อยากกินไหมล่ะ - ตอนที่ 808 คิดถึงอู๋ไห่
อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 808 คิดถึงอู๋ไห่
หยวนโจวไม่รู้ว่าซุนหมิงหมายถึงใครแต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจ สิ่งที่เขาอยากจะทำต้องเป็นสิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนแน่ๆ ถึงแม้ว่าหยวนโจวจะไม่รู้ว่าทัวร์ออฟไห่หนานคืออะไร แต่มันต้องเป็นการแข่งขันครั้งยิ่งใหญ่อย่างแน่นอนเนื่องจากถูกสถานีโทรทัศน์ปิดบังเอาไว้
เพื่อให้ได้แชมป์หลังจากการฝึกแค่ปีเดียวช่างไม่ต่างอะไรจากความปรารถนาที่จะโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วยืนเคียงข้างกับดวงอาทิตย์
ถึงแม้ว่าร้านเสื้อผ้าของซุนหมิงจะไม่ได้ใหญ่โตอะไรนักหนา แต่ก็มีทำเลที่ตั้งที่ดีและมีศักยภาพในการเติบโตมาก แต่เพียงเพื่อผู้หญิงที่เขาตามจีบแล้ว เขาถึงกับยินยอมที่จะถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ร้านของตัวเองให้คนอื่นไปเสียอย่างนั้น บิดาของเขาคงโมโหแทบตายทีเดียวถ้าหากรู้เรื่องนี้เข้า แต่จากความเข้าใจของหยวนโจวที่มีต่อบิดาของซุนหมิงนั้น ก่อนที่เขาจะโมโหจนตายคงได้ตีซุนหมิงจนตายก่อนเป็นแน่
“ตอนแรกฉันคิดว่าจะจ้างคนมาดูแลร้านแทนฉัน แต่สุดท้ายฉันตัดสินใจแล้วว่าจะมุ่งมั่นไปที่มันเพียงอย่างเดียว ถึงอย่างไรก็ใช่ว่าจะได้เป็นแชมป์กันง่ายๆเสียเมื่อไหร่” ซุนหมิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังที่ยากจะพบเห็นได้จากตัวเขา “แล้วนอกเหนือไปจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ฉันยังไม่เคยจริงจังเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต ฉันรู้สึกได้ว่าการไล่ตามแม่เทพธิดาของฉันมีความหมายยิ่งกว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสียอีกแน่ะ”
เมื่อพูดถึงซุนหมิงก็มีเรื่องที่ค่อนข้างแปลกเกิดขึ้นกับเขา แรกเริ่มเดิมทีเขาเป็นเด็กนักเรียนที่เกเรมาก ยิ่งไม่ต้องไปเอ่ยถึงที่หนึ่งเลย แม้แต่ที่สามยังไม่ได้เลยเสียด้วยซ้ำไป แต่ในช่วงปีสุดท้าย จู่ๆคุณยายของเขาก็จากไปอย่างกะทันหัน ก่อนที่เธอจะจากไปซุนหมิงให้สัญญาว่าเข้าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้
หลังจากนั้นใช้เวลาปีสุดท้ายเพียงครึ่งปีเท่านั้น เขาก็เริ่มตั้งใจเรียนจนสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยดังแห่งหนึ่งได้ นี่เป็นความสำเร็จอย่างน่าเหลือเชื่อ น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าเขาจะใช้เวลาเรียนมากไปจนกลายเป็นทำร้ายตัวเองแทน นับตั้งแต่เขาสอบเข้าได้ก็กลายเป็นคนขี้เกียจมาจนทุกวันนี้
อันที่จริงแล้วระหว่างการสนทนากันในคราวนี้ซุนหมิงพูดออกไปตั้งมากมาย แต่หยวนโจวกับไม่ได้พูดหรือถามอะไรออกมาเลย เพียงเพื่อผู้หญิงคนนั้นแล้วช่างไม่คุ้มค่าที่จะเสียสละขนาดนี้เลย แต่มันเป็นเรื่องระหว่างซุนหมิงกับผู้หญิงคนนั้น ในฐานที่เป็นคนนอกจึงเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ที่หยวนโจวจะพูดอะไรออกมาอีก
ยกตัวอย่างเช่นเพื่อไล่ตามผู้หญิงคนนั้นแล้ว ซุนหมิงถึงกับเปลี่ยนอาชีพแล้วเริ่มปั่นจักรยาน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรรับรองได้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นแฟนเขาจริงๆนี่นา สำหรับคนอื่นแล้วนี่เป็นเรื่องโง่เขลาสิ้นดีแต่สำหรับซุนหมิงแล้ว เขามีความสุขเอามากๆเลยที่ได้ทำแบบนั้น
“ด้วยแรงสนับสนุนของนาย ฉันรู้สึกมีความกล้ามากขึ้นเชียวล่ะ” ซุนหมิงกล่าว “แต่ถ้าหากฉันทำไม่สำเร็จก็จะเสียทั้งร้านแล้วก็แฟน นั่นคงเลวร้ายน่าดูเลยว่าไหม?”
ดูเหมือนซุนหมิงจะอารมณ์ดีขึ้นมากแล้วเนื่องจากเขาสามารถล้อเล่นได้แล้ว
หยวนโจวเป็นเพื่อนที่ไม่รู้วิธีปลอบใจหรือแนะนำผู้อื่น เขาทำได้เพียงสองอย่างโดยอย่างแรกคือการหยิบยื่นมิตรภาพของตนเองให้
และอย่างที่สองก็คือ…
“ซุนหมิง ถ้าหากวันหนึ่งนายไม่มีเงินกินข้าวก็มาทำงานที่ร้านฉันสิ ฉันจะให้เงินเดือนนายสูงๆเลย เงินเดือนมากพอที่จะทำให้นายไม่ต้องอดอยากเชียวล่ะ” หยวนโจวเสนออย่างจริงจัง นี่ก็คืออย่างที่สองที่เขาสามารถทำได้คือต้องทำให้แน่ใจว่าเพื่อนของเขาจะไม่อดอยาก
“นายพยายามที่จะมาเป็นปู่ของฉันหรือไง?” ซุนหมิงเปลี่ยนอารมณ์สนทนา “ดีล่ะ งั้นฉันก็จะไปขอให้นายช่วยก็แล้วกัน ปู่ครับ ช่วยสอนผมทำอาหารหน่อยได้ไหมครับ? ผมรู้สึกว่าการควบคุมกระเพาะอาหารของแม่เทพธิดาเอาไว้ได้น่าจะเป็นวิธีการที่ดีในการกุมหัวใจของเธอเอาไว้เลยล่ะ”
“นายไม่มีพรสวรรค์ในเรื่องนั้นหรอก” หยวนโจวมองซุนหมิงขึ้นๆลงๆก่อนที่จะกล่าวออกมา
“นายรู้ไหมว่าทื่อมะลื่อเกินไปจะทำให้นายหาแฟนได้ยากนะ?” ซุนหมิงกล่าว
“อืม” หยวนโจวพยักหน้าแล้วพูดต่อไป “งั้นคืนนี้นายอยากไปดูหนังไหมล่ะ?”
“หนุ่มโสดสองคนไปดูหนังด้วยกันมันแปลกๆอยู่นะ” ซุนหมิงกล่าวด้วยความแปลกใจ
“เปล่าเสียหน่อย มีหนุ่มโสดแค่คนเดียว ฉันจะไปซื้อตั๋วให้นายแล้วนายก็ไปคนเดียว อืม ลองปรับอารมณ์ของนายผ่านหนังเสียหน่อยสิ คืนนี้มีหนังรักด้วยนะ” หยวนโจวกล่าวพลางหยิบโทรศัพท์ออกมา
“นายจะเลี้ยงงั้นเหรอ?” ซุนหมิงอยากจะปฏิเสธแต่นึกขึ้นได้ว่าหยวนโจวกำลังจะซื้อตั๋วให้ สิ่งนี้ทำให้เขาชักจะลังเลใจขึ้นมาแล้ว
ถึงอย่างไรหยวนโจวก็เป็นเจ้าเข็มทิศที่แทบจะไม่เคยเลี้ยงใครเลย
“อืม ฉันจะจ่ายค่าตั๋วให้แล้วนายก็ไปดูคนเดียวซะ” หยวนโจวกล่าวอย่างมีน้ำใจ
“เอาล่ะ ในเมื่อนายเป็นคนจ่ายเงิน ฉันก็อยากจะดูหนังทำเงิน” ซุนหมินเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วบอกสิ่งที่ต้องการออกมา
“ดูหนังรักเพื่อเรียนรู้วิธีจีบหญิงสิ นายจะได้ไม่ชวดจากแม่เทพธิดาคนนี้ไป จะมีอะไรดีไปกว่านี้อีกเล่า?” หยวนโจวปฏิเสธแล้วซื้อตั๋วหนังรัก
อย่าได้มองข้ามความคิดของหยวนโจวเชียวว่าการดูหนังคนเดียวเป็นสิ่งที่คนโสดจะทำกัน และตอนนี้เขากำลังจัดการให้ซุนหมิงไปดูหนังรักนอกจากแนวอื่นๆแล้ว ซุนหมิงจะรู้สึกอย่างไรบ้างนะ?
“มีเหตุผลเหมือนกันนะ” ซุนหมิงไม่คิดมาก เขาพยักหน้าอย่างเหม่อลอย
“อืม นายไปได้แล้วล่ะ” หยวนโจวส่งภาพตัวอย่างของตั๋วให้ซุนหมิงแล้วกล่าวขึ้นมา
“ก็ได้ๆ พรุ่งนี้ฉันจะไปหานายแล้วกัน” ซุนหมิงตรวจสอบเวลาแล้วพยักหน้า
“กลับดีๆล่ะ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วมองซุนหมิงจากไปก่อนที่จะเรียกรถแท็กซี่กลับไปที่ร้าน
ตอนที่หยวนโจวกลับมาที่ร้านก็เลยเวลามามากแล้ว ก่อนที่เขาจะเตรียมวัตถุดิบสำหรับอาหารมื้อค่ำเสร็จก็ได้เวลาอาหารค่ำแล้ว
และคืนนี้ก็เป็นอีกค่ำคืนอันแสนวุ่นวายของหยวนโจว
ในขณะเดียวกัน บรรดาลูกค้าก็นึกถึงบางเรื่องขึ้นมาได้หรือจะพูดให้ถูกก็คือสังเกตพบอะไรบางอย่าง
“เจ้าคนหน้าไม่อายอู๋หายหน้าหายตาไปเป็นอาทิตย์แล้วใช่ไหม? ในเมื่อเถ้าแก่หยวนกลับมาได้อาทิตย์นึงแล้ว เจ้าคนหน้าไม่อายอู๋ไปอยู่เสียที่ไหนกันเล่า?” หลิงหงบ่นพึมพำระหว่างกินอาหาร
“ทำไมเหรอ? นายคิดถึงอู๋ไห่หรือไง?” พี่วั่นถามขึ้น
พักนี้พี่วั่นจะบรรจงประทินโฉมก่อนมาที่ร้าน ทุกคนในร้านสามารถได้กลิ่นความรักลอยอวลอยู่อยู่รอบตัวเธอเชียวล่ะ
หลิงหงส่งเสียงออกทางจมูกแล้วกล่าวว่า “คิดถึงเขางั้นรึ? เขาคู่ควรด้วยเหรอ? ก็แค่รู้สึกแปลกๆที่เขาไม่อยู่ในร้านเท่านั้นแหละน่า”
“เมื่อบางอย่างที่อยู่ข้างกายของเรามานาน ไม่ว่าบางอย่างนั้นจะดีหรือไม่ก็ช่าง เราก็จะรู้สึกแปลกๆเมื่อจู่ๆสิ่งนั้นหายไป เรื่องนั้นก็พอเข้าใจได้หรอกนะ” พี่วั่นสรุปให้ฟัง
“เธอก็พูดเสียอย่างกับเป็นบทกวีเลยนะ แต่เธอก็เว่อร์ไปหน่อยนะ ฉันแค่รู้สึกว่าพอไม่มีเขาอยู่แถวนี้ก็ไม่มีคนให้ฉันด่าเท่านั้นเอง” หลิงหงกล่าว ในตอนนั้นเองพี่วั่นคงจะพูดออกมาราวกับบทกวีจริงๆนั่นแหละ แต่เธอเป็นคนสุภาพอ่อนโยนและคงแก่เรียนหากไม่พูดออกมาแบบนั้นสิถึงจะแปลก
“นายก็เอาแต่อยากหาเรื่องด่าเท่านั้นแหละ พวกเรามีเรื่องที่ต้องลงมือที่นี่นะ” พี่วั่นหมายถึงแฮปปี้กับเบรนที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไป
ฉินเสี่ยวอี้ผู้เป็นเบรนกับเกาฟ่านผู้เป็นแฮปปี้รู้สึกแปลกๆที่ราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ไม่อยู่ต่อสู้กับพวกเขาที่นี่
และเพื่อเป็นการระลึกถึงอู๋ไห่ ทั้งเกาฟ่านกับฉินเสี่ยวอี้จึงตัดสินใจที่จะขอถ้วยเปล่าๆกับตะเกียบคู่หนึ่งจากหยวนโจว
หยวนโจวรู้สึกสงสัยกับคำขอนี้มาก แต่เมื่อเขาเห็นสิ่งที่พวกเขาจะทำแล้ว เขาก็ถึงกับพูดไม่ออกไปเลยทีเดียว พวกเขาจัดถ้วยและตะเกียบเอาไว้ข้างตัวแล้วคีบอาหารเอาไว้ในถ้วยก่อนที่จะแกล้งทำเป็นว่าอู๋ไห่อยู่ตรงนั้น
ครั้งสุดท้ายที่หยวนโจวพบเจอกับการรำลึกถึงบางคนด้วยวิธีการนี้ก็คือตอนที่เพื่อนสมัยเรียนของเขาตาย ไม่เพียงมีแค่ถ้วยเปล่าๆเท่านั้นยังมีภาพถ่ายขาวดำของผู้ตายด้วย โชคดีที่ไม่มีภาพถ่ายของอู๋ไห่อยู่ที่นี่ แต่สิ่งนี้ก็ยังทำให้หยวนโจวรู้สึกแปลกๆอยู่ดี
หลังจากใคร่ครวญดูเล็กน้อย หยวนโจวก็เตือนฉินเสี่ยวอี้กับเกาฟ่านว่า “ไม่อนุญาตให้เหลืออาหารเอาไว้นะครับ ไม่เว้นแม้แต่ในถ้วยเปล่าก็ด้วยนะครับ”
เมื่อหลิงเห็นสิ่งที่พวกเขาทำ เขาก็รำพึงรำพันว่าไม่ว่าจะไปที่ไหนคนโง่ก็มีความสุขได้ตลอดเลยสิน่า
“คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับอู๋ไห่หรอกใช่ไหม? เขากินอะไรที่ไม่ใช่อาหารของเถ้าแก่หยวนไม่ลงนี่นา” พี่วั่นรู้สึกเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด “เกินอาทิตย์นึงมาแล้ว เขายังสบายดีอยู่ไหมนะ?”
“จะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาได้เล่า?” หลิงหงตอบโดยไม่คิด “ถ้ามีเรื่องเกิดขึ้นกับเขาจริงๆแล้วล่ะก็วงการภาพเขียนของประเทศคงได้คลั่งกันล่ะงานนี้ แต่ทุกอย่างยังเรียบร้อยดีอยู่เลยนี่”
นั่นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลทีเดียว ก่อนหน้านี้เมื่อตอนที่อู๋ไห่เพียงแค่หัวโขกบันได ผู้มีชื่อเสียงมากมายจากวงการภาพเขียนก็ยังพากันมาเยี่ยมเขาเลย
“ฉันก็ยังรู้สึกเป็นห่วงอยู่ดีนั่นแหละ ฉันโทรหาเจิ้งเจียเว่ยแล้วจะบอกให้พวกนายรู้อีกทีนะ” พี่วั่นกล่าว
หลิงหงโบกมือเพื่อบ่งบอกว่าเขาไม่รู้สึกเป็นห่วงเลยสักนิด ไม่ต้องบอกเขาก็ได้นะ