื่อจี้อี้มองหลิวจางที่มีใบหน้าเฉยเมยขณะที่กล่าวคำพูดพวกนั้นออกมา จากนั้นเขาก็เกิดอยากตีคนขึ้นมาเสียดื้อๆ
เขารู้ว่าทำอย่างไรก็เถียงไม่ชนะหลิวจาง ดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะถามอีก แต่เขากลับหันหน้าไปหาหยวนโจวและพูดขึ้นมาว่า “เถ้าแก่หยวน อีกไม่นานกำลังจะมีการแข่งขันที่น่าสนใจ คุณสนใจที่จะเข้าร่วมไหมล่ะ?”
จี้อี้เข้าใจเลือกจังหวะได้อย่างเหมาะเจาะ เขาจะพูดเฉพาะเมื่อหยวนโจวอยู่ว่างๆเท่านั้น หยวนโจวแสดงท่าทีว่าเขากำลังฟังและรอคอยสิ่งที่จี้อี้จะพูดต่อไป
“ศาสตร์การทำอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีมีประวัติความเป็นมาอันยาวนานโดยมีวิธีการทำอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีอยู่อีกมากมายที่ถูกปิดบังจากรายงาน”
จี้อี้ชะงักไปแล้วพูดต่อว่า “ดังนั้นสมาพันธ์เชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีแห่งประเทศจีนจึงวางแผนที่จะจัดการแข่งขันระดับชาติขึ้น”
อันที่จริงแล้วในฐานที่เป็นหัวหน้าเลขาของสมาพันธ์เชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีแห่งประเทศจีน นี่คือการแข่งขันที่เขาวางแผนเอาไว้และเห็นชอบด้วย
“พวกเรากำลังรวบรวมเชฟหน้าใหม่ที่ปรุงอาหารขึ้นมาจากข้าวสาลีจากทั่วประเทศมาก่อนที่จะทำการทดสอบพวกเขาอีกที พวกคนที่ผ่านการทดสอบจะได้รับการบันทึกประวัติเอาไว้ โดยเอกสารพวกนี้จะถูกใส่ลงในพิพิธภัณฑสถานด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีแห่งประเทศจีน”
นี่เป็นการรักษาฝีมืออย่างหนึ่งเอาไว้ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ดี แต่เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับหยวนโจวด้วยเล่า? เขาจะต้องเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ในฐานเชฟหน้าใหม่ที่ปรุงอาหารขึ้นมาจากข้าวสาลีด้วยงั้นหรือ?
เห็นได้ชัดว่าด้วยสถานะในตอนนี้ของหยวนโจวคงไม่เหมาะที่จะเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ในฐานเชฟหน้าใหม่ที่ปรุงอาหารขึ้นมาจากข้าวสาลี ผู้ชมจะทราบได้ทันทีว่านี่คือหยวนโจวผู้แสนหล่อเหลาและไร้ซึ่งความกังวลใจที่มีชื่อเสียงโด่งดังด้วยการมองเพียงปราดเดียว จากนั้นพวกเขาก็จะคาดเดาไปต่างๆนานาราวกับมีเรื่องอื้อฉาวกำลังตั้งเค้าอยู่เบื้องหลังหลายๆเหตุการณ์
นี่คือความคิดเห็นของหยวนโจว คนส่วนใหญ่ตระหนักดีว่าเชฟหน้าใหม่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ไม่มีชื่อเสียงอะไรทว่ากลับเปี่ยมไปด้วยฝีมือเป็นอันมาก
ส่วนการเข้าร่วมการแข่งขันในฐานกรรมการผู้ตัดสินแทน หยวนโจวคงไม่มีเวลาพอสำหรับเรื่องนั้นหรอก
สิ่งที่จี้อี้กำลังจะกล่าวต่อไปช่วยขจัดความสงสัยของหยวนโจวได้โดยสิ้นเชิง “เพื่อโปรโมตการแข่งขันในครั้งนี้ พวกเราจะถ่ายวิดีโอออกมาห้าแบบเพื่อให้ผู้ชมเริ่มคาดเดาตัวตนของเชฟทั้งหลาย ผมหวังว่าคุณจะสามารถอยู่หนึ่งในห้าของวิดีโอได้นะ”
หยวนโจวลูบคางแล้วพินิจพิเคราะห์ อีกไม่นานรายการโรล เดียร์ บีฟก็จะมาถ่ายทำเช่นเดียวกัน เขาสงสัยว่าเวลาจะกระชั้นเกินไปหรือไม่
ก่อนที่หยวนโจวจะตอบนั้น เจ้าระบบก็มีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาทันที
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ขอแสดงความยินดีด้วยนะเจ้านาย คุณได้กระตุ้นภารกิจความก้าวหน้าของตำแหน่งเข้าแล้ว คุณจะรับภารกิจหรือไม่?”
หยวนโจวถามเมื่อเห็นภารกิจ “เจ้าระบบแกถูกระบบอื่นควบคุมอยู่ใช่ไหม? แต่ก่อนแกจะเอาแต่เงียบอยู่เป็นนานหลังจากบรรลุภารกิจหลักก่อนที่จะประกาศอีกภารกิจ แต่ตอนนี้แกกลับมาประกาศภารกิจต่อมาทันทีเลย”
เจ้าระบบเงียบไปแล้ว แต่หยวนโจวก็ยังรู้สึกไม่ชอบมาพากล
เมื่อจี้อี้เห็นว่าหยวนโจวกำลังเหม่อและเอาแต่เงียบอยู่เป็นนาน เขาจึงเข้าใจผิดคิดว่าหยวนโจวมีเหตุผลส่วนตัวที่ไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้ ดังนั้นเขาจึงถามขึ้นมาว่า “เถ้าแก่หยวน คุณมีปัญหาอะไรในการเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้หรือเปล่า? บอกมาได้เลยนะ”
หยวนโจวถาม “จะใช้เวลาถ่ายทำนานขนาดไหนเหรอครับ?”
“ไม่นานเท่าไหร่หรอก คุณแค่ทำตัวให้ว่างสักวันก็พอ ผมจะจัดการทุกอย่างให้คุณเอง” จี้อี้ตอบ
“หนึ่งวัน…” หยวนโจวเงียบไปเป็นนานก่อนที่จะตอบว่า “นับเป็นเกียรติที่ผมได้ทำอะไรเพื่อประเทศของเรา แต่ผมเพิ่งจะกลับมาจากประเทศไทยได้แค่เจ็ดวัน ถ้าหากผมต้องออกเดินทางอีกที…”
ก่อนหยวนโจวจะกล่าวจบประโยค จี้อี้ก็พูดขึ้นมาว่า “ก็แค่หยุดอีกวันเดียวเองนี่”
ทันทีที่กล่าวคำพูดเหล่านี้ออกมา ความสับสนอลหม่านก็พลันบังเกิดขึ้นในร้านหยวนโจว
“คุณเห็นแก่ตัวเกินไปแล้วนะ ถ้าหากคุณไม่ได้กินอาหารของเถ้าแก่หยวนสักสองสามวันดูซิว่าคุณจะสามารถนอนหลับยามค่ำคืนได้ไหม?” หม่าจื้อต๋ากล่าว
“ใช่แล้วล่ะ เถ้าแก่หยวนของเราเป็นสุดยอดเชฟผู้ขยันขันแข็งและตรากตรำทำงานหนักที่ทั้งฉลาดและหล่อเหลาอีกต่างหาก เขาไม่ฟังคุณหรอกน่า” หญิงสาวผู้หนึ่งเริ่มเอ่ยคำชื่นชมหยวนโจว
หยวนโจวยังคงรักษาสีหน้าเคร่งขรึมเอาไว้ขณะที่ได้ยินเช่นนี้ ทว่าเขากลับเห็นด้วยกับคำพูดพวกนั้นมาก
“เถ้าแก่หยวน วิดีโอโปรโมตครั้งนี้เป็นเรื่องขี้ปะติ๋วสำหรับนาย แต่ฉันไม่คิดว่านายจะต้องรีบเร่งทำมันมากขนาดนั้นเสียหน่อย” หลิงหงกล่าว
“ใช่เลย คุณไม่เห็นต้องรีบเร่งขนาดนั้นก็ได้” บรรดาลูกค้าคนอื่นๆต่างพากันพยักหน้า
“ซาลาเปาจี้ ลืมมันไปเสียเถอะ หยวนน้อยเป็นหนึ่งในคนของผมนะ คุณกำลังพยายามจะถ่ายวิดีโอโปรโมตคนของผมโดยไม่คิดจะถามผมสักนิดเลยหรือไง?” ในที่สุดโจวซื่อเจี๋ยก็มาถึง
“ประธานสมาพันธ์การทำอาหารก็อยู่ที่นี่ด้วย สวัสดีครับ” จี้อี้ลุกขึ้นแล้วกล่าวคำทักทายด้วยรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้า เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ละอายใจสักนิดที่พยายามจะแย่งตัวเชฟจากสมาพันธ์การทำอาหาร
“อืม” โจวซื่อเจี๋ยพยักหน้าก่อนที่จะหันไปคุยกับหยวนโจว
“หยวนน้อย เวลาอาหารกลางวันของคุณยังไม่หมดนะ กลับไปทำงานต่อเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ ถึงยังไงคุณก็เป็นหนึ่งในด้านการทำอาหารของเรา ผมจะจัดการเรื่องนี้ให้คุณเอง” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวอย่างใจกว้าง
หยวนโจวเหลือบมองบรรดาลูกค้าของเขาอยู่ไกลๆก่อน แล้วค่อยมองไปทางท่าทีคาดหวังของจี้อี้และในที่สุดก็มองไปทางท่าทีจริงจังของโจวซื่อเจี๋ยก่อนที่จะพยักหน้า “ผมคงต้องรบกวนคุณเสียแล้วล่ะครับ ท่านประธาน”
เป็นอย่างที่หยวนโจวกล่าวไว้ก่อนหน้านี้เลย เขาอยากให้ความช่วยเหลือด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลี แต่ติดปัญหาเรื่องร้านของเขานี่แหละ เขาไม่สามารถลาหยุดซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ นอกจากนี้เขาก็ยังตระหนักถึงเรื่องที่โจวซื่อเจี๋ยคอยดูแลเขาเป็นอย่างดีตลอดมาอีกด้วย
เนื่องจากโจวซื่อเจี๋ยอยากจัดการเรื่องนี้ให้เขา หยวนโจวจึงไม่สนใจอีก ตามความเข้าใจของหยวนโจว การให้โจวซื่อเจี๋ยเป็นคนจัดการเรื่องนี้โดยใช้ฐานะความเป็นประธานสมาพันธ์การทำอาหารของเขาน่าจะเป็นเรื่องเหมาะสมมากกว่า
“ซาลาเปาจี้ ออกมาคุยกันข้างนอกเถอะ อย่าไปรบกวนกิจการของหยวนน้อยเลยนะ ไปกันเถอะ” โจวซื่อเจี๋ยรู้สึกพอใจอยู่ลึกๆ แต่เขากลับยังรักษาใบหน้าอันเคร่งขรึมเอาไว้ขณะที่พูดคุยกับจี้อี้
“เอาล่ะๆ ผมไม่รบกวนคุณแล้ว หยวนน้อย ผมจะมาลองชิมหมั่นโถวน้ำแร่วันหลังก็แล้วกัน ผมได้ยินมาว่าอร่อยเหมือนกันเลยนี่” จี้อี้กล่าวพลางยิ้ม
“ด้วยความยินดีครับ” หยวนโจวพยักหน้า
“ไปกันเถอะ” จี้อี้พยักหน้าก่อนที่จะบอกหลิวจาง
พวกเขาออกจากร้านไปแล้ว ส่วนบรรดาลูกค้าคนอื่นๆต่างพากันเบนสายตาไปมองหยวนโจวอีกครั้ง ทุกคนเฝ้ารอคอยคำตอบของหยวนโจวอยู่ไกลๆ