อยากกินไหมล่ะ - ตอนที่ 799 พลิกบะหมี่
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 799 พลิกบะหมี่
“ฉันไม่คิดว่าเถ้าแก่หยวนจะทำบะหมี่เย็นนึ่งได้สำเร็จหรอกนะ” ฟางเหิงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
สิ่งที่เขากล่าวออกมาดึงดูดความสนใจของบรรดาลูกค้าทุกคน ควรรู้ว่าฟางเหิงจริงจังมากทีเดียวตอนที่เขาพูดพร้อมขมวดคิ้วนิดๆอยู่นั้น ใบหน้าของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
“สงสัยในฝีมือการทำอาหารของเถ้าแก่หยวนงั้นหรือ? นายเพิ่งมาที่นี่เป็นวันแรกหรือยังไงกัน?” เจียงฉางซี่ตั้งคำถามขึ้นมา
“นายบ้าไปแล้วหรือไง?” เฉินเว่ยกล่าวด้วยความดูถูกดูแคลน
“เถ้าแก่หยวนเคยทำอาหารล้มเหลวเมื่อไหร่กันเล่า?”
แม้แต่ผู้กำกับต้าไห่ก็อดใจไม่ไหวต้องหันไปมองฟางเหิงพลางบ่นพึมพำอยู่ในใจ “แม้ว่าพวกเราจะไม่เคยมาที่นี่แต่ก็ทราบดีว่าเถ้าแก่หยวนมีฝีมือในการทำอาหารยอดเยี่ยมเพียงใด ทำไมลูกค้าของเขาถึงได้มาสงสัยในตัวเขาเอาตอนนี้เสียได้เล่า?”
เนื่องจากนี่เป็นประเด็นที่อ่อนไหว เขาจึงทำท่าทำทางให้ชิวชิวเล็งกล้องไปที่ฟางเหิงแทนในทันที
ฟางเหิงรู้สึกประหม่าเสียแล้วเมื่อสังเกตเห็นว่าผู้คนมากมายกำลังให้ความสนใจในตัวเขา แม้แต่กล้องก็ยังเล็งมาทางเขาเลย แต่เขาก็ยังพูดอย่างจริงจังว่า “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย แน่นอนว่าเถ้าแก่หยวนย่อมมีฝีมือในการทำอาหารอันยอดเยี่ยมอยู่แล้วล่ะ แต่ฉันมาจากเมืองกวางหยวน ฉันยังไม่เคยกินบะหมี่เย็นนอกเมืองกวางหยวนที่มีรสชาติเหมือนกับที่พวกเราเคยกินที่เมืองกวางหยวนเลย”
อาจเป็นเพราะเขารู้สึกประหม่าจึงพูดอย่างไม่เป็นธรรมชาติทว่ากลับเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในขณะเดียวกัน ดูไปแล้วไม่เหมือนว่าเขากำลังโกหกอยู่เลยสักนิด ทุกคนจึงเริ่มสงสัยว่าจะมีเคล็ดลับบางอย่างในการเตรียมบะหมี่เย็นนึ่งรวมไปถึงผู้กำกับต้าไห่ด้วย
ทีมงานถ่ายทำเริ่มสงสัยในตัวเถ้าแก่หยวน แต่ทว่ากลับไม่ใช่สำหรับบรรดาลูกค้าคนอื่นๆ เฉินเว่ยยังคงยืนกรานว่าไม่มีเรื่องอย่างที่ฟางเหิงกล่าวมาหรอก เขามันปัญญาอ่อนชัดๆเลย
ส่วนเจียงฉางซี่ก็พูดแย้งขึ้นมาว่า “เรื่องนั้นอาจจะใช้ได้กับเชฟคนอื่นๆ แต่หาใช่กับเถ้าแก่หยวน” เธอพูดออกมาตรงๆราวกับว่านั่นเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน
“ไม่ ไม่ ฉันไม่ได้สงสัยในฝีมือการทำอาหารของเถ้าแก่หยวนหรอกนะ แต่ขอฉันอธิบายให้จบก่อนเถอะ สิ่งที่ฉันต้องการจะสื่อก็คือปัญหาทางภูมิศาสตร์ต่างหากเล่า สาเหตุที่ไม่มีคนนอกเมืองกวางหยวนสามารถทำได้สืบเนื่องมาจากความแตกต่างด้านคุณภาพน้ำและดินของตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์อื่นๆ” ฟางเหิงส่ายหน้าแล้วอธิบายอย่างจริงจัง
ในที่สุดทุกคนก็เข้าใจสิ่งที่เขาพยายามจะบอกเสียที
ฟางเหิงกล่าวต่อไปว่า “เถ้าแก่หยวนจะทำได้สำเร็จก็ต่อเมื่อใช้น้ำและวัตถุดิบจากเมืองกวางหยวนเท่านั้นแหละ”
“มันจะยากเกินไปไหมเนี่ย? แต่ไม่เป็นไรหรอก อย่าลืมสิว่าเถ้าแก่มีวัตถุดิบจากทุกแห่งหนทั่วประเทศจีนอยู่ที่นี่เชียวนะ” เจียงฉางซี่ยิ้มเยาะ
“แต่ฉันได้ยินมาว่าน้ำจะต้องบริสุทธิ์ ทว่าเมื่อนำออกมาจากแหล่งที่มานานๆย่อมเป็นเรื่องยากที่จะทำให้บะหมี่เย็นนึ่งคงรสชาติเดียวกันเอาไว้ได้ ฉันไม่ได้โกหกจริงๆนะ นั่นเป็นเรื่องจริง ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แต่ฉันจำได้ว่าในการทำอาหารจานนี้จะต้องแช่เมล็ดข้าวเอาไว้ทั้งวัน” ฟางเหิงเป็นคนต้มเหล้าจึงทำให้เขาทราบลักษณะเฉพาะของน้ำเป็นอย่างดี
ตอนที่กำลังต้มเหล้าอยู่นั้นต้องใช้น้ำเยอะมาก ส่วนใหญ่เหล้าอันเป็นที่นิยมพวกนั้นต้องใช้น้ำจากหนานชวน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับของเหล้าที่นำมาต้มจึงจำเป็นที่จะต้องใช้แหล่งน้ำที่แตกต่างกันออกไป
ฟางเหิงให้เหตุผลว่าในการทำอาหารก็คงไม่ต่างกัน
“นายน่าจะคิดมากเกินไปแล้ว ลองนึกถึงข้าวอู๋ดูนะ วัตถุดิบแบบนั้นใช่ว่าจะปลูกกันได้ง่ายๆเสียเมื่อไหร่กันเล่าแต่เถ้าแก่หยวนก็ยังเตรียมอาหารจานนั้นขึ้นมาได้สำเร็จ” เจียงฉางซี่โต้แย้ง
เจียงฉางซี่หมายถึงสมุนไพรบางอย่างที่จำเป็นต่อการเตรียมอาหารจากเมนูข้าวร้อยอย่างในช่วงก่อนหน้านี้ สมุนไพรชนิดนี้ไม่โตในเมืองเฉิงตู แต่หยวนโจวก็ยังเตรียมอาหารจานนั้นได้สำเร็จแม้จะต้องใช้สมุนไพรสดๆก็ตามที
“อืม อย่าลืมว่ายังมีคนที่ชอบเรียกร้องอะไรแปลกๆเพื่อสร้างความยุ่งยากให้เถ้าแก่หยวน แต่กลับไม่มีใครทำได้สำเร็จเลยสักคนเดียว” เฉินเว่ยกล่าวเสริม
“มันไม่เหมือนกันนี่ พวกนายก็รู้ มารอดูกันต่อไปเถอะ” ฟางเหิงไม่มีฝีมือในการทำอาหารจึงเลิกพูดไป แต่เขาก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี
เหตุผลก็คือมีร้านอาหารอยู่มากมายหลายแห่งที่ใช้น้ำจากกวางหยวนในการทำบะหมี่เย็นนึ่ง รสชาติของบะหมี่เย็นนึ่งดีขึ้นก็จริงแต่กลับยังขาดอะไรไปบางอย่างเมื่อเทียบกับบะหมี่เย็นนึ่งสูตรต้นตำหรับจากกวางหยวน ฟางเหิงจึงมีความมั่นใจในเรื่องนี้มาก
แน่นอนว่ายังมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อรสชาติ แต่เนื่องจากฟางเหิงไม่ใช่เชฟ เขาจึงไม่รู้สาเหตุ
อย่างไรเสียเขาก็แน่ใจว่าคงยากที่จะทำอาหารจานนี้นอกกวางหยวนได้
เมื่อผู้กำกับเห็นว่าพวกเขาคุยกันเกือบเสร็จแล้ว เขาก็ตัดสินใจที่จะย้ายกล้องกลับไปหาหยวนโจว
“ถอยหลังหน่อย” ต้าไห่บอกผู้ช่วยผู้กำกับ
ทุกคนมองดูหยวนโจวที่กำลังทำอาหารต่อไป
อันที่จริงบะหมี่เย็นนึ่งเป็นของว่างที่ไม่ยุ่งยากอะไรเลย เพียงแค่ต้องนึ่งน้ำนมข้าวบนหม้อต้มก่อนที่จะหั่นออกเป็นชิ้นๆแล้วปรุงรสเพิ่มเติม
อาหารจานนี้สามารถกินได้ทั้งแบบร้อนหรือแบบเย็น ถ้าอยากจะกินแบบร้อนก็ต้องหั่นให้เป็นชิ้นบางๆ นี่คือของว่างที่สามารถกินได้ทุกฤดูกาล เนื่องจากอากาศค่อนข้างหนาว หยวนโจวจึงเตรียมเป็นแบบกินร้อนเอาไว้ให้
ส่วนใหญ่ของว่างของเสฉวนจะเน้นไปที่รสเผ็ดที่ไม่ปรุงรสด้วยพริกไทยก็อวี๋เซียง วันนี้หยวนโจวเตรียมบะหมี่เย็นนึ่งรสเผ็ดเอาไว้ให้
และขณะที่กำลังทำบะหมี่เย็นนึ่งอยู่นั้น หยวนโจวก็เริ่มทำน้ำมันพริก โดยจะมีการเติมน้ำมันพริกลงในบะหมี่ในภายหลัง
ควับ! หยวนโจวโยนพริกกำมือหนึ่งลงในกระทะแล้วเริ่มปรุงด้วยไฟอ่อน
เนื่องจากพริกค่อนข้างอ่อน เขาจึงต้องคั่วอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงได้ยินแค่เสียงกรุบกรอบของพริกดังอยู่ในร้านเท่านั้น
สิ่งที่มาพร้อมกับเสียงก็คือกลิ่นเผ็ดร้อนที่กระจายไปทั่วอากาศ
“กลิ่นหอมจังและดูท่าจะเผ็ดมากเชียวล่ะ” มีคนแสดงความคิดเห็นออกมา
ถึงจะเผ็ดแต่กลิ่นกลับไม่ทำให้ฉุนจมูก ทว่ากลับกระตุ้นความอยากอาหารเป็นอันมาก
“ฉันหวังว่าจะได้กินอาหารจานนี้กับเหล้าสักแก้วจัง มันคงเป็นการผสมผสานกันที่ลงตัวอย่างแน่นอนเชียวล่ะ” ปีศาจสุราเฉินเว่ยกล่าว
“น่าเสียดายที่วันนี้นายเหลือแค่แก้วสุดท้ายแล้วล่ะนะ” เจียงฉางซี่ย้ำเตือนให้เขาทราบถึงความจริงอันแสนโหดร้าย
“โฮ่โฮ่” เฉินเว่ยไม่ใส่ใจที่จะตอบ
ในฐานที่เป็นชาวกวางหยวน ฟางเหิงจึงได้แต่เงียบเอาไว้ สำหรับเขาแล้ว บะหมี่เย็นนึ่งเข้ากับข้าวต้มได้เป็นอย่างดี
“เถ้าแก่หยวนคนนี้ล่ะก็ช่างประหลาดเสียจริง ผมยังไม่เห็นเครื่องดูดควันเลยแต่กลิ่นเผ็ดกลับไม่ทำให้ฉุนจมูกเลย ยิ่งไปกว่านั้นยังส่งกลิ่นหอมมากเชียวล่ะ” ต้าไห่พึมพำเมื่อตอนที่เขาปลดหน้ากากอนามัยที่สวมใส่อยู่ออก
หยวนโจวไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้นและยังคงทำอาหารอย่างคร่ำเคร่งต่อไป
ควับ! ควับ! พริกรวมตัวกันอยู่ในหม้อ ขณะที่พริกแต่ละฝักเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเป็นมันวาวแล้วนั้น หยวนโจวก็เทพวกมันออกมา
เขาไม่ได้บดพริกในทันที แต่เขากลับหยิบซึ้งไม่ไผ่ออกมา
ใช่แล้วล่ะ ก่อนที่หยวนโจวจะเริ่มเตรียมพริกนั้น เขาก็นึ่งน้ำนมข้าวด้วยซึ้งไม้ไผ่เอาไว้ก่อนแล้ว หลังจากเขาจัดการกับพริกเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาที่เขาจะยกซึ้งไม้ไผ่ออกพอดี
แน่นอนว่าน้ำนมข้าวนึ่งต้องหั่นเป็นชิ้นๆ แต่ก็ต้องรอให้เย็นลงเสียก่อน ดังนั้นหยวนโจวจึงเริ่มพลิกมันเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เย็นลงเพียงด้านเดียวซึ่งอาจจะมีผลต่อรสชาติของบะหมี่ได้
น้ำนมข้าวนึ่งมีลักษณะบางมากซ้ำยังใสแจ๋วและเป็นประกายวางอยู่ในซึ้งไม้ไผ่ เนื่องจากความบางจึงทำให้สามารถมองเห็นกระดาษไขสีเหลืองที่อยู่ข้างใต้ได้อย่างชัดเจน
“แล้วเขาจะพลิกมันได้ยังไงกันในเมื่อบางเสียขนาดนั้น?” ต้าไห่สงสัย
ระหว่างที่ทุกคนกำลังสงสัยอยู่นั้น หยวนโจวก็หยิบตะเกียบสีน้ำตาลขึ้นมาคู่หนึ่ง น้ำนมข้าวนึ่งที่ทั้งเหนียวและบางก็พลิกหงายด้วยการพลิกข้อมือของเขาแล้วทิ้งตัวอยู่เงียบๆในซึ้งไม้ไผ่
อันที่จริงแล้วดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ หยวนโจวขยับตัวเร็วเกินไปจนทำให้ทุกสิ่งราวกับภาพลวงตาก็ไม่ปาน
และดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งสำหรับหยวนโจวเลยก็ว่าได้
“แบบนั้นก็ได้เหรอ?” แบบนั้นจะไม่กลายเป็นงานยากไปแล้วหรอกหรือ?
“เวรเอ้ย ฉันคิดว่ามันคงจะเหนียวมากหรือเปล่านะ? พลิกเสียเร็วขนาดนี้ได้ยังไงกันนะ?” วิศวกรเสียงร้องอุทานพร้อมดวงตาที่เบิกกว้าง
ถึงอย่างไรตอนที่กำลังถ่ายวิดีโอก่อนหน้านี้ พวกเขาก็เห็นเชฟค่อยๆดึงบะหมี่จนบางลง แต่ตอนนี้ดูราวกับว่าหยวนโจวกำลังแสดงมายากลด้วยการพลิกน้ำนมข้าวนึ่งในทันทีทันใด
แต่การพลิกกระดาษใช่ว่าจะสามารถทำได้ง่ายๆเช่นนี้ ถึงอย่างไรก็ยังมีน้ำนมข้าวนึ่งวางอยู่บนกระดาษไขหลังจากพลิกแล้ว
นี่ก็คือหยวนโจวที่กำลังทำเท่ห์อยู่นั่นเอง