อยากกินไหมล่ะ - ตอนที่ 796 เฝ้ารอผู้กำกับที่น่าอัศจรรย์
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 796 เฝ้ารอผู้กำกับที่น่าอัศจรรย์
ในขณะที่กำลังพูดว่าคนรุ่นใหม่เก่งกว่าคนรุ่นเก่าอยู่นั้น จู่ๆโจวซื่อเจี๋ยก็รู้สึกว่าเขาแก่ตัวลงมากแล้ว
มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่จะมีความรู้สึกเช่นนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าหยวนโจว
“คุณก็ยังเด็กอยู่เลยนี่ครับ” หยวนโจวปลอบโยนเขา
วิธีการพูดของหยวนโจวช่างแสนตรงไปตรงมาและทื่อมะลื่อราวกับว่าเขาแค่พูดเรื่องจริงอย่างไรอย่างนั้น นั่นกลับทำให้โจวซื่อเจี๋ยรู้สึกดีขึ้นมาก เขาถือโทรศัพท์อยู่แล้วจู่ๆก็ระเบิดหัวเราะออกมา
“อืม ผมยังเด็กอยู่มากเลย ผมยังไม่ทันได้เห็นช่วงเวลาที่คุณไปถึงจุดสุดยอดของฝีมือการทำอาหารของคุณเลยนี่นา ใช่แล้วล่ะ จริงๆแล้วผมยังเด็กอยู่มากเลย” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวพลางอมยิ้ม ถึงแม้ว่าอาหารมากมายหลายอย่างที่หยวนโจวมีความเชี่ยวชาญต่างมาถึงขั้นสูงสุดแล้ว แต่เขาก็ยังมีหนทางอีกยาวไกลให้ก้าวเดินต่อไปในด้านชื่อเสียงหรืออาหารประเภทต่างๆที่เขามีความเชี่ยวชาญ
“อืม” หยวนโจวทราบเรื่องนั้นดีจึงทำให้เขาไม่มีทางชะล่าใจเกินไปนัก การเดินทางไปต่างประเทศเมื่อไม่นานมานี้ก็นับเป็นตัวอย่างที่ดี ร้านหยวนโจวไม่เป็นที่รู้จักในประเทศไทยเอาเสียเลยจริงๆ
พูดกันจริงๆก็คือมันยังเร็วเกินไปที่จะเอ่ยถึงประเทศไทย จากการประเมินอันเที่ยงตรงของเจ้าระบบ เขาแค่เป็นที่รู้จักในมณฑลเสฉวนเท่านั้นหาใช่ทั่วประเทศ
แต่หยวนโจวกลับเชื่อว่าเขากลายเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศโดยไม่ต้องสงสัยหลังจากเข้าร่วมการประชุมแลกเปลี่ยนวิชาระหว่างจีนและญี่ปุ่นครั้งที่สองและมีชื่อเสียงไปทั่วชุมชนออนไลน์ แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครที่ทราบมาตรฐานการประเมินของเจ้าระบบจึงมีความเป็นไปได้ว่าเจ้าระบบกำลังแก้แค้นเขาอยู่ นี่คือสิ่งที่หยวนโจวแอบคิดอยู่
แต่หยวนโจวหาได้ต่อว่าเจ้าระบบในเรื่องนี้ ถึงอย่างไรเขาก็คงจะบรรลุเป้าหมายของตัวเองได้ในสักวันหนึ่ง
“ก่อนหน้านี้ผมได้ยินมาจากจงลี่ลี่ว่าคุณจับโจรที่ขโมยของบนถนนได้นี่ครับ” หยวนโจวเริ่มคุยเรื่องอื่น
เขายังจำได้ว่าทุกคนต่างพากันตกตะลึงตอนที่จงลี่ลี่เล่าเรื่องนี้ในร้านของเขา ตามที่จงลี่ลี่เล่ามา ตอนนั้นมีคนเจอหัวขโมยจึงร้องตะโกนไปตามถนน แต่กลับไม่มีคนไปตามจับหัวขโมยเลย ตอนที่หัวขโมยที่แต่งกายด้วยเสื้อฮู้ดสีดำกำลังจะหลบหนีไปนั้นเอง โจวซื่อเจี๋ยก็เขวี้ยงกระเป๋าสะพายของจงลี่ลี่ใส่หัวขโมยผู้นั้นในทันที
เอ่อ… ไม่ค่อยมีอะไรอยู่ในกระเป๋าสะพายของจงลี่ลี่มากนักหรอกอย่างเก่งก็มีแค่ขวดแล้วก็ขวดเครื่องสำอางอยู่ในขวดและภาชนะต่างๆ พอถูกกระเป๋าสะพายกระแทกใส่ เจ้าหัวขโมยในเสื้อฮู้ดก็ล้มลง จากนั้นโจวซื่อเจี๋ยก็จับหัวขโมยแล้วกำหราบเสียอยู่หมัด
ทุกการกระทำของเขาเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติและลื่นไหลราวกับเมฆาเคลื่อนคล้อยสายน้ำไหลริน แต่ทว่ากลับสร้างความตกใจแก่จงลี่ลี่อย่างแท้จริง โจวซื่อเจี๋ยอายุอานามก็ปาเข้าไปกว่า 50 ปีแต่กลับยังมีท่าทีดุเดือดอย่างน่าประหลาด ถ้าเกิดหกล้มหรือเจ็บตัวขึ้นมาจะทำอย่างไรกันเล่า? เมื่อตอนที่จงลี่ลี่กินอาหารอยู่ในร้านหยวนโจวแล้วเล่าเรื่องนี้อยู่นั้นดูค่อนข้างขุ่นเคืองมากทีเดียว แทนที่คนหนุ่มที่จะอยู่ข้างๆจะทำหน้าที่ผดุงความยุติธรรมกลับเป็นชายชราคนหนึ่งไปเสียได้
พอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา โจวซื่อเจี๋ยกลับมีความคิดเห็นที่ค่อนข้างต่างออกไป เขาพูดทางโทรศัพท์ว่า “ผู้คนมักจะบอกอยู่เสมอว่ามีคนที่กล้าออกโรงปกป้องผู้อ่อนแอในสังคมน้อยลงเรื่อยๆ แต่ผมกลับไม่คิดแบบนั้นหรอกนะ มีคนมากมายอยู่ในเหตุการณ์และทุกคนเชื่อว่าถึงผมจะไม่ทำเช่นนั้นก็ต้องมีคนอื่นมาช่วยอยู่ดีนั่นแหละ”
“ในความคิดเห็นของผม นั่นเป็นเรื่องที่มีเหตุผลทีเดียว ผมไม่คิดว่าเป็นเพราะความเพิกเฉยที่ระงับมิให้คนมากมายให้ความช่วยเหลือหรอกนะ คนเราต้องหัดมองด้านดีเข้าไว้ ถ้าหากพวกเราเอาแต่มองด้านไม่ดีก็ไม่น่าจะมีชีวิตที่ดีไปได้หรอก” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “นอกจากนั้นทุกวันนี้ผู้คนมากมายก็เอาแต่พูดเรื่องความแก่ชรา ผมก็แค่ทำสิ่งที่พอจะทำได้เพื่อเป็นปากเป็นเสียงแทนคนแก่อย่างเราๆก็เท่านั้นเองแหละ”
ส่วนเรื่องกำหราบหัวขโมยด้วยวัยกว่า 50 นั้น เอ่อ… ก็นับว่าเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่งที่สามารถทำได้เชียวล่ะ ยอดไปเลย
“เอาล่ะ เลิกคุยเรื่องนี้เถอะ บอกผมมาซิว่าคุณพอจะมีเวลาช่วงเย็นวันไหน ผมจะได้ไปขอให้ซาลาเปาจี้ไปจัดการเรื่องบางอย่างมาให้” โจวซื่อเจี๋ยยุติหัวข้อสนทนาเสียก่อนแล้วเริ่มคุยธุระ
“ช่วงที่ผับเปิดตอนกลางคืน ผมไม่ต้องเข้าไปจัดการครับ” หยวนโจวนึกสักครู่แล้วกล่าวขึ้นมา
“ถ้างั้นคุณก็ว่างหลังสองทุ่มครึ่งใช่ไหม?” โจวซื่อเจี๋ยกล่าว เขาแน่ใจเรื่องเวลาเปิดร้านของร้านหยวนโจวมากทีเดียว
“ครับ หลังสองทุ่มครึ่ง” หยวนโจวกล่าวยืนยัน
“โอเค คุณอยากจะพักผ่อนสักสองสามวันก่อนหรือว่าจะเริ่มถ่ายทำพรุ่งนี้เลยดี?” โจวซื่อเจี๋ยถามอย่างละเอียด
“เริ่มพรุ่งนี้ตอนค่ำเลยเถอะครับ” หยวนโจวกล่าว เขาไม่อยากเลื่อนเวลาออกไป ถ้าหากมีบางอย่างที่เขายังทำไม่เสร็จก็จะทำให้รู้สึกไม่สบายใจเอาได้
“ดีล่ะ ผมจะได้ไปบอกให้ซาลาเปาจี้จัดการเรื่องนี้ให้ พอถึงเวลานั้นเขาจะไปหาคุณเอง” โจวซื่อเจี๋ยกล่าว
“ไม่มีปัญหาครับ แต่ผมไม่อยากให้มีคนอยู่ที่นี่เยอะเกินไป สถานที่มันเล็กน่ะครับ” หยวนโจวนึกอยู่สักครู่แล้วกล่าวขึ้นมา
“เจ้าเด็กบ้า แล้วทำไมถึงไม่เปลี่ยนสถานที่ให้มันใหญ่ขึ้นกันเล่า?” โจวซื่อเจี๋ยหัวเราะและด่าเขา
“ก็ที่นี่มันเงียบสงบดีนี่ครับ” หยวนโจวกล่าวอย่างสุภาพ
“เอาล่ะๆ ไม่ว่าคุณจะชอบแบบไหน ผมจะบอกให้พวกเขาพาคนมาที่นี่น้อยๆก็แล้วกันนะ” โจวซื่อเจี๋ยไม่พูดเรื่องร้านหยวนโจวอีกได้แต่ตอบรับคำขอของหยวนโจว
“ขอโทษที่รบกวนด้วยนะครับ ท่านประธาน” หยวนโจวกล่าวอย่างสุภาพ
“ไม่ต้องสุภาพขนาดนี้ก็ได้ แค่บอกผมตอนที่เสิร์ฟอาหารจานใหม่ก็พอ” โจวซื่อเจี๋ยกล่าว
“ได้เลยครับ” หยวนโจวตอบ
“โอเค ผมจะหุบปากให้สนิทเลยเชียวล่ะ ไหนๆคุณก็เพิ่งจะกลับมาพักผ่อนเสียเถอะนะ” โจวซื่อเจี๋ยแนะนำ
“ลาก่อนครับ” หลังจากกล่าวเช่นนั้นออกมา หยวนโจวก็รอจนกระทั่งโจวซื่อเจี๋ยวางสายไปแล้วค่อยวางสายเช่นเดียวกัน
“เจ้าเด็กนี่ช่างได้รับความนิยมเสียจริงๆ” ท่าทางปีติยินดีและอึดอัดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโจวซื่อเจี๋ย
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งแล้วเตรียมโทรหาจี้อี้เพื่อให้จัดการเรื่องถ่ายวิดีโอ
จะว่าไปแล้วโจวซื่อเจี๋ยก็ไม่เคยเปิดเผยออกมาเลยว่าวงการทำอาหารและวงการขนมต่างกำลังเฟ้นหาผู้มีพรสวรรค์ต่อหน้าหยวนโจว แม้แต่จี้อี้ก็ไม่เคยเปิดเผยเรื่องนั้นเช่นกัน
ถึงอย่างไรหยวนโจวก็ต่างไปจากผู้มีพรสวรรค์คนอื่นๆ เขาทำได้ยอดเยี่ยมทั้งสองวงการจึงไม่ต้องไปพะวงกับเรื่องเหลวไหลไร้สาระพรรค์นั้นเลย
ดังนั้นทั้งโจวซื่อเจี๋ยหรือจี้อี้จึงไม่ได้เฝ้าถามหยวนโจวว่าเขาจะเลือกวงการไหนแม้ว่าภายนอกพวกเขาจะต่อสู้กันอย่างดุเดือดเพื่ออัจฉริยะผู้นี้ก็ตามที
ถึงอย่างไรหยวนโจวก็ยังเด็กอยู่และสามารถก้าวหน้าได้อีกมากในอนาคต พวกเขาจึงไม่อยากเข้าไปขัดขวางความก้าวหน้าของเขาเพราะเรื่องเหลวไหลไร้สาระพรรค์นั้น
แน่นอนว่าจี้อี้กับโจวซื่อเจี๋ยย่อมคิดเหมือนกัน ถ้าหากอยากจะต่อสู้กันคงได้แต่ออกไปข้างนอกกันแล้ว
วิดีโอไม่ยาวสักเท่าไหร่นัก แต่จำนวนของเจ้าหน้าที่กลับไม่สามารถลดลงได้ตามอำเภอใจ ตามคำขอของหยวนโจว จี้อี้บอกให้ผู้กำกับลดเจ้าหน้าที่ให้ได้มากที่สุดและเหลือไว้แค่บุคลากรที่จำเป็นเท่านั้น เมื่อรวมผู้กำกับเข้าไปแล้วก็มีทั้งสิ้นเจ็ดคน พวกเขาต่างพากันมุ่งหน้าไปร้านหยวนโจวด้วยความเร่งรีบ
อย่างที่กล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ จี้อี้เป็นผู้วางแผนและดำเนินการจัดกิจกรรมนี้ขึ้นมา จุดประสงค์ก็เพื่อเฟ้นหาผู้มีพรสวรรค์จากคนธรรมดา ฉะนั้นเจ้าหน้าที่ที่ได้รับเชิญให้มาถ่ายทำจึงต่างก็เป็นยอดเชฟกันทั้งนั้น
ผู้กำกับนามว่าต้าไห่เป็นผู้ที่สุดแท้จะหยั่งถึงราวกับมหาสมุทร แต่ขณะที่กำลังถ่ายทำเขากลับค่อนข้างมีความสามารถมากทีเดียว เมื่อตัดสินจากลักษณะท่าทางของเขาแล้ว เขาน่าจะยังชีพด้วยความสามารถของตัวเองเพียงเท่านั้นแหละ
ก่อนหน้านั้นเขาเพิ่งจะเสร็จสิ้นการถ่ายวิดีโอของเชฟอีกสองคน โดยที่คนหนึ่งมีฝีมือในการทำบะหมี่ไหมฟ้า สามารถกล่าวได้เลยว่าบะหมี่ไหมฟ้าของเขานับว่ามีความพิเศษไม่เหมือนใครจริงๆ
บะหมี่ไหมฟ้าที่ทำเองมีความบางมาก โดยหนึ่งรูเข็มสามารถบรรจุบะหมี่ได้ถึงสิบสองเส้น
แน่นอนว่าย่อมมีบางคนที่ไม่ทราบว่าหนึ่งในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ที่มีชื่อเรียกว่า “บะหมี่ที่บางที่สุดในโลก” เป็นผลงานที่เชฟจากมณฑลซานตงเป็นผู้รังสรรค์ขึ้นมา ในบันทึกนั้น บะหมี่ทั้งยี่สิบเส้นถึงกับสามารถลอดผ่านหนึ่งรูเข็มได้ แต่เมื่อตอนที่ต้าไห่ถ่ายทำอยู่นั้น ยอดเชฟผู้นี้ก็บอกเขาว่าความบางจะมีความสำคัญที่สุดก็ต่อเมื่อมีคนพยายามที่จะทำลายบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ แต่เนื้อสัมผัสก็มีความสำคัญเช่นกันเมื่อตอนที่กำลังจะกิน ถ้าหากบะหมี่บางเกินไป รสชาติก็จะไม่อร่อย ดังนั้นบะหมี่สิบสองเส้นจึงเป็นความบางที่พอเหมาะพอดีแล้ว
ในตอนนี้ยอดเชฟทั้งสองต่างสร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้กำกับเข้าเสียแล้ว ดังนั้นต้าไห่จึงคิดว่าเถ้าแก่หยวนผู้มีชื่อเสียงคนนี้คงจะสร้างความตกตะลึงให้แก่เขาด้วยอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีระหว่างที่อยู่ที่นี่อย่างแน่นอน ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็เป็นผู้กำกับที่ผ่านโลกมานักต่อนักแล้ว… ในภาษาจีนคำว่าต้าไห่มีความหมายว่ามหาสมุทร